บัลลังก์พญาหงส์ - บทเสริม 1 ชดใช้
วันก่อนวันปล่อยตัวคนตระกูลหวัง หวังฮูหยินก็ได้แอบไปพบกับคนที่ควรได้ขึ้นเป็นไทเฮา แต่กลับไม่ได้แม้แต่ตำแหน่งไท่เฟยอย่างหวังซื่อ
หวังฮูหยินติดสินบนคนที่คุมตัวหวังซื่อ ทำให้นางได้มีเวลาพบกับหวังซื่อเป็นการส่วนตัวสักครู่
หวังฮูหยินมีความรู้สึกสับสนกับญาติที่เป็นทั้งแม่สามีและท่านป้าของนางคนนี้ ในฐานะลูกสะใภ้ นางรู้สึกเกลียดหวังซื่อ แต่หากในฐานะหลานสาว นางกลับรู้สึกซาบซึ้งทั้งกล่าวโทษนาง นางเกลียดที่หวังซื่อพานางเข้ามาอยู่ในวังหลวง แล้วยังพาน้องสาวแท้ๆ ของนางเข้ามาเพื่อให้มีสามีคนเดียวกัน ยิ่งเกลียดที่ฮองเฮากดดันนางเรื่องลูกชาย นางต้องใช้วิธีสกปรกจนไปทำร้ายลูกสาวทั้งสองของตัวเอง
พอคิดถึงลูกสาวที่ป่วยทั้งสองคนของนาง แววตาของหวังฮูหยินยิ่งหมองหม่น ขมขื่นจนพูดไม่ออก
การมาของหวังฮูหยิน ทำให้หวังซื่อตกใจอย่างมาก “เจ้ามาได้อย่างไร?” นางรีบมองไปทางประตูทันที
หวังฮูหยินเห็นหวังซื่อแล้ว จริงๆ แล้วนางมองไม่ออกว่าเป็นใคร แต่ครู่เดียวนางก็รู้ตัว กระซิบตอบกลับไปเสียงแผ่วเบา “ข้าติดสินบนพวกคนเฝ้าประตู”
หวังซื่อเห็นแล้วว่าหวังฮูหยินมีสีหน้าและแววตาแปลกใจ แต่นางไม่มีเวลามาคิดเรื่องพวกนี้ ได้แต่รีบถามว่า “ตระกูลหวังเล่า? ตระกูลหวังเป็นอย่างไรบ้าง? อาอู่ละ? พวกเจ้าละ?”
หวังซื่อไม่คิดว่าถาวจวินหลันจะใจดีขนาดยอมปล่อยคนที่เกี่ยวข้องกับนางไปทุกคน อย่างน้อยหลี่เย่ก็ไม่ยอมปล่อยตระกูลหวังไว้แน่ๆ
แม้ว่าตระกูลหวังตกต่ำ แต่ก็พอมีอำนาจอยู่ในมือ หลี่เย่จะยอมปล่อยไว้ได้อย่างไร?
จำต้องพูดว่า หวังซื่อเดาถูกทุกอย่าง
หวังฮูหยินถอนใจ “ผู้สืบทอดตระกูลหวังอายุสิบหกขึ้นไปถูกตัดหัวทั้งหมด คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ก็ต้องรับโทษเช่นกัน ส่วนผู้ชายคนอื่นก็ให้เนรเทศไปชายแดน รวมแล้วทั้งหมดมีสามสิบกว่าคน วันนี้จะเดินทางออกจากเมืองหลวง”
หวังซื่อได้ยินอย่างนั้นก็นิ่งขรึม “ถูกส่งไปที่ใด?”
“ตุนหวง” หวังฮูหยินตอบอย่างขมขื่น ตุนหวงตั้งอยู่เขตเส้นทางสายไหม ฟังดูแล้วเจริญก็จริง แต่จริงๆ แล้วยากลำบากมาก ไม่ต้องพูดเรื่องอาหาร แม้แต่น้ำจะดื่มก็ยังไม่มี ที่สำคัญก็คือ คนที่ถูกเนรเทศไปนั้น ไม่มีสิทธิ์ได้รับของพวกนี้อย่างแน่นอน แค่มีโอกาสรอดชีวิตก็ถือเป็นเมตตาของราชสำนักแล้ว
หวังซื่อได้ยินดังนั้นก็นิ่งเงียบไปพักใหญ่ สุดท้ายแล้วก็พูดว่า “ที่ตระกูลหวังต้องจบสิ้น ก็เป็นเพราะโชคชะตาจริงๆ” เรื่องมาถึงขั้นนี้ คนตระกูลหวังจะโทษฟ้าดินหรือโทษใครไม่ได้ ในเมื่อกล้าทำเรื่องแบบนั้น ก็เหมือนเอาชีวิตเป็นเดิมพัน เมื่อตอนนี้แพ้แล้ว ก็ต้องชดใช้ด้วยชีวิต
“แล้วพวกผู้หญิงเล่า” หวังซื่อถาม
หวังฮูหยินได้ยินก็ยิ่งขมขื่น “ให้ไปเป็นนางกำนัล”
คนที่ถูกสั่งให้เป็นนางกำนัล คงไม่มีทางเป็นอิสระได้อีกตลอดชีวิต จากนี้ไปอีกสามรุ่น แม้แต่จะเข้าสอบหรือทำอะไรก็ยังไม่ได้ ถือว่าเป็นการตัดโอกาสไปโดยสิ้นเชิง
ตระกูลหวังคงต้องสูญสิ้นไปทั้งแบบนี้
“ตระกูลถาวได้รับตำแหน่งคืนแล้ว” หวังฮูหยินพูดต่อ “ไม่เพียงแต่ถาวจื่ออู้จะได้รับตำแหน่งคืน แม้แต่ถาวจิ้งผิงก็ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ ต่อไปตระกูลถาวจะเป็นใหญ่ในราชสำนัก”
ไม่เพียงเท่านี้ ในมือถาวจิ้งผิงเองก็มีอำนาจ เมื่อก่อนตระกูลหวังมีอำนาจทางฝั่งฮองเฮาอย่างไร ตอนนี้ตระกูลถาวก็มีเช่นกัน อีกทั้งหลี่เย่ยังเชื่อใจถาวจิ้งผิงมากด้วย
หวังซื่อแน่นิ่งไม่พูดอะไร ผ่านไปพักใหญ่ถึงกล่าวว่า “เจ้าคอยไปประจบถาวซื่อ คอยสนับสนุนองค์รัชทายาทฮุ่ยเต๋อ มีเพียงทางนี้ทางเดียวเท่านั้นที่จะรอดชีวิตต่อไปได้ โดยเฉพาะอาอู่ เขาเป็นสายเลือดคนสุดท้ายที่เหลืออยู่ เจ้าต้องคอยดูเขาแทนข้า”
หวังฮูหยินรู้สึกเจ็บแค้นในใจ ทั้งที่เป็นหลานเหมือนกัน แต่ทำไมฮองเฮากลับไม่ถามถึงลูกสาวสองคนของนางเลย
ในใจนางคิดว่า ไม่ใช่เพราะอาอู่เป็นหลานชายหรอกหรือ?
เป็นเพราะความโกรธแค้น หวังฮูหยินจึงไม่ได้รับคำ แล้วเปลี่ยนเรื่องพูดแทน “ท่านสบายดีหรือไม่?”
หวังซื่อรู้สึกว่าหวังฮูหยินรู้อยู่แก่ใจแล้วยังจะมาถาม จึงได้นิ่งเงียบ นางเข้าใจความคิดของหวังฮูหยินดี เพียงแค่นิดเดียวนางก็เดาออก แต่ตอนนี้นางอยู่ในฐานะแบบนี้ นางไม่มีสิทธิ์ไปสั่งอะไร จึงได้แต่เงียบไว้
หวังฮูหยินเห็นว่าเวลาเหลือไม่มากแล้ว นางจึงกำลังจะออกไป
แต่หวังซื่อก็พูดออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง “ข้าอยากตาย”
หวังฮูหยินรู้สึกเย็นวาบ คิดว่าตัวเองได้ยินผิดไป รีบหันกลับไปอย่างตกใจ
หวังซื่อพูดซ้ำอีกครั้ง “ข้าอยากตาย ไม่อยากทรมานแบบนี้แล้ว” นางเป็นคนทำให้ตระกูลหวังต้องเดินมาถึงจุดนี้ เกรงว่าวิธีเดียวที่จะไถ่โทษคือนางต้องตายไปเสีย อีกทั้งถาวจวินหลันทรมานนางจนจะทนต่อไปไม่ไหวแล้ว
นางยังจำวันขึ้นปีใหม่ได้ดี อยู่ดีๆ ถาวจวินหลันก็ส่งอาหารมาให้นาง นางคิดว่าถาวซื่อมีจิตใจเมตตา แต่พอนางกินอิ่มแล้วนางถึงรู้ว่า นางคิดผิดแล้ว
นางหิวมานาน พอได้เห็นของที่ตัวเองชอบ อาหารที่ทั้งดีทั้งอร่อยแบบนี้ นางอดความอยากกระหายเอาไว้ไม่ไหว มารยาทต่างๆ นางก็ไม่สนใจทั้งสิ้น มีแต่ความหิวในกระเพาะที่ทำให้นางยัดของกินเข้าปากไม่หยุด
สุดท้ายแล้วนางก็กินจนจุก จุกจนเดินไม่ได้ ท้องกับกระเพาะของนางรับไม่ไหว สำรอกออกมาจนหมด
นางรู้สึกทรมานจนอยากตายไปให้รู้แล้วรู้รอด จุกจนนางจะตาย แต่พอนางสำรอกออกมาจนหมดแล้ว นางได้กลิ่นอาหารพวกนั้นอีก ก็อดเก็บอาหารพวกนั้นมากินต่อไม่ได้ นางจะทำอย่างไรได้ นางหิว ความหิวทำให้นางแทบบ้าคลั่ง
แล้วความรู้สึกสะอิดสะเอียนก็ทรมานนาง นางทั้งอับอายทั้งทรมาน ศักดิ์ศรีของนางไม่เหลือแล้ว
นางอยากตายๆ ไปเสีย แต่ถาวจวินหลันกลับไม่ยอม
หวังซื่อคิดว่าหวังฮูหยินเป็นความหวังเดียวของนาง เพียงแค่หวังฮูหยินลงมือ นางก็จะได้ไปสบายเสียที
ทว่าหวังซื่อกลับเห็นความหวาดกลัวและปฏิเสธจากแววตาของหลานสาว
หวังฮูหยินไม่กล้าทำแน่นอน หากหวังซื่อตายแล้ว นางต้องรับความทรมานนี้แทนหวังซื่อ นางไม่กล้าทำให้ถาวจวินหลันไม่พอใจ นางยังอยากมีชีวิตรอด แม้ว่าต้องอยู่อย่างไร้ตัวตนก็ตาม
หวังซื่อหลับตาลง ค่อยๆ มีน้ำตาไหลออกมาจากตาของนาง ไหลผ่านใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น ก่อนหยดลงบนเสื้อผ้าสกปรกแต่ยังคงงดงาม จากนั้นหยดน้ำตาก็ซึมหายไป
หากตอนนั้นนางไม่อิจฉากู้ซื่อ หากตอนนั้นนางไม่วางยาพิษหลี่เย่ หากตอนนั้นนางไม่ทำให้กู่ซื่อตาย หากตอนนั้นนางไม่ต้องแต่งงานกับคนผู้นั้น หากตอนนั้น นางไม่ชอบเขาคนนั้นก็คงดี…
น่าขันจริงๆ นางทำเรื่องมากมายขนาดนี้ สุดท้ายแล้วกลับมีจุดจบแบบนี้ ในตอนนั้น เขาพูดว่าให้นางช่วยเขา นางจึงใช้อำนาจของตระกูลหวังอย่างเต็มที่ เขาก็รักและอ่อนโยนกับนาง นางจึงกล้าคิดกำจัดกู้ซื่อและลูกชาย
ในตอนนั้นทุกอย่างวุ่นวายไปชั่วขณะหนึ่ง เขาก็โกรธไปพักใหญ่ แต่สุดท้ายเขาก็ยังรักและทะนุถนอมนางเช่นเดิม ทำเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
นางคิดว่าเขาก็คงชอบนางเช่นกัน แต่น่าเสียดาย หลายปีผ่านไป นางถึงรู้ว่าไม่เป็นอย่างที่นางปรารถนา นางจึงฝากความหวังทั้งหมดไว้กับลูกชาย
แต่คิดไม่ถึงว่า ลูกของนางต้องมาตาย
ในตอนนั้น นางอยากจะตายตามลูกไป ไม่มีลูกแล้ว นางจะยังเหลือความหวังอะไรอีก? แต่นางไม่ยอม แล้วก็เป็นเพราะนางไม่ยอม จึงทำให้นางเป็นอย่างทุกวันนี้
อีกทั้ง นางน่าจะวิ่งเอาหัวชนกำแพงให้ตายไปตั้งแต่รู้ว่าตัวเองพ่ายแพ้
เสียดายที่…ไม่มีคำว่า ‘หาก’
หวังซื่อถอนใจ คิดว่า หากมีชาติหน้า นางไม่อยากเกิดเป็นคนอีกแล้ว ส่วนความทรมานในตอนนี้ นางแค่หวังว่าเทพจะเมตตา ให้นางได้จบความทรมานนี้ไวๆ ก็พอ
หวังซื่อไม่รู้ตัวว่า นางไม่ได้แม้แต่เกลียดถาวจวินหลันอีกแล้ว อาจเป็นเพราะหัวใจนางเย็นชาไปแล้ว หรืออาจเป็นเพราะนางคิดตกแล้ว หรืออาจเป็นเพราะ นางไม่กล้าเกลียดใครอีกแล้ว…