บัลลังก์พญาหงส์ - บทที่ 720 ปฏิเสธ
ถาวจวินหลันพูดตรงประเด็น ทันใดนั้นภายในตำหนักใหญ่ก็เงียบเป็นเป่าสาก
ถาวจวินหลันพูดออกมาตรงๆ ได้ แต่บรรดาขุนนางกลับไม่กล้าพูดออกมาตรงๆ เช่นนี้ ถ้าพูดออกมาแล้วก็มีแต่ดูไม่ซื่อสัตย์ กล้ายอมรับเลยว่าพวกเขากลัว
พอเห็นสีหน้าท่าทางเช่นนี้ของขุนนางใหญ่ ถาวจวินหลันกลับแค่นหัวเราะออกมา “ทำไมถึงไม่พูดเล่า?”
ในที่สุดก็มีคนออกมาพูด แต่ก็ยังพูดตะกุกตะกัก “ซวนเอ๋อร์ยังทรงพระเยาว์ ไม่มีทางรับผิดชอบภาระหนักหนาได้ หากองค์รัชทายาทยัง…เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ย่อมส่งผลเสีย บ้านเมืองแผ่นดินวุ่นวายทั้งนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
“พวกเจ้าทำเพื่อแผ่นดินบ้านเมืองอย่างนั้นหรือ” ถาวจวินหลันยิ้มน้อยๆ ท่าทีเย็นชา “ลำบากความจงรักภักดีของเจ้าแล้ว แต่พวกเจ้าคิดว่าใครเหมาะสมอย่างนั้นหรือ?”
สิ้นเสียง อุณหภูมิในตำหนักก็เหมือนจะลดต่ำลงอีก ขุนนางใหญ่ทุกคนต่างก็สัมผัสได้ถึงความกดดันอย่างน่าแปลก ความกดดันนี้ยิ่งทำให้พวกเขาไม่กล้าเอ่ยปากพูด
ไม่ว่าพูดไรก็ผิดทั้งนั้น ล้วนไม่ควรพูดทั้งสิ้น
“จวงอ๋องใจโหดเหี้ยมแล้วยังมีโทษติดตัว แม้ว่าตอนนี้ยังไม่ได้ถูกจัดการ แต่ความตั้งใจขององค์รัชทายาทก็คือขังเขาเอาไว้ ส่วนอู่อ๋องก็ถูกฮองเฮาวางยา คนที่บรรลุนิติภาวะทั้งมีคุณสมบัติรับช่วงตำแหน่งฮ่องเต้ได้ ก็เหมือนจะเหลือเพียงองค์ชายเจ็ดคนเดียวเท่านั้น” ถาวจวินหลันพูดออกมาเรียบๆ เสียงไม่ดังไม่เบาเกินไป แต่เสียงดังกังวาน แววตายังแฝงไว้ด้วยความโหดร้าย สายตาคมกริบดั่งคมมีดนั้นกวาดตามองไปทั่วทุกคน ก็ให้มีบางคนก้มหน้ามองต่ำด้วยประหม่า
องค์ชายเจ็ดคุกเข่าลงไปในทันใด ขมวดคิ้วแน่นพูดว่า “ชายารัชทายาท กระหม่อมไม่เคยคิดเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ” องค์ชายเจ็ดพูดอย่างจริงใจจริงจัง ไม่ดูเสแสร้งแม้แต่น้อย
ถาวจวินหลันพยักหน้า แล้วถอนหายใจออกมา “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่คิดเช่นนี้ แต่จริงๆ พวกขุนนางก็พูดถูก ซวนเอ๋อร์เป็นแค่เด็ก ไฉนเลยจะรับภาระอันหนักหนาได้เล่า?”
องค์ชายเจ็ดคิดจะอ้าปากพูดอะไรออกมา แต่ยังไม่ทันรอให้เขาพูด ก็มีคนอื่นส่งเสียงพูดก่อน “ไม่จำเป็นต้องให้มาแทนที่ เพียงให้องค์ชายเจ็ดมาเป็นตัวแทนจัดการเรื่องราชการก่อน…”
คำพูดนี้สง่าผ่าเผย อีกทั้งยังดูมีเหตุผลอยู่บ้าง อย่างไรหลี่เย่ก็ยังไม่ฟื้นขึ้นมา ซวนเอ๋อร์ก็เพิ่งจะอายุเท่านั้น องค์ชายเจ็ดจึงเหมาะสมทั้งอายุทั้งสถานะ มาเป็นตัวแทนจัดการราชการก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผล ต่อให้ไม่ได้ดูแลแทนในนามฮ่องเต้ แต่ในความเป็นจริงแล้วก็ไม่ค่อยต่างกันไม่ใช่หรือ? อย่างไรไม่ว่าในนามจะเป็นอะไร สุดท้ายคนที่ครองอำนาจก็คือองค์ชายเจ็ด
องค์ชายเจ็ดถลึงตามองคนที่เอ่ยปากพูด เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันพูดว่า “เจ้าพูดอะไรกัน? องค์รัชทายาทถึงจะเป็นคนที่ฟ้าลิขิต ข้าถือเป็นอะไร? หากใต้เท้ายังพูดจาไร้สาระเช่นนี้อีก อย่าถือว่าข้าไม่เกรงใจเลย!”
ตามความคิดขององค์ชายเจ็ด คนเหล่านี้ตั้งใจมาสร้างความแตกแยก
ถาวจวินหลันหลุบตาลงน้อยๆ เอ่ยปากพูดว่า “ที่จริงข้าก็เคยคิดเรื่องนี้มาก่อน ขุนนางทุกท่านก็ใช่ว่าไร้เหตุผล เอาเช่นนี้ หากหนึ่งเดือนให้หลังองค์รัชทายาทยังไม่ฟื้นขึ้นมา ก็ให้องค์ชายเจ็ดขึ้นครองราชย์แล้วกัน”
พูดเช่นนี้ก็ไม่ต่างจากทุ่มก้อนหินยักษ์ลงบนพื้นผิวทะเลสาบที่สงบ ก่อให้เกิดคลื่นลูกใหญ่
ไม่ต้องพูดถึงบรรดาขุนนาง แม้แต่ตัวองค์ชายเจ็ด เฉินฟู่ และคนอื่นยกเว้นถาวจวินหลันก็ตื่นตะลึงไปตามๆ กัน ผ่านไปครู่ใหญ่ก็ยังไม่ได้สติคืนมา
ถาวจวินหลันไม่เคยพูดเรื่องนี้กับใครมาก่อนเลย และยิ่งไม่เคยแสดงออกมาให้เห็น
ทุกคนจึงคิดไปว่า หรือถาวจวินหลันถูกกดดันจนถึงทางตันแล้ว ถึงได้ยอมถอยให้จนถึงขั้นนี้?
ถาวจวินหลันถือโอกาสตอนที่ยังไม่มีใครเอ่ยปาก พูดต่อไปว่า “คิดว่าต่อให้องค์ชายเจ็ดขึ้นครองราชย์ ก็ใช่ว่าจะละเลยครอบครัวของพวกข้า องค์ชายเจ็ดใจกว้างมีศีลธรรม มอบราชสำนักให้เขา ข้าเองก็วางใจ”
ถาวจวินหลันพูดอย่างจริงใจ แต่กลับยิ่งทำให้ทุกคนตะลึงอ้าปากค้าง
มีขุนนางได้สติกลับมา รีบพูดเสริมว่า “ข้อเสนอของชายารัชทายาทก็ใช่ว่าจะไม่…”
แต่เขายังพูดไม่จบ องค์ชายเจ็ดก็อุดปากเขาเอาไว้
องค์ชายเจ็ดพุ่งเข้าไปเหวี่ยงหมัดใส่เขาตรงๆ จนล้มลงไปกองบนพื้น จากนั้นก็ยืนอย่างกับเพชรฆาต มองขุนนางคนนั้นอย่างเย็นชา “เจ้าลองพูดอีกทีสิ!”
ขุนนางคนนั้นปากสั่นไม่กล้าพูดอีก เขาชำเข้าที่คางของเขาเต็มแรง ตอนนี้เขารู้สึกว่าใต้คางของเขาเจ็บจนเหมือนจะแตกเป็นเสี่ยง ไฉนจะกล้าพูดอะไรอีก? หากพูดออกมาอีก เกรงว่าองค์ชายเจ็ดคงจะเอาชีวิตของเขาไปเป็นแน่!
ซวนเอ๋อร์ขยับตัว จับแขนเสื้อของถาวจวินหลันเอาไว้แน่น แต่ถาวจวินหลันคิดถึงคำกำชับของหลี่เย่ นางถึงได้อดทนไม่พูดอะไรออกมา
ซวนเอ๋อร์รู้สึกว่าขุนนางเหล่านี้ช่างน่ารังเกียจเสียจริง และคิดว่าท่านอาองค์ชายเจ็ดหล่อมาก เขาอยากรอเห็นองค์ชายเจ็ดซัดหมัดจัดการขุนนางจอมเสแสร้งเหล่านี้ทั้งหมด
ถาวจวินหลันขมวดคิ้วตำหนิองค์ชายเจ็ด “องค์ชายเจ็ดทำอะไร? ข้าเป็นคนเสนอเรื่องนี้เอง หรือเจ้าก็จะทำร้ายข้าด้วยหรือ?”
องค์ชายเจ็ดยืนอยู่ตรงนั้นอย่างหัวรั้น พูดออกมาอย่างโมโห “ชายารัชทายาทไม่ควรพูดเช่นนั้น ท่านกำลังดูหมิ่นกระหม่อมนะพ่ะย่ะค่ะ”
ถาวจวินหลันถอนหายใจ “ข้าพูดความจริง ที่ตัดสินใจเช่นนี้ก็เพราะไร้หนทาง หากองค์รัชทายาทไม่ได้เป็นเช่นนี้ หากไม่ใช่เพราะซวนเอ๋อร์อายุน้อยเกินไป และไม่อาจรับภาระหนักได้ ทำไมพวกเราจะต้องทำเช่นนี้? อีกอย่างมอบหมายให้เจ้า ทั้งข้าและองค์รัชทายาทก็สบายใจ”
“กระหม่อมเป็นขุนนางก็ช่วยเหลืองานราชการได้พ่ะย่ะค่ะ” องค์ชายเจ็ดสูดหายใจเข้าลึก ท่าทางหัวแข็งเล็กน้อย “ตำแหน่งฮ่องเต้เป็นของพี่รอง กระหม่อมจะรับได้อย่างไรกัน? พี่สะใภ้รองอยากให้กระหม่อมกลายเป็นตัวตลกขบขันไร้ยางอายอย่างนั้นหรือ?
เงียบไปครู่หนึ่ง องค์ชายเจ็ดก็พูดอย่างหนักแน่นว่า “เพียงแค่ราชสำนัก กระหม่อมก็ไม่มีทางปฏิเสธ มีเพียงเรื่องนี้ที่กระหม่อมไม่กล้ารับปาก วันนี้ไม่ตกลง พรุ่งนี้ก็ไม่มีทางเปลี่ยนใจ หากผิดคำพูดนี้ กระหม่อมควรถูกลงโทษถลกหนัง ให้ทนทุกข์ทนเจ็บปวดพ่ะย่ะค่ะ!”
คำพูดขององค์ชายเจ็ดทำให้คนคล้อยตาม ทุกคนพลันก็เหมือนจะโดนสะกดจนแน่นิ่ง
ถาวจวินหลันถอนหายใจมององค์ชายเจ็ดนิ่ง “เจ้าจะทำเช่นนี้ไปเพื่ออะไร ข้าไม่/ด้พูดเพียงเพราะพวกเขากดดันข้าทั้งหมด แต่เพราะคำนึงถึงความเป็นจริง”
องค์ชายเจ็ดทรุดคุกเข่าลงไป พูดเสียงเบา “จวงอ๋องเคยก่อกบฏกดดันวัง พี่รองก็บุกไปปราบด้วยตนเอง ตอนที่ออกจากวังหลวง พี่รองได้ทิ้งหนังสือราชโองการเอาไว้ ตอนแรกกระหม่อมคิดว่าทนรอพี่รองจะฟื้นขึ้นมาได้ แต่ตอนนี้ดูแล้วควรเอาหนังสือราชโองการของพี่ร้องออกมาเสียแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ก่อนที่หลี่เย่จะสลบไปก็เคยพูดถึงเรื่องนี้มาก่อนเช่นกัน แต่ถาวจวินหลันไม่เคยพูดถึงขึ้นมาก่อน ทั้งยังไม่คิดจะเอาออกมาดู วันนี้องค์ชายเจ็ดพูดแบบนี้ นางก็ได้แต่ถอนหายใจ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็เชิญเอาหนังสือราชโองการขององค์รัชทายาทออกมาเถิด”
หนังสือราชโองการนี้ถูกซ่อนอยู่บนคานห้องของตำหนักไท่จี๋ ถาวจวินหลันสั่งให้คนเอากล่องนั้นลงมา
ถาวจวินหลันให้เฉินฟู่อ่านหนังสือราชโองการที่หลี่เย่ทิ้งเอาไว้
พอเฉินฟู่อ้าปากพูดก็ให้ทุกคนตื่นตกใจทันที
เนื้อหาในหนังสือราชโองการเหมือนที่ถาวจวินหลันคิดเอาไว้ ความตั้งใจของหลี่เย่คือ หากเขาไม่ได้กลับมาตำแหน่งฮ่องเต้ ก็มอบให้กับองค์ชายเจ็ด และซวนเอ๋อร์สืบทอดจวนตวนชินอ๋อง ขอแค่องค์ชายเจ็ดปฏิบัติกับถาวจวินหลันและคนอื่นให้ดีเท่านั้น
มีขุนนางไม่น้อยแสดงสีหน้ายินดีออกมา แต่คนส่วนมากยังตื่นตะลึง
ทุกคนคิดว่าหลี่เย่น่าจะให้องค์ชายเจ็ดช่วยเหลือซวนเอ๋อร์ แต่คิดไม่ถึงว่าความจริงกลับเป็นเช่นนี้
แม้แต่ถาวจวินหลันก็แปลกใจอยู่มาก แต่แล้วนางกลับยิ้มมองไปทางองค์ชายเจ็ด “เจ้าดูสิ องค์รัชทายาทเองก็คิดเช่นนี้ เจ้าว่าอย่างไรเล่า”
องค์ชายเจ็ดนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย เห็นชัดว่าตกใจจนบื้อใบ้ไปแล้ว
ถาวจิ้งผิงมองไปยังเฉินฟู่ด้วยสีหน้าสงสัย เขาสงสัยว่าทำไมเรื่องนี้ถึงได้ดูแปลกๆ แล้วหลี่เย่คิดอะไร ถึงได้ตัดสินใจเช่นนี้?
องค์ชายเจ็ดได้สติกลับมาเพราะถาวจวินหลัน เขาคุกเข่าลงไปทันที ก่อนพูดว่า “คำไหว้วานขององค์รัชทายาทช่างหนักหนา แต่ก็เพราะเขาให้ความสำคัญกับกระหม่อม แต่กระหม่อมไม่อาจรับไว้ได้ ขอชายารัชทายาทและขุนนางทุกท่านโปรดคิดรอบครอบเถิด!”
ถาวจวินหลันไม่ได้เอ่ยปากพูด แต่กลับมีขุนนางเอ่ยปากเกลี้ยกล่อมเขาว่า “นี่เป็นความตั้งใจขององค์รัชทายาท ถึงองค์ชายเจ็ดรับไว้ก็ไม่ต้องรู้สึกผิด นี่เป็นสิ่งที่องค์รัชทายาททำเพื่อแคว้นบ้านเมือง…”
องค์ชายเจ็ดเหลือบตามองอย่างเย็นชา หมัดกำเข้าหากันแน่น พูดทีละคำอย่างชัดเจน “ข้าพูดแล้ว ข้าไม่รับ! พี่รองเป็นคนที่สวรรค์ลิขิตเอาไว้ แม้เขาทำไม่ได้ เขาก็ยังมีลูกชาย! ไม่ว่าอย่างไรก็มาไม่ถึงข้า! อีกอย่างข้าทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น ได้เพียงฆ่าคน สู้รบ! ขุนนางทุกท่านกำลังบีบให้ข้าฆ่าตัวตายหรืออย่างไร?” ความหมายของเขาคือ หากให้เขารับตำแหน่งนี้จริง เขายอมฆ่าตัวตายดีกว่า
ถาวจวินหลันอึ้งไปเล็กน้อย หลุบตาทั้งสองข้างลงอย่างประหม่า “เหตุใดองค์ชายเจ็ดถึงเป็นเช่นนี้เล่า?”
“กระหม่อมยอมช่วยเหลือหนุนนำพี่รอง หนุนนำซวนเอ๋อร์!” องค์ชายเจ็ดคำนับอย่างหนักแน่น แสดงให้เห็นถึงการตัดสินใจอันเด็ดเดี่ยว
พอเห็นท่าทีเด็ดขาดขององค์ชายเจ็ด ทุกคนก็เชื่อว่าเขาไม่ยอมมาแทนที่จริง
ถาวจวินหลันทนไม่ไหวอีกต่อไป น้ำตาไหลเต็มใบหน้าลุกขึ้นพุ่งไปคุกเข่าคำนับองค์ชายเจ็ด “น้องเจ็ดไม่ฉวยโอกาสตอนที่เขาตกอยู่ในอันตราย ทั้งยังยินยอมปกป้องพวกเราแม่ม่ายลูกกำพร้า การกระทำเช่นนี้ช่างเป็นเมตตาอันใหญ่หลวงนัก!”
องค์ชายเจ็ดรับไว้ “ไม่ว่าอย่างไร ข้าเป็นขุนนาง พี่รองเป็นผู้นำ พี่รองไม่อยู่ เลือดเนื้อเชื้อไขของเขาก็ยังเป็นผู้นำ! คอยดูแลแผ่นดินบ้านเมืองนี้แทนพี่รอง ไม่มีใจคิดเป็นอื่น!”
องค์ชายเจ็ดเป็นเช่นนี้กลับทำให้คนอื่นละอายแก่ใจขึ้นมา จิตใจที่บริสุทธิ์ดีงามของเขา มาเทียบกับความคิดสกปรกของคนเองแล้ว คนพวกนั้นจะไม่ละอายแก่ใจหรือรู้สึกผิดต่อตนเองได้อย่างไร?
เฉินฟู่หัวเราะ เอ่ยชมเสียงดัง “องค์ชายเจ็ดช่างมีคุณธรรมยิ่งนัก!” เงียบไปพักหนึ่ง ก็พูดต่อว่า “ที่จริงองค์รัชทายาทคิดไว้แล้วว่าองค์ชายเจ็ดต้องคิดเช่นนี้ ถึงได้ทิ้งคำพูดไว้อีกพ่ะย่ะค่ะ” จากนั้นก็อ่านเนื้อหาทั้งหมดในหนังสือราชโองการจนจบ
ตัวเลือกที่สองของหลี่เย่คือซวนเอ๋อร์ อีกทั้งยังระบุองค์ชายเจ็ด เฉินฟู่ และถาวจิ้งผิงให้เป็นขุนนางปกปักรักษา แล้วยังระบุให้ใต้เท้าเฉินเป็นอาจารย์ของซวนเอ๋อร์
หลี่เย่จัดการเอาไว้อย่างรอบคอบครบถ้วน อย่างน้อยก็ยังรับประกันว่าราชสำนักสามารถดำเนินต่อไปได้ ไม่มีกษัตริย์นั่งประจำการก็ไม่ถึงขั้นวุ่นวายยุ่งเหยิง
ถาวจวินหลันก้มหน้าน้ำตาไหลนองหน้า คิดไม่ออกว่าหลี่เย่เขียนหนังสือราชโองการฉบับนี้ด้วยความรู้สึกอย่างไร
แต่เรื่องมาถึงตอนนี้ นางก็ถอยกลับไม่ได้อีกแล้ว จึงเงยหน้าขึ้นมามองขุนนางทั่วท้องพระโรงอีกครั้ง ถามเสียงดังว่า “พวกเจ้ามีอะไรจะพูดอีกหรือไม่?”