บัลลังก์พญาหงส์ - บทที่ 718 ลมฝน
หลังจากทานอาหารข้ามปีแล้ว ถาวจวินหลันก็ให้เบี้ยทองหนึ่งถาดและเงินปีใหม่กับเด็กๆ ทั้งหลาย พวกเขาไม่มีเรื่องจำเป็นต้องให้ใช้ แค่เอามาถือไว้เล่นๆ เท่านั้นเอง ดังนั้นเบี้ยเหล่านี้เป็นเรื่องรอง ที่สำคัญที่สุดก็คือรูปร่างและสีสัน
หยวนฉงหวาเห็นถาวจวินหลันไม่ได้กีดกันอาอู่ จึงถอนใจโล่งอก แล้วถึงได้งัดความกล้าออกมาพูดว่า “ที่จริงวันนี้หม่อมฉันยังมีเรื่องขอร้องชายารัชทายาทเพคะ”
ถาวจวินหลันใจกระตุก มองไปยังหยวนฉงหวาพลางพยักหน้า “พูดมา”
หยวนฉงหวาลุกขึ้น ก่อนคุกเข่าหมอบอยู่กับพื้น แล้วจึงพูดร้องขอ “ขอชายารัชทายาทส่งพวกเราแม่ลูกไปยังที่สงบเงียบด้วยเถิดเพคะ ต่อให้อาศัยในวังเย็นชั่วคราวก็ไม่เป็นไรเพคะ ขอแค่ไม่ให้อาอู่กลายเป็นเครื่องมือแย่งชิงอำนาจของคนอื่นก็พอ ไม่เพียงเท่านั้น หม่อมฉันยังมีม้วนกระดาษลับที่จะถวายองค์รัชทายาทและชายารัชทายาทเพคะ”
คิดไม่ถึงว่าหยวนฉงหวาอยากแยกตัวออกจากเรื่องนี้ ไม่เหมือนสิ่งที่ถาวจวินหลันคาดการณ์เอาไว้ นางเพียงคิดว่าตอนนี้สถานการณ์ซับซ้อน หยวนฉงหวาก็คงคิดเช่นนี้เหมือนกัน แต่คิดไม่ถึงว่าหยวนฉงหวาจะรู้งานถึงเพียงนี้
ถาวจวินหลันสนใจม้วนกระดาษลับที่หยวนฉงหวาพูดถึง จากท่าทีจริงจังของหยวนฉงหวา เห็นชัดว่าม้วนกระดาษลับนั่นต้องสำคัญมาก ไม่ว่ากับตัวนางหรือตัวหยวนฉงหวาเอง
ดังนั้นถาวจวินหลันจึงยิ้มถามหยวนฉงหวา “ของอะไรทำให้เจ้าจริงจังได้ขนาดนี้?”
หยวนฉงหวาก้มหน้าก้มตา เสียงสงบนิ่งตอบกลับมา “เป็นของที่องค์รัชทายาทฮุ่ยเต๋อมอบให้หม่อมฉันก่อนสิ้นพระชนม์ เกี่ยวข้องกับตระกูลหวังเพคะ”
สิ้นเสียง ไม่เพียงแค่ถาวจวินหลัน แม้แต่อิงเฟยเองก็รีบหันไปมองหยวนฉงหวา
ถาวจวินหลันพูดย้ำอย่างสนใจ “องค์รัชทายาทฮุ่ยเต๋ออย่างนั้นหรือ?”
คิดไปมานางก็แสดงท่าทีให้หงหลัวพาเด็กๆ ออกไปเล่นข้างนอกก่อน “แม้ปีนี้ห้ามจุดพลุเพื่อไว้ทุกข์ แต่ยังจุดแบบที่เด็กเล่นได้ เจ้าพาเด็กๆ ออกไปเล่น แต่อย่าให้พวกเขาบาดเจ็บหรือตกใจ”
หงหลัวเข้าใจว่านางไม่อยากให้พวกซวนเอ๋อร์และเด็กคนอื่นๆ ได้ยินคำพูดต่อจากนี้ จึงรีบพาเด็กๆ ออกไปทันที ตั้งแต่การกระทำครั้งที่แล้วของซวนเอ๋อร์ ถาวจวินหลันก็ไม่อยากให้ซวนเอ๋อร์ได้ยินอะไรพวกนี้อีก เด็กควรไร้เดียงสาและไร้พิษภัยแบบเด็ก ไม่ควรยัดเยียดความสกปรกของผู้ใหญ่ให้กับพวกเขา
หลังจากเด็กๆ ออกไปแล้ว อิงเฟยก็คิดจะลุกขึ้นเดินออกไป แต่ถาวจวินหลันมองนางยิ้มๆ และพูดว่า “อิงเฟยอยู่ต่อเถิด ไม่มีความลับต้องปิดบังท่าน นั่งฟังช่วยหม่อมฉันออกความเห็นดีกว่าเพคะ”
ถาวจวินหลันพูดแบบนี้แล้ว อิงเฟยจึงนั่งลงไปใหม่ ยิ้มพลางพูดว่า “งั้นข้าไม่เกรงใจแล้ว”
ถาวจวินหลันถึงได้มองไปทางหยวนฉงหวา “องค์รัชทายาทฮุ่ยเต๋อฝากของอะไรไว้หรือ? เขามีจุดประสงค์อะไร?” องค์รัชทายาทฮุ่ยเต๋อทิ้งของไว้ให้หยวนฉงหวาย่อมมีเป้าหมาย
หยวนฉงหวาแย้มยิ้ม “หลักฐานความผิดที่ใช้กำจัดตระกูลหวังได้เพคะ องค์รัชทายาทฮุ่ยเต๋อมอบให้หม่อมฉันก่อนสิ้นพระชนม์ เพื่อให้หม่อมฉันใช้สิ่งนี้ช่วยเหลือฮองเฮา เขาบอกว่าใช้ชีวิตของคนทั้งตระกูลหวังแลกกับชีวิตของฮองเฮา องค์รัชทายาทกับท่านต้องเห็นด้วยเพคะ”
“อย่างนั้นหรือ?” ถาวจวินหลันยิ้ม แต่แววตากลับเย็นเยียบขึ้นมา “น่าเสียดายที่ข้าไม่คิดจะผ่อนผันให้ฮองเฮาแม้แต่น้อย ตระกูลหวังซื่อรนหาที่เอง สมควรตายอยู่แล้ว แล้วจะเอาอะไรมาบอกว่าชีวิตพวกเขาแลกกับชีวิตฮองเฮาได้?”
หยวนฉงหวาส่ายหน้า พูดเสียงเบา “วันนี้หม่อมฉันไม่ได้เอาสิ่งนี้มาช่วยฮองเฮา แต่เพราะอยากใช้สิ่งนี้เป็นของตอบแทนเพคะ ขอชายารัชทายาทปกป้องพวกเราสองแม่ลูกให้ปลอดภัยด้วย”
ถาวจวินหลันนิ่งเงียบมองหยวนหวาครู่ใหญ่ ก่อนยิ้มออกมา “ได้” ไม่ว่าจุดประสงค์เดิมขององค์รัชทายาทฮุ่ยเต๋อคืออะไร วันนี้คนที่เอามาแลกคือหยวนฉงหวา แน่นอนว่าหยวนฉงหวาพูดอะไรนางก็คำนึงจากคำพูดของหยวนฉงหวาเท่านั้น
แต่ก็ต้องพูดว่าหยวนฉงหวาเป็นคนใจเหี้ยมและมีแผนการ องค์รัชทายาทฮุ่ยเต๋อคงคิดไม่ถึงว่าของที่เขาตั้งใจทิ้งเอาไว้ให้ ของสิ่งเดียวที่สามารถปกป้องมารดาของเขาได้ สุดท้ายกลับถูกหยวนฉงหวานำมาใช้เช่นนี้
สุดท้ายแผนการขององค์รัชทายาทฮุ่ยเต๋อก็ต้องคว้าน้ำเหลว
น่าสงสารองค์รัชทายาทฮุ่ยเต๋อ ของของเขาไม่มีประโยชน์เลยแม้แต่น้อย แต่หากฮองเฮารู้ว่าองค์รัชทายาทฮุ่ยเต๋อตั้งใจทิ้งทางหนีทีไล่ให้กับนางก่อนตาย นางจะมีปฏิกิริยาอย่างไร? คงชื่นใจกระมัง? แม้ว่าหนทางนี้ต้องใช้ตระกูลหวังไปแลกก็ตาม
หลังจากถาวจวินหลันตอบตกลง หยวนฉงหวาก็สบายใจไปเฮือกหนึ่ง
แต่ถาวจวินหลันก็ถอนหายใจพูดอีกว่า “แต่ข้ายังสงสัยว่าทำไมเจ้าถึงไม่เสนอสิ่งนี้ขึ้นมาแต่แรก?”
หยวนฉงหวาอึ้งชะงักไป และไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา
ถาวจวินหลันมองหยวนฉงหวานิ่งๆ ครู่หนึ่ง จนหยวนฉงหวาเหงื่อเย็นไหลเต็มแผ่นหลังถึงได้พูดว่า “อย่าได้คิดการใหญ่ ทางที่ดีที่สุดอย่ามีดีกว่า ในเมื่ออยากเข้าร่วม ก็ต้องแสดงจุดยืนออกมา หากยังมีครั้งต่อไป…”
หยวนฉงหวารีบพูดว่า “หม่อมฉันไม่กล้ามีความคิดเช่นนี้อีกแล้วเพคะ แม้แต่อาอู่เอง?หม่อมฉันก็จะสั่งสอนให้ดี ไม่มีทางปล่อยให้เขามักใหญ่ใฝ่สูง เพียงเพราะลมปากคนคนอื่นเป็นแน่เพคะ”
ถาวจวินหลันพยักหน้าอย่างพอใจ แล้วให้คนไปประคองหยวนฉงหวาขึ้นมา “ในเมื่อเจ้ามีใจจะหลบหลีก ข้ามีบ้านนอกเมืองอยู่ที่หนึ่ง เจ้าไปอาศัยที่นั่นก่อนได้ พอสถานการณ์ในเมืองหลวงสงบลงแล้ว ข้าจะให้คนไปรับเจ้ามา ถึงเวลานั้นข้าจะไปเสนอองค์รัชทายาท ให้อาอู่ขึ้นเป็นท่านอ๋อง และรับช่วงต่อจวนคังอ๋อง”
สำหรับอาอู่แล้ว นี่ถือเป็นบทสรุปที่ดีที่สุด
หยวนฉงหวาได้ยินก็พอใจ รีบขอบพระทัยถาวจวินหลันเสียงเบาด้วยซาบซึ้งว่า “ที่จริงแล้วหวังฮูหยินนาง…”
“หวังฮูหยินน่าสงสารพอแล้ว นางไม่ได้ร่วมมือกับฮองเฮา เรื่องนี้สืบมาอย่างชัดเจนแล้ว แล้วนางยังเป็นแม่ใหญ่ของอาอู่ ไม่ว่าอย่างก็ละเลยนางไม่ได้ อีกอย่าง นางยังมีลูกสาวอีกสองคน” ถาวจวินหลันกลับขัดคำพูดของหยวนฉงหวาเอาไว้
ถาวจวินหลันใช้ข้ออ้างว่าตนเองเหนื่อย แล้วบอกให้หยวนฉงหวาออกไป
หยวนฉงหวาทำได้แค่กลับไปอย่างขวัญหนีดีฝ่อ
รอจนหยวนฉงหวากลับไปแล้ว อิงเฟยก็ส่งยิ้มอย่างแฝงนัยให้ถาวจวินหลัน “หยวนฉงหวาไม่ง่ายเลยจริงๆ”
ถาวจวินหลันก็หัวเราะ “ใช่แล้วเพคะ ไม่ง่ายเลยจริงๆ แค่ความใจเหี้ยมก็ไม่มีใครเทียบได้แล้ว นางเกลียดองค์รัชทายาทฮุ่ยเต๋อ แต่ก็ยังทำให้องค์รัชทายาทฮุ่ยเต๋อเชื่อใจนางขนาดนั้นได้ เท่านี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้วเพคะ”
“ก่อนหน้านี้นางไม่ยอมเอาสิ่งนี้มาแลก เกรงว่าคงหวังอยู่บ้าง” อิงเฟยเคาะโต๊ะ พูดอย่างดูแคลนเล็กน้อย “ตอนนี้ใช้สิ่งนี้มาเอาตัวรอดในสถานการณ์สุ่มเสี่ยง นางคนนี้คำนวณเวลาและโอกาสมาเป็นอย่างดี แล้วยังเข้าใจใช้เด็กมาทำให้ท่านใจอ่อน เห็นแบบนี้คงปล่อยให้นางมีโอกาสไม่ได้”
“ข้าทราบดี” ถาวจวินหลันพยักหน้าเงียบๆ “หลังจากนี้นางเป็นเพียงแม่ม่าย และไม่ไม่ใช่ชายาเอก ย่อมไม่มีเหตุผลให้ทำการใหญ่ได้อีก แม้แต่อาอู่ก็ให้นางเลี้ยงชั่วคราวเท่านั้น หากโตกว่านี้หน่อยก็รับเข้ามาเรียนหนังสือกับพวกเซิ่นเอ๋อร์ได้เพคะ ถึงเวลานั้นเข้าออกวังไปมาลำบากเกินไป สู้ให้เขาอาศัยอยู่ในวังดีกว่าเพคะ”
หากทำอย่างนี้ ต่อให้หยวนฉงหวาคิดจะทำอะไรก็ไม่มีโอกาสอีก ทั้งอาอู่ยังไม่โตไปในทางผิด
อิงเฟยได้ยินก็หัวเราะพลางพยักหน้า “เป็นเช่นนี้ก็ดืแต่ข้าดูแล้ว หวังฮูหยินคงสั่งสอนได้อีกสักหน่อย”
ถาวจวินหลันก็ไม่ได้แตกต่างกันนัก หัวเราะพลางพยักหน้าน้อยๆ
ตอนอยู่ข้ามปีเก่า อิงเฟยพูดว่าตนเองอายุมากแล้ว อดหลับอดนอนดึกๆ ไม่ค่อยไหว ดังนั้นจึงขอตัวกลับไปก่อน ส่วนเด็กๆ ก็ง่วงจนผล็อยหลับไปนานแล้ว
ถาวจวินหลันอดนอนข้ามปีเก่าเพียงลำพังไม่ได้ จึงตัดสินใจขึ้นไปนอนหลับสบายบนเตียง พูดคุยกับหลี่เย่ที่นอนอยู่ข้างๆ
อาการของหลี่เย่เริ่มดีขึ้นแล้ว หน้าซีดขาวก่อนหน้านี้เริ่มมีเลือดฝาด แม้แต่ชีพจรก็เริ่มมั่นคงและเต้นแรงขึ้น
แม้แต่ทางหมอหลวงเองก็รู้สึกว่าอาการเขาดีขึ้นเรื่อยๆ แม้ยังไม่อาจรู้ได้ว่าจะตื่นขึ้นมาเมื่อไร แต่อย่างน้อยก็มั่นใจว่าเขาจะต้องตื่นขึ้นมาแน่นอน
ยากันพิษเม็ดนั้นก็นับว่ามีประโยชน์ อย่างน้อยก็ยังรักษาชีวิตหลี่เย่เอาไว้ได้ แน่นอนว่าครั้งนี้อาจจะทำให้ร่างกายของหลี่เย่เสียหาย แต่หลังจากนี้ค่อยๆ รักษาและบำรุงกลับมาก็พอแล้ว
ถาวจวินหลันจับมือหลี่เย่เอาไว้แน่น พูดเสียงเบา “ท่านวางใจเถิดเพคะ หม่อมฉันต้องรักษาแผ่นดินที่ได้มาอย่างยากลำบากแทนท่านเอง แต่ท่านอย่าให้หม่อมฉันรอนางเกินไปนัก…”
นางเล่าเรื่องสัพเพเหระไปเรื่อย ถาวจวินหลันและกับหลี่เย่จึงข้ามปีเก่า และต้อนรับปีใหม่ไปพร้อมกัน
หนึ่งปีผลัดไปเรื่องการขึ้นครองราชย์ย่อมต้องถูกเสนอขึ้นมา
จากความเห็นของเหล่าขุนนางแล้ว วันที่ขึ้นครองราชย์ควรถูกกำหนดไว้ในวันที่สองเดือนสอง ด้วยเพราะมังกรเชิดหน้าในวันนั้น
ถาวจวินหลันถือโอกาสนี้ประกาศเรื่องฮองเฮาก่อกบฏและวางยาอู่อ๋องกับหลี่เย่ออกมาให้ทุกคนทราบ เรื่องนี้ย่อมไม่อาจปิดบังไว้ได้ ผ่านวันที่แปดเดือนหนึ่งนี้ไปก็จะต้องเปิดราชสำนักจัดการว่าราชการแล้ว แต่หากหลี่เย่ไม่ปรากฏตัวออกมา แล้วเรื่องนี้จะปิดต่อไปได้อย่างไร?
ในเมื่อปิดบังไม่ได้ ก็ได้แค่ประกาศบอกทุกคนเท่านั้น
ฉับพลัน ข่าวนี้ก็ก่อให้เกิดคลื่นพายุพัดผ่านราชสำนัก เป็นคลื่นยักษ์โหมแรงหลายลูกอย่างกะทันหัน ทำให้กระแสอำนาจเกิดความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยอย่างน่าประหลาดใจ
เริ่มมีคนคาดเดาเรื่องอาการของหลี่เย่ไปมากมาย
ถาวจวินหลันให้หมอหลวงปิดข่าวที่หลี่เย่ใกล้จะหายดีเอาไว้ให้มิด เพียงแค่ประกาศให้ข้างนอกทราบว่า ยังไม่รู้ว่าหลี่เย่จะตื่นอีกหรือไม่ ถึงตื่นก็ยังไม่รู้ว่าเมื่อไร
ข่าวลือออกไปเช่นนี้ กระแสอำนาจในราชสำนักก็เปลี่ยนไป ตอนนี้มีคนไม่น้อยลอบปรึกษากัน หากหลี่เย่ยังไม่ฟื้นก่อนวันที่ขึ้นครองราชย์ แล้วจะทำอย่างไร? หรือว่าจะหนุนซวนเอ๋อร์ที่ยังเป็นเด็กไม่รู้ความขึ้นครองราชย์อย่างนั้นหรือ?
หากต้องหนุนซวนเอ๋อร์จริง เรื่องนี้ก็น่าขบขันไปเสียหน่อย เด็กเล็กรับเรื่องได้มากมายเท่าไรกัน? แม้มีตัวอย่างก่อนหน้านี้ แต่อย่างน้อยฮ่องเต้องค์ก่อนก็เหลือขุนนางไว้คอยช่วยเหลือมิใช่หรืออย่างไร?
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหลี่เย่ แม้จะเป็นพ่อลูก หากหนุนซวนเอ๋อร์ขึ้นเป็นฮ่องเต้แล้วหลี่เย่ฟื้นขึ้นมาเล่า ถึงตอนนั้นก้ปล่อยตำแหน่งฮ่องเต้ให้ไม่ได้แล้ว อีกทั้งถึงเวลานั้นใครจะมาจัดการเรื่องราชการ?
เพียงแค่คิดเรื่องเหล่านี้ ทุกคนก็ใจไม่ดี
ในขณะที่พายุฝนด้านนอกกำลังพัดโหม ถาวจวินหลันกลับสอนหนังสือซวนเอ๋อร์อยู่ในวังตวนเปิ่นอย่างสบายใจ