บัลลังก์พญาหงส์ - บทเสริม 4 ตามหัวใจ
“ทูลฮองเฮา องค์รัชทายาทเลิกเรียนแล้วเพคะ” นางกำนัลรีบเข้ามารายงานถาวจวินหลันที่นั่งพักผ่อนอยู่ตรงระเบียง
ถาวจวินหลันกำลังพลิกดูภาพวาด ได้ยินแล้วก็เงยหน้าขึ้น “ให้องค์รัชทายาทเข้ามา”
ตอนนี้ซวนเอ๋อร์ต้องเริ่มเรียนเรื่องการเมืองแล้ว ดังนั้นจะยังเรียกชื่อเล่นของเขาอยู่ไม่ได้อีก หลี่เย่จึงตั้งชื่อจริงให้เขาว่าหลี่อี๋
หลี่อี๋เข้ามาก็คำนับถาวจวินหลัน ก่อนแย้มยิ้มเดินตรงเข้ามานวดไหล่ให้นาง “เสด็จแม่ยังเจ็บไหล่อยู่หรือไม่? กรมหมอหลวงจัดยาให้หรือยัง?”
“อืม นวดแล้วดีขึ้นเยอะ” ถาวจวินหลันยิ้มพลางจับมือของลูกชายไว้ ก่อนหันกลับไปมองเขาอย่างหยอกล้อ “ผ่านเดือนหน้าไปเจ้าก็อายุครบสิบแปดปี ถึงเวลาคัดเลือกพระชายาได้แล้ว เจ้ามีสตรีคนใดถูกใจบ้างหรือไม่?”
ถาวจวินหลันเห็นลูกชายของตัวเองมีใบหน้าหมองลง ก็พูดกล่อมว่า “เลื่อนไปอีกไม่ได้แล้ว กั่วเจี๋ยเอ๋อร์เด็กกว่าเจ้าไม่เท่าไร ตอนนี้จิ้งกุ้ยเฟยก็เริ่มมองหาคนเหมาะสมมาเป็นราชบุตรเขยแล้ว แม้แต่หมิงจู ข้าก็คิดว่าจะดูไปพร้อมกับจิ้งกุ้ยเฟยเลย ส่วนเจ้าก็ห้ามเลื่อนอีก เจ้าเป็นพี่ใหญ่แต่ยังไม่แต่งงาน หรือเจ้าจะให้น้องชายน้องสาวมารอเจ้า?”
หลี่อี๋พลันหน้าแดงก่ำ ทั้งๆ ที่ดูสุมขุมรอบคอบเวลาเป็นเรื่องราชการ แต่ทำไมพอเป็นเรื่องนี้ เขากลับดูไม่ประสีประสาเอาเสียเลย “เรื่องนี้ไม่ควรรีบพะย่ะค่ะ อีกอย่าง บ้านเราก็ไม่ได้มีกฎอย่างนั้น”
“จริงสิ จิ้งกุ้ยเฟยมองคนแบบไหนให้กั่วเจี๋ยเอ๋อร์หรือ? แล้วหมิงจู หมิงจูจะแต่งกับคนฐานะต่ำเกินไปไม่ได้ เด็กนิสัยแบบนางให้แต่งกับคนใจดีเกินไปไม่ได้เหมือนกัน ไม่อย่างนั้นคงคุมนางไม่ได้เป็นแน่ ต่อไปอาจจะวุ่นวายได้” หลี่อี๋เปลี่ยนเรื่อง
ถาวจวินหลันมองเขา “ทำไม อยากเปลี่ยนเรื่องคุยหรือ? เจ้าคิดจะใช้วิธีนี้กับข้าหรือ? คงจะเห็นข้าเป็นคนแก่ตาฝ้าฟางแล้วสินะ?”
หลี่อี๋ยิ่งร้อนรน เขาไม่กลัวอะไรทั้งนั้น กลัวอยู่อย่างเดียวคือเวลาเสด็จแม่กริ้ว! เวลาเสด็จแม่กริ้วไม่ได้น่ากลัวอะไร แต่หากเสด็จแม่กริ้วขึ้นมา เสด็จพ่อจะไม่พอใจ ถึงตอนนั้นเขาต้องโดนลงโทษเป็นแน่
ด้วยเหตุนี้ หลี่อี๋จึงหมดทางเลือก “ข้าผิดไปแล้ว”
“เอาเถิดๆ ข้าเพียงล้อเจ้าเล่นก็เป็นอย่างนี้เสียแล้ว น่าเบื่อจริงๆ” ถาวจวินหลันส่ายหัวอย่างเสียไม่ได้ “ทำไมโตแล้วถึงไม่เหมือนตอนเด็กๆ เลยเล่า? น้องชายเจ้าก็ด้วย”
หลี่อี๋แอบคิดเงียบๆ ในใจ เขาไม่กล้าให้เสด็จแม่กริ้ว ก็เพราะกลัวเสด็จพ่อถลกหนังพวกเขาพี่น้อง ท่านจำตอนน้องสามไปเล่นปีนเขาแล้วตกลงมาขาหักได้หรือไม่ เสด็จพ่อจัดการกับพวกเราที่ทำให้ท่านหนักใจอย่างไร? เสด็จพ่อลงโทษน้องสาม! แล้วยังไม่ให้พวกเราบอกท่านอีก ท่านรู้หรือไม่ว่าหลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นน้องสามก็กลัวเสด็จพ่อจนหัวหด?
แต่เขาก็เพียงกระแอม พูดว่า “คงเป็นเพราะอายุมากขึ้นก็เริ่มเงียบขรึม น้องสามรู้ความขึ้น ไม่ดีหรอกหรือพ่ะย่ะค่ะ? ตอนนี้เขาช่วยท่านอาเจ็ดจัดการเรื่องการทหาร วันนี้เสด็จพ่อยังชมเขาอยู่เลย”
ถาวจวินหลันได้ยินแบบนี้ก็ดีใจ “เขารู้ความก็ดี” แต่ก็นึกขึ้นได้ จึงทำหน้าขรึม “ข้าพูดเรื่องอะไรกับเจ้า เจ้าไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่อง รีบบอกมา เจ้าคิดจะทำอย่างไร ข้ามีรูปวาด เจ้าอยากลองดูรูปวาดของหญิงสาวพวกนี้ก่อนหรือไม่?”
หลี่อี๋คิดแล้ว ก่อนนั่งลงข้างๆ ถาวจวินหลัน ถามเสียงเบา “เสด็จแม่คิดว่าอย่างไร?”
ถาวจวินหลันชะงัก “ข้าก็แค่หวังให้เจ้าได้อยู่กับคนที่เจ้าต้องการ…”
ยังพูดไม่ทันจบ หลี่อี๋ก็ส่ายหัว “เป็นไปไม่ได้ หาคนที่ข้าพอใจ แต่หากนางรักข้า ก็จะทรมานนาง หากข้ารักนางเกินไป ก็จะกระทบต่อราชสำนัก เรื่องนี้เสด็จแม่รู้ดีกว่าข้า ข้าร่างกายแข็งแรง ยังหนุ่มยังแน่น มีเลือดของตระกูลหลี่ไหลเวียนอยู่เต็มกาย ไม่มีเหตุผลอะไรที่ข้าจะปฏิเสธการคัดเลือกพระชายา”
แต่ว่าภรรยาของเขา จะต้องเจอกับอะไร? นางจะต้องอยู่อย่างทนทุกข์
ถาวจวินหลันอดถอนใจไม่ได้ อยากจะพูดปลอบเขา แต่ก็ไม่รู้จะพูดออกมาอย่างไร ด้วยเพราะเขาพูดเรื่องจริงทุกอย่าง
“เสด็จพ่อทำได้ แต่ข้ากลับทำไม่ได้ ข้ามีรากฐานไม่ดี ถ้าอยากให้ขุนนางเก่าแก่ยอมรับ ข้าก็มีเพียงวิธีนี้…” พูดถึงตรงนี้ หลี่อี๋ก็ดูใจฝ่อไปไม่น้อย
“ข้าทำได้ แล้วทำไมเจ้าจะทำไม่ได้?” เสียงของหลี่เย่ลอยมา จากนั้นก็เห็นเขาค่อยๆ เดินเข้ามา ท่าทางดูเคร่งขรึม แต่ก็ดูอ่อนโยนเล็กน้อย โดยเฉพาะยามที่ทอดสายตามองไปทางถาวจวินหลัน แต่กลับมองหลี่อี๋ด้วยสายตาเคร่งขรึม “คนที่จะปกครองประเทศควรพูดเช่นนี้หรือ? ข้ายังทำได้ แล้วทำไมเจ้าจะทำไม่ได้?”
พอเจอกับคำถามของหลี่เย่ หลี่อี๋ก็ก้มหน้าลง ก่อนอธิบายออกมา “แต่เสด็จพ่อ สถานการณ์ต่างกันนะพ่ะย่ะค่ะ”
“สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ แต่วีรบุรุษจะแก้ไขสถานการณ์” หลี่เย่มองลูกชายที่ตอนนี้เกือบจะสูงเท่าเขา แล้วพูดแฝงนัยลึกซึ้ง
หลี่อี๋ได้ยินแล้ว ก็นิ่งราวก็รูปปั้น ครุ่นคิดอยู่ในใจ
ถาวจวินหลันมองหลี่เย่ ยื่นมือออกมาจับมือของหลี่เย่ไว้ ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าทำขนมไว้ให้ เราลองมาชิมดูดีหรือไม่?” ถือว่าให้จังหวะลูกชายของพวกเขาได้ครุ่นคิดเรื่องของตัวเอง
หลี่เย่กุมมือถาวจวินหลันไว้ พร้อมกับบีบเบาๆ อยู่อย่างนั้น แต่กลับไม่คิดจะพูดอะไรกับหลี่อี๋อีก องค์รัชทายาทต้องขึ้นครองราชย์สักวัน หากเป็นฮ่องเต้แล้วยังกลัวเรื่องแค่นี้ ต่อไปจะจัดการบ้านเมืองได้อย่างไร? ดังนั้นจึงไม่ต้องสั่งสอนอะไรมาก ให้เขาคิดเองก็พอ
หลี่อี๋ครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ ถึงค่อยๆ คิดได้ว่า ใช่สิ เขายังมีเวลาอีกมาก ทำไมเขาไม่ใช้มาเปลี่ยนแปลงสถานการณ์? ทำไมเขายังต้องให้คนอื่นมาจูงจมูก?
พอหลี่อี๋คิดได้แล้วกำลังรีบเข้าไปหาหลี่เย่กับถาวจวินหลัน กลับพบว่าตัวเองเป็นส่วนเกินไปเสียแล้ว เสด็จพ่อกับเสด็จแม่กินขนมพลางยิ้มหัวเราะคิกคักกัน ไม่มีท่าทีกังวลใจเลย…
ขณะกำลังลังเลว่าตัวเองควรกลับแล้วหรือไม่ ถาวจวินหลันก็เห็นเขาพอดี จึงยิ้มแล้วกวักมือเรียก “มาลองชิมขนมที่ข้าทำ ดูสิว่าฝีมือตกหรือไม่”
จากนั้นหลี่อี๋จึงหยิบขนมมาชิม แล้วก็ประจบประแจง “ขนมของเสด็จแม่อร่อยกว่าห้องเครื่องทำอีกเป็นไหนๆ ข้าเห็นว่า ต่อไปหากเสด็จแม่ไม่ทำขนมแล้ว เกรงว่าข้าคงไม่กินขนมของคนอื่นอีกเลย”
ช่างประจบประแจงเก่งจริงๆ ถาวจวินหลันหัวเราะออกมา มองไปทางหลี่เย่ที่มีท่าทีพออกพอใจ จึงส่ายหัวแล้วพูดว่า “ตอนนี้ ดูเจ้าน่าจะเข้าใจดีแล้ว ตอนนั้นเสด็จพ่อของเจ้าก็ค่อยๆ แย่งบัลลังก์คืนมามิใช่หรือ? หากเขาไม่พยายาม วันนี้ข้าจะได้เป็นฮองเฮาหรือ? หากเขาไม่พยายาม ในวังหลวงจะมีแค่กุ้ยเฟยคนเดียวหรือ?”
หลี่อี๋พยักหน้ายอมรับผิด “เป็นเพราะลูกผิดเอง”
“ดี เจ้าเข้าใจได้แล้วก็ดี” ถาวจวินหลันยิ้มแป้น “งั้นเจ้าต้องบอกข้ามา ว่าเจ้ามีหญิงคนไหนอยู่ในใจ?”
หลี่อี๋ “…” ทำไมวนไปวนมาถึงวนกลับมาที่เรื่องนี้ได้!
เห็นท่าทางลำบากใจของหลี่อี๋ ถาวจวินหลันก็อดลอบหัวเราะไม่ได้ แม้แต่หลี่เย่เองก็ยังรู้สึกตลก
หลี่อี๋เข้าใจดี จึงยิ่งปวดหัว เขารู้ดีแก่ใจว่าเขาหนีไม่พ้นแน่ๆ จึงส่ายหัว “ไม่มีใครที่สนใจเป็นพิเศษ ครั้งที่แล้วเจอกับหญิงตระกูลหลินก็คิดว่าใช้ได้ การพูดการจาเหมาะสม แล้วยังดูเป็นคนใจกว้าง”
“เจ้าคิดว่าควรเป็นชายาเอกหรือชายารอง?” ถาวจวินหลันคิดแล้ว พอรู้ว่าเป็นหญิงคนไหน ก็ไม่รีบพูดความเห็นของตัวเอง แต่กลับถามออกไปแบบนี้
หลี่อี๋ตอบอย่างไม่ลังเล “เหมาะเป็นชายาเอกพ่ะย่ะค่ะ แม้นางหน้าตาธรรมดา แต่เป็นคนใจกว้าง ข้าคิดว่าผู้ชายหลายคนยังใจกว้างสู้นางไม่ได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”
“แต่ไม่ว่าผู้หญิงจะใจกว้างขนาดไหน ก็ไม่ยอมให้สามีของตัวเองมีอนุ” ถาวจวินหลันส่ายหัว ถอนใจ นางไม่ใจกว้างอย่างนั้นหรือ? แต่ใจกว้างก็อีกเรื่อง เมื่อก่อนตอนหลี่เย่มีผู้หญิงมากมาย นางไม่เคยคิดอะไรเลยหรือ?
หลี่อี๋ก้มหน้าครุ่นคิด เหมือนไม่รู้จะพูดอะไรต่อไป
“เรื่องนี้เจ้าต้องคิดดีๆ” ถาวจวินหลันเห็นหลี่อี๋แบบนี้ นางก็อดพูดไม่ได้ “จริงๆ แล้วข้าก็เคยคิดจะให้นางเป็นชายาของเจ้า เสด็จพ่อของเจ้าก็เห็นว่าไม่เลว เจ้าเลือกนาง เกรงว่าคงแค่เห็นว่านางเหมาะเป็นชายาเอกใช่หรือไม่? เพียงแต่ความเหมาะสมก็อีกเรื่อง เจ้าต้องเข้าใจว่า เจ้าต้องเลือกภรรยาที่อยู่กับเจ้าไปทั้งชีวิต ไม่เพียงแต่ใช้คำว่าเหมาะสมมาตัดสิน ถึงเจ้าเป็นองค์รัชทายาท เจ้ามีหน้าที่ของตัวเอง แต่ข้าก็ยังหวังว่าเจ้าจะทำตามหัวใจของตัวเอง ถือโอกาสในตอนนี้ที่เสด็จพ่อของเจ้ายังปกป้องพวกเจ้าได้ ทำตามใจตัวเองเถิด”
หลี่อี๋ฟังถาวจวินหลันพูดแบบนี้แล้ว ไม่รู้ว่าทำไมดวงตาจึงร้อนผ่าว เขาเงยหน้าขึ้นมองถาวจวินหลัน จากนั้นก็รีบก้มหน้าลงอย่างรวดเร็ว “ข้าเข้าใจแล้ว”
“เจ้าคิดดูดีๆ เถิด” เห็นหลี่อี๋เป็นแบบนี้แล้ว ถาวจวินหลันก็ไม่อยากพูดอะไรต่อ ได้แต่ตบไหล่เขาด้วยความรัก และให้เขากลับไป
หลี่อี๋เพิ่งออกไป หลี่เย่ก็ส่ายหน้าบ่น “โตขนาดนั้นแล้ว เจ้ายังโอ๋เขาอยู่แบบนี้อีก”
ถาวจวินหลันกันไปมองหลี่เย่ “ในบรรดาลูกทั้งสามคน ข้าเข้มงวดกับเขามากที่สุด ท่านจะไม่ปล่อยให้เขาสบายใจบ้างเลยหรือ? ไม่รู้ว่าท่านใจร้ายถึงขนาดนี้”
“หากข้าไม่ใจร้ายกับเขา นั่นถึงเรียกว่าข้าทำร้ายเขา อย่าลืมสิ เขาเป็นองค์รัชทายาท” หลี่เย่ขมวดคิ้วเล็กน้อยแสดงท่าทางไม่เห็นด้วยกับถาวจวินหลัน จากนั้นก็บ่นอย่างทีเล่นทีจริง “ทุกครั้งที่ข้าเข้มงวดกับเขา เจ้าก็จะต้องคอยขัดตลอด ในบรรดาลูกทั้งสาม เจ้าก็ลำเอียงรักเขามากสุด ไม่กลัวหมิงจูกับเจ้าสามจะน้อยใจหรือ?”
ถาวจวินหลันหยิบขนมขึ้นมายัดเข้าไปในปากของหลี่เย่ แล้วถอนใจ “เป็นเพราะเขาเป็นทั้งลูกคนโต ทั้งองค์รัชทายาท ท่านเข้มงวดกับเขามากที่สุด ตอนเด็กๆ ก็แบบนี้ พอโตมาก็ยิ่งเข้มงวดกว่าเดิม เขาก็รู้เรื่องรู้ความอยู่แล้ว ท่านเป็นพ่อไม่สงสารเขา ข้าในฐานะแม่ก็ต้องสงสารเขาหน่อย ไม่ใช่ว่าข้าลำเอียง แต่เป็นเพราะเขาต้องลำบากตั้งแต่เด็ก พอข้าเห็นก็อดสงสารไม่ได้”
“เขาลำบากอะไรกัน?” หลี่เย่ส่ายหัว “เทียบกับเด็กหลายๆ คน เขาถือว่าโชคดีมากแล้ว”
“เขาเพิ่งเกิดได้ไม่กี่เดือน ข้าก็ต้องส่งเขาไปอยู่ห่างจากข้า จนเขาเกือบสองขวบ ถึงได้กลับมา นี่คือข้อแรก ข้อสอง ท่านยังจำที่ข้าเกิดเรื่องครั้งนั้นได้หรือไม่? หากไม่เป็นเพราะซวนเอ๋อร์ ข้าก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรถึงจะได้ถูกปล่อยตัวออกมา ข้อสาม ในบรรดาลูกสามคน เขารู้เรื่องและรักข้าที่สุด ข้าก็ต้องรักเขาเป็นธรรมดา” ถาวจวินหลันถอนใจ แล้วมองหลี่เย่ “เหตุใดท่านต้องให้เขาเลือกชายาที่เหมาะสม?”
หลี่เย่คิด “ก็เพราะต่อไปเรื่องการเมืองฝ่ายในจะได้ผ่อนคลายลงเล็กน้อย แต่ในเมื่อเขามีความคิดของตัวเอง ข้าก็ไม่มีอะไรจะขัด”
มีฮองเฮาที่เหมาะสม จัดการวังหลังได้อย่างดีก็จะทำให้เขาสบายใจได้ไม่น้อย
“ไม่ ไม่ใช่” ถาวจวินหลันส่ายหน้า “เขาอยากช่วยแบ่งเบาภาระของท่าน ท่านลืมเรื่องที่โดนบังคับให้แต่งตั้งพระสนมแล้วหรือ?”
ถาวจวินหลันถอนใจ “หากเขาแต่งตั้งชายารอง พวกขุนนางก็จะไม่มาวุ่นวายกับท่านอีก ซวนเอ๋อร์ยังหนุ่ม อีกทั้งยังเป็นองค์รัชทายาท…” แบบนี้ พวกขุนนางก็จะรู้สึกว่าคุ้มแก่การลงทุนมากกว่า
หลี่เย่นั่งคิดอยู่สักพัก สุดท้ายก็หัวเราะออกมา “ข้าคงแก่แล้วจริงๆ”
ถาวจวินหลันมองผมสีขาวของหลี่เย่ แล้วพยักหน้าอย่างไม่เกรงใจ “จะไม่แก่ได้อย่างไร? ผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว ท่านยังคิดว่าหนุ่มแน่นอยู่อีกหรือ?”
หลี่เย่ได้ยินถาวจวินหลันพูดแบบนี้ ก็ไม่โกรธ ได้แต่ยิ้ม “แก่แล้วจริงๆ ยังดีที่ซวนเอ๋อร์โตแล้ว ข้าก็พอวางใจได้ อีกสองปีรอให้เขาเป็นผู้ใหญ่กว่านี้ ข้าก็สละบัลลังก์ได้อย่างวางใจ”
ถาวจวินหลันได้ยินก็ชะงัก รู้สึกตกใจ “ท่านจะ…”คำพูดที่เหลือนางไม่ได้พูดออกมา
หลี่เย่ไม่ปิดบัง “ใช่ ข้าคิดอย่างนี้ ข้าแก่แล้ว ยังมีแรงที่ไหนไปทำงานราชการ? อีกอย่าง เพื่อไม่ให้พ่อลูกต้องมีเรื่องขัดใจกัน ข้ายอมถอยหนึ่งก้าว แบบนี้จะได้คอยดูเขาเติบโตต่อไป”
ถาวจวินหลันเห็นหลี่เย่มีท่าทีสงบ นางก็เชื่อเขาทันที แต่ก็ยังรู้สึกตกใจ พักใหญ่ถึงได้พูดออกมาว่า “พวกท่านจะขัดใจกันได้อย่างไร เขาไม่ใช่คนแบบนั้น…”
น้ำเสียงของนางดูร้อนรน เพราะนางกลัวเหลือเกินว่าหลี่เย่จะมองซวนเอ๋อร์ไม่ดี
หลี่เย่ส่ายหัวเป็นสัญญาณให้ถาวจวินหลันอย่าเพิ่งพูดอะไร “เขาไม่ทำ แต่คนอื่นอาจจะทำ เขาไม่รีบ แต่คนอื่นอาจจะรีบ ดังนั้น ข้าไม่อยากให้คนอื่นได้โอกาสทำแบบนี้”
ถาวจวินหลันนิ่งขรึม จากนั้นก็อดพูดหยอกเขาไม่ได้ “ท่านทำใจได้หรือ?”
หลี่เย่ยิ้มมองนาง ก่อนยื่นมือมากุมมือของนางไว้ “มีอะไรที่ข้าตัดใจไม่ได้? มีเจ้า อะไรข้าก็ยอมหมดทุกอย่าง”
ถาวจวินหลันหน้าแดงโดยพลัน “หน้าไม่อายจริงๆ” ถึงนางพูดอย่างนั้น แต่ก็รู้สึกเหมือนมีน้ำผึ้งค่อยๆ หลอมละลายอยู่ภายในหัวใจ