บัลลังก์พญาหงส์ - บทที่ 723 บังลังก์พญาหงส์ (บทสรุป)
หลี่เย่ย่อมไม่คิดจะปล่อยตระกูลหวังไป และคำตอบที่ให้กับถาวจวินหลันก็มีเพียงคำเดียว ‘หนี้เลือดต้องชำระด้วยเลือด’ ไม่ว่าตระกูลหวังกระทำต่อตระกูลถาว หรือที่ทำกับเขาล้วนเป็นหนี้เลือดทั้งนั้น
และคำพูดของเขาถือว่าเป็นการลากตระกูลหวังเข้าไปในบ่อลึกไร้ที่สิ้นสุด ไม่มีโอกาสได้พลิกตัวกลับมาอีก
ส่วนเรื่องของฮองเฮา หลี่เย่กลับยิ้มออกมาน้อยๆ “ข้ามีมารดาเพียงคนเดียว ย่อมต้องแต่งตั้งมารดาของข้าเป็นไทเฮา หวังซื่อวางยาทำร้ายคนตระกูลหลี่ สติฟั่นเฟือน ความผิดมหันต์ ลงโทษทันที แต่เห็นแก่ความสัมพันธ์ของฮ่องเต้องค์ก่อนและหวังซื่อ ข้าจะไม่เอาชีวิตของนาง แต่ก็จะไม่ให้ยศตำแหน่งแก่นาง ให้นางมีชีวิตชดใช้บาปไปเถิด”
นี่ไม่ต่างจากที่ถาวจวินหลันคิดมากนัก จากนั้นนางก็คิดถึงม้วนกระดาษลับที่หยวนฉงหวามอบให้ จึงพูดเรื่องนี้ให้หลี่เย่ฟังด้วยความทอดถอนใจเล็กน้อย “แม้หวังซื่อน่ารังเกียจ แต่ก็มีลูกชายดีเพคะ” องค์รัชทายาทฮุ่ยเต๋อไม่เคยเนรคุณฮองเฮาหวังซื่อเลยแม้แต่น้อย ก่อนตายนอกจากจัดการเรื่องอาอู่ลูกชายเพียงคนเดียวของตนแล้ว ก็ยังเหลือทางรอดให้กับหวังซื่อเอาไว้ด้วย
แต่น่าเสียดาย ความตั้งใจดีขององค์รัชทายาทฮุ่ยเต๋อกลับไม่เป็นผล ต่อให้หยวนฉงหวาไม่มอบม้วนกระดาษลับนี่มาแลก หลี่เย่ก็ไม่มีทางปล่อยฮองเฮาหวังซื่อไปเพราะม้วนกระดาษลับนั่นอยู่แล้ว
ฮองเฮาหวังซื่อรนหาที่ตายเอง ก่อนหน้านี้นางก่อเรื่องมากมายเพียงใด? ไม่ว่าเรื่องไหนก็ไม่น่าให้อภัย และไม่มีทางปล่อยนางไปง่ายๆ เป็นแน่
หลี่เย่ไม่ใช่นักบุญ เขาถึงต้องการให้หนี้เลือดชำระด้วยเลือด ถาวจวินหลันใจเหี้ยมกว่าเขา ย่อมไม่มีทางไปขวางหลี่เย่ไว้
หลังจากทำชุดพิธีเสร็จได้ไม่นาน พิธีขึ้นครองราชย์ก็มาถึงตามวันที่กำหนดไว้
คืนก่อนวันงานถาวจวินหลันยังตื่นเต้นเล็กน้อย ไม่กล้านอนสนิทจนเกินไป เมื่อถึงวันรุ่งขึ้นหลี่เย่ขยับตัว นางก็ตื่นขึ้นมาทันที “ถึงเวลาแล้วหรือ?”
หลี่เย่รับคำ “อืม ใกล้แล้ว เจ้าลุกขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวก่อนเถิด” เทียบกับเขาแล้ว ถาวจวินหลันต้องใช้เวลามากกว่า พอสตรีแต่งหน้าแต่งตัวย่อมเปลืองเวลาและแรงกายอย่างมาก
ถาวจวินหลันลุกขึ้นมาอย่างทุลักทุเล ตอนนี้ท้องของนางใหญ่แล้ว ลุกก็ดีนอนก็ดี ล้วนต้องใช้แรงทั้งนั้น
ถาวจวินหลันพลันก็คิดถึงวันเทศกาลไหว้พระจันทร์ ตอนนั้นนางก็ตื่นเช้ามาแต่งหน้าแต่งตัวเช่นนี้ แต่คิดไม่ถึงว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นแบบนั้น หากโชคร้ายคงต้องเสียลูกไปแล้วเป็นแน่
ถาวจวินหลันยื่นมือออกไปลูบท้องกลมๆ ก่อนเบนหน้าถามหลี่เย่ “ท่านว่า ตอนเทศกาลไหว้พระจันทร์เป็นฝีมือใครกันแน่เพคะ?” จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีรู้ตัวการ นางจึงสงสัยอยู่มาก
หลี่เย่นิ่งไป แล้วถึงพูดว่า “ไม่ใช่แค่กำลังของคนคนเดียวเท่านั้น ข้าเดาว่าฮองเฮากับหวังฮูหยินคงมีส่วนร่วมอยู่ด้วย แน่นอนว่ากู้ซีเองก็เช่นกัน”
ถาวจวินหลันนิ่งเงียบไปพักใหญ่ เห็นว่าน่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะคนที่ได้ผลประโยชน์มากที่สุดคือกู้ซี หากบอกว่านางไม่มีส่วนเกี่ยวข้องก็ดูหลอกตัวเองเกินไป และกู้ซีเพียงคนเดียวก็คงทำได้ไม่ถึงขั้นนั้นแน่นอน
ศัตรูของศัตรูก็คือมิตร เท่านี้เรื่องที่ฮองเฮากับกู้ซีร่วมมือกันจึงดูสมเหตุผลขึ้นมา
“เพียงแต่เสียดายข้ารับใช้เหล่านั้นเพคะ” ถาวจวินหลันถอนหายใจ ตอนนั้นมีข้ารับใช้ตายมากมายเพียงใด? เพราะเรื่องนี้ฮ่องเต้พระองค์ก่อนยังต้องแบกคำต่อว่าเอาไว้ และตั้งแต่นั้นมา ฮ่องเต้พระองค์ก่อนก็ถูกตราหน้าว่าโหดเหี้ยมไร้ศีลธรรม
แต่พูดออกไปแล้ว ถาวจวินหลันก็ไม่ได้ติดใจเอาความอีก เรื่องนี้เป็นอดีตไปแล้ว ตอนนั้นนางถูกตลบหลัง ตามหลักการแล้วควรแก้แค้นกลับด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้นางเป็นเขียงหิน คนอื่นเป็นเนื้อปลา ทำไมนางต้องไปติดใจเอาความเรื่องเหล่านั้นด้วย? หากต้องการแก้แค้น ก็เพียงพูดเดียวเท่านั้น
พูดไปแล้วก็น่าแปลก ตอนที่ตัวเองยังตำแหน่งเท่าเทียมกับคนอื่น เวลาถูกดูหมิ่น ดูถูก หรือตลบหลังก็อยากแก้แค้นทั้งนั้น แต่ตอนที่ตัวเองเดินมาถึงยอดเขาและอีกฝ่ายยังคงหยุดอยู่ที่เดิม กลับคิดว่าไม่ควรค่าไปใส่ใจฝ่ายตรงข้ามอีก
นกอินทรียักษ์โบยบินบนท้องฟ้า เหตุใดต้องมาเอาความกับนกกระจอกด้วย?
ถาวจวินหลันตอนนี้รู้สึกว่าตนเองเริ่มมีความคิดเช่นนี้
พิธีขึ้นครองราชย์ย่อมเป็นเรื่องยิ่งใหญ่และเคร่งครัดมาก ดังนั้นไม่ว่าอาบน้ำก็ดี แต่งหน้าทำผมก็ดี ทุกคนล้วนมีสีหน้าจริงจังทั้งนั้น
กลับเป็นถาวจวินหลันที่ตื่นเต้นขึ้นมาน้อยๆ
นางเคยลองชุดหงส์หลังจากทำเสร็จมาแล้ว แต่พอมาสวมอีกครั้ง ถาวจวินหลันกลับถูกผู้หญิงในกระจกสะกดนิ่งไป มงกุฎหงส์เก้าชั้น ชุดหงส์ทอง รองเท้าไข่มุกบูรพา เป็นชุดเครื่องประดับที่นางมีคุณสมบัติสวมใส่เพียงคนเดียวในแผ่นดินนี้
สตรีในกระจกเปี่ยมด้วยความสง่างามและเคร่งขรึม รัศมีอำนาจที่แผ่ออกมานั้นทำให้คนไม่กล้ามอง นอกจากท้องที่กลมเกินไปจนดูไม่มีเอวแล้ว ก็ไม่มีสิ่งอื่นให้ติเตียนได้อีก
ถาวจวินหลันยกมือขึ้นมาลูบหน้าตนเอง รู้สึกว่าสตรีในกระจกนั้นดูแปลกหน้า นี่เป็นนางจริงๆ หรือ? นางดูเหมือนไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน
ถาวจวินหลันเบนหน้าไปถามหงหลัว “ข้ารู้สึกเหมือนไม่ใช่ตัวข้าเองแล้ว เจ้าคิดว่าอย่างไร? เปลี่ยนไปเยอะเลยใช่หรือไม่?”
หงหลัวพิจารณาอย่างละเอียด พลางส่ายหน้า “ปกติแล้วเหนียงเหนียงก็เป็นเช่นนี้เพคะ” ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปถาวจวินหลันถือเป็นฮองเฮาเหนียงเหนียงเต็มตัวแล้ว แม้จะบอกว่าตอนนี้ยังไม่ได้ทำพิธีแต่งตั้ง แต่นับจากนี้เป็นต้นไป ทุกคนล้วนเปลี่ยนสรรพนามการเรียกอย่างรู้กัน
ถาวจวินหลันสังเกตถึงคำเรียกของหงหลัว ก็ไม่ได้ตำหนิ อีกไม่นานก็จะใช่แล้ว ไม่จำเป็นต้องมาสั่งสอนเพียงเพราะเรื่องเท่านี้ รังแต่จะทำลายบรรยากาศวันนี้ไปเปล่าๆ อีกทั้งพวกนางก็ตั้งใจทำให้นางดีใจ
ถาวจวินหลันกลับตะลึงกับคำตอบของหงหลัว ปกติแล้วนางเป็นเช่นนี้อย่างนั้นหรือ? ทำไมนางถึงไม่รู้?
ขณะที่กำลังมองไปรอบๆ จับสังเกตอยู่นั้น หลี่เย่ก็เข้ามาพอดี เห็นนางใส่ชุดเต็มยศก็ให้ดวงตาเป็นประกายขึ้นมา พูดเย้าหยอกว่า “ฮองเฮาเหนียงเหนียงแต่งตัวเช่นนี้ ช่างมากด้วยเกียรติยศจนไม่กล้ามองเลยทีเดียว”
หลี่เย่ใส่ชุดตลุมยาวลายมังกรเก้าตัว ประกอบกับมงกุฎมังกรทอง รองเท้าข้อยาวมังกรเก้าตัว ตรงเอวยังมีเข็มขัดหยกมังกรทองขับให้ดูสูงสง่าผ่าเผยและองอาจ
เมื่อรัศมีความอ่อนโยนของหลี่เย่ถูกขับออกมาเช่นนี้ แม้จะบอกว่ายังมี แต่มากไปกว่านั้นคือความทรงอำนาจสง่างาม ทำให้คนรู้สึกถึงอำนาจอย่างเต็มเปี่ยม
ถาวจวินหลันเห็นก็แทบจะตะลึงไป ต้องพูดว่าพอหลี่เย่ได้สวมใส่เช่นนี้ แม้นางไม่ถึงขั้นถูกสะกดด้วยรัศมีองอาจ แต่การเปลี่ยนของหลี่เย่ก็สะกดจนนางนิ่งไป
“มิน่าเล่า ทำไมถึงพูดว่าไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง” ถาวจวินหลันได้สติกลับมา หุบยิ้มพูดออกมาเช่นนี้
หลี่เย่ส่ายหน้า “นั่นก็ไม่แน่ หากเป็นคนอื่นใส่ชุดหงส์ของเจ้าก็ใช่ว่าจะเหมือนฮองเฮา” เช่นเดียวกันชุดคลุมมังกรของเขาหรือว่าใส่แล้วจะเป็นฮ่องเต้เลยอย่างนั้นหรือ?
หลี่เย่พูดอย่างเย่อหยิ่งโอหัง ถาวจวินหลันพยักหน้า “เพคะๆ พระองค์พูดถูกเพคะ ฮ่องเต้ที่แสนดีของหม่อมฉัน!”
หลี่เย่ยื่นมือออกมา ก่อนหัวเราะเบาๆ “ฮองเฮาของข้า ยังไม่รีบส่งมือให้ข้าอีก งานพิธีแต่งตั้งไม่อาจล่าช้าได้”
ถาวจวินหลันสบเข้ากับสายตาเป็นประกายขบขันของหลี่เย่ ก่อนส่งมือไปวางไว้บนฝ่ามือของเขา ชายกระโปรงของชุดหงส์นั้นยาวคดเคี้ยวไปบนพื้น หงส์ยักษ์ปักด้วยด้ายทองเปี่ยมด้วยความมีชีวิตชีวา ขณะก้าวเท้าเดินก็เหมือนจะสยายปีกได้ตลอดเวลา เสียงร้องของหงส์สะกดบังลังก์
หลังจากขึ้นเกี้ยวส่วนพระองค์แล้ว ถาวจวินหลันกับหลี่เย่ก็นั่งเคียงข้างกันไป แขนเสื้อเสียดสีกันไปมา ใกล้จนได้กลิ่นหอมของอีกฝ่าย
“เหมือนฝันไปเพคะ” ถาวจวินหลันมองโคมไฟ ดิ้นหลากสีที่เต็มไปด้วยบรรยากาศยินดีรอบด้าน คิดได้ว่าอีกไม่นานตนเองก็จะเป็นฮองเฮาแล้ว ก็รู้สึกราวกับฝันไปจริงๆ
หลี่เย่จับมือของนางเอาไว้แน่น หัวเราะออกมาเบาๆ “เป็นเรื่องจริง ข้าเป็นฮ่องเต้ ส่วนเจ้าเป็นฮองเฮา น่าสงสัยตรงไหนกัน?” เขามีนางเป็นฮองเฮาคนเดียวเท่านั้น ในตอนนั้น ตั้งแต่ที่นางเข้าจวนมา เขาก็คิดว่าหากวันหนึ่งได้ขึ้นนั่งตำแหน่งนั้นจริง ถาวจวินหลันก็ต้องได้ขึ้นเป็นฮองเฮาเท่านั้น ไม่มีทางเป็นคนอื่นไปได้
เขาคิดว่าเรื่องนี้เป็นความคิดที่ถูกต้อง
ถาวจวินหลันได้ยินน้ำเสียงมั่นใจของหลี่เย่ก็อดหัวเราะไม่ได้ “เพียงไม่อยากเชื่อเพคะ นางกำนัลคนหนึ่งจะขึ้นเป็นฮองเฮาได้อย่างไร? ถ้าไม่ใช่เพราะประสบพบเจอด้วยตนเอง หม่อมฉันคงไม่เชื่อว่ามีเรื่องเช่นนี้ด้วย”
หลี่เย่ตอบเพียงสี่คำ “เจ้าสมควรเป็น”
หลี่เย่คิดว่าแผ่นดินของเขาเป็นของถาวจวินหลันส่วนหนึ่ง ถ้าไม่มีถาวจวินหลัน บางทีวันนี้เขาคงพ่ายแพ้ไปนานแล้ว ไฉนเลยจะมีหน้ามีตาเช่นนี้?
เมื่อมาถึงสถานที่จัดพิธี หลี่เย่ก็ลงจากเกี้ยวไปก่อน จากนั้นถึงหันมาประคองถาวจวินหลัน ถาวจวินหลันย่อมส่งมือออกไปตามความเคยชิน มือทั้งสองคนประสานกันแน่น แล้วก็ไม่ได้แยกจากกันอีก
เมื่อเดินมาถึงประรำสูงบูชาสวรรค์ หลี่เย่ก็ต้องบูชาสวรรค์ด้วยสุราชั้นดี เขาจึงปล่อยมือของนางออก แต่หลังจากบูชาสวรรค์แล้ว หลี่เย่กลับยกจอกเหล้าจอกที่สามขึ้นมา พูดเสียงดังว่า “แก้วนี้ ข้าดื่มให้ฮองเฮาถาวซื่อ! ข้ากับฮองเฮาไม่แยกจากกันชั่วชีวิต จับมือกันจนแก่เฒ่า แม้ความตายก็มิอาจพรากพวกเราจากกัน!”
สิ้นเสียง หลี่เย่ก็กระซิบบอกถาวจวินหลันว่า “ครั้งเข้าจวนแรกๆ ต้องลำบากเจ้าหลายเรื่อง วันนี้ถือว่าชดเชยให้เจ้าอีกครั้ง เหล้าจอกนี้ถือเป็นการแลกแก้วสุราของเจ้ากับข้า”
พอพูดจบหลี่เย่ก็ดื่มหมดในคราวเดียว มองถาวจวินหลันด้วยดวงตาประกายร้อนแรง
ถาวจวินหลันเห็นสายตาของเขาก็ให้หน้าแดงเป็นลูกตำลึง แต่ก็ยังยกจอกสุราขึ้นมา “เนื่องด้วยฮ่องเต้เคารพหม่อมฉัน หม่อมฉันกับฮ่องเต้จะจับมือกันไปจนแก่เฒ่า แม้ความตายก็มิอาจพรากพวกเราจากกันเพคะ!”
พูดจบก็ดื่มหมดในอึกเดียว
สายตากรึ่มๆ ของทั้งคู่สอดประสานกัน
หลี่เย่จับมือของถาวจวินหลันเอาไว้อีกครั้ง
หลังจากนั้นอีกนานหลายปี ถาวจวินหลันหวนคิดถึงวันนั้น แม้จำรูปลักษณ์สง่างามของหลี่เย่ได้ไม่ชัดเจน และจำสายตาทั้งตื่นตะลึงทั้งอิจฉาของคนอื่นไม่ได้ แต่ก็ยังจำน้ำเสียงของหลี่เย่ และความร้อนที่ถ่ายทอดมาจากฝ่ามือของเขาได้ ทั้งยังมีความรู้สึกอันล้นเหลือที่ประกายออกมาจากดวงตาของเขา
ในวินาทีนั้นจู่ๆ นางก็คิดว่าความลำบากก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องสมควรยิ่ง หากไม่ลำบากย่อมไม่มีความขมขื่น ย่อมไม่รู้จักความหวานซึ้ง นางยินดีที่ตอนนั้นเปลี่ยนความคิดของตนตัดสินใจตามเขา
และหลังจากนั้นหลายปี มีคนพลิกหนังสือประวัติศาสตร์ขึ้นอ่าน ก็เห็นในหนังสือบันทึกไว้ว่า ปีหย่งฮุยที่หนึ่ง ฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์ เปลี่ยนนามเป็นหย่งฮุย แต่งตั้งฮองเฮาถาวซื่อ ทั้งยังกล่าวคำมั่นสัญญาจะจับมือกันไปจนแก่เฒ่า แม้ความตายก็มิอาจพรากกัน ประชาชนกล่าวขานกันไปทั่วอย่างออกรส ฮ่องเต้ไม่รับอนุภรรยาหรือแต่งตั้งพระสนมอีก โปรดปรานเพียงฮองเฮาถาวซื่อเพียงผู้เดียว ชื่อเสียงดีงามถูกกล่าวขานไปอีกนาน