เปลี่ยนชีวิต พลิกชะตารัก - ตอนที่ 79
กินข้าวเที่ยง เก็บกวาดล้างเสร็จ เฉินเยี่ยนและหวางจวนทั้งสองคนพูดคุยกันเดินกลับเข้าห้องตัวเอง
ถึงแม้เธอจะไม่อยู่ที่โถงบ้าน แต่เธอส่งเฉินหู่ไปฟังที่โถงบ้าน พอได้ยินหลิวอี้พูดเรื่องแต่งงาน ก็มาบอกเธอ
“พี่ พี่ เขาขอแล้ว เมื่อกี้เขาพูดกับพ่อแม่เรา หมายความว่าเขาชอบพี่เข้าแล้ว ถามว่าพี่มีหมั้นหมายกับบ้านไหนไว้หรือยัง แม่บอกว่าไม่มี ดูท่าทีแม่แล้ว เหมือนจะเห็นด้วยมาก พ่อก็ไม่ได้พูดอะไร แต่ก็ไม่ได้คัดค้าน ถ้าพ่อแม่ยกพี่ให้เขา จะทำยังไงดี”
เฉินเยี่ยนไม่กังวลเลยสักนิด เฉินจงและหวางนิวดีกว่าพี่อแม่หวางจวนเยอะเลย อย่างน้อยก็ไม่บีบบังคับเธอ แต่เธอก็ไม่สามารถนั่งรออยู่ในนี้ได้ ยุคนี้การแต่งงานของลูกสาวพ่อแม่ยังเป็นฝ่ายตัดสินใจอยู่ ถ้าเธอไม่แสดงความคิดของเธอ พ่อแม่ตกลงเรื่องงานแต่งนี้เพราะหวังดีกับเธอ ถึงตอนนั้นโวยวายไปก็ดูไม่ดี
“ฉันจะไปพูดให้รู้เรื่อง”
เฉินเยี่ยนตัดสินใจพูดให้ชัดเจน ในเมื่อเธอไม่มีใจให้หลิวอี้ อีกหน่อยหลิวอี้ก็ไม่ต้องมาแล้ว หาภรรยาที่อยู่ในเมืองก็ได้แล้ว
“จะดีเหรอ?”
หวางจวนลังเลเล็กน้อย เมื่อก่อนเธอเชื่อฟังพ่อแม่ ถ้าไม่ใช่เพราะครั้งที่แล้วแม่เธอมาบอกว่าบ้านนั้นไม่ได้เรื่อง แล้วเธอก็มาเกิดเรื่องนั้นอีก คิดว่าเธอก็ตงจะไม่คัดค้านรุนแรงแบบนี้ ส่วนหลิวอี้ถือว่าเป็นคู่ครองที่ดีในสายตาของคนในหมู่บ้าน
“ยืดเยื้อไปสิจะไม่ดี”
เฉินเยี่ยนไม่ใช่คนที่ชอบเรื่องเยิ่นเย้อ เธอไม่คิดว่าตัวเองออกมาพูดเรื่องแต่งงานจะมีอะไรไม่เหมาะสม
หวางนิวไม่รู้กำลังคุยกับหลิวอี้อยู่ พอเห็นเฉินเยี่ยนเข้ามาเธอเลยกลืนคำพูดลงไปในท้อง
“ทำไมลูกไปคุยเป็นเพื่อนกับจวนเอ๋อร์ในห้อง เข้ามาทำไม?”
หวางนิวส่งสายตาให้ลูกสาว ตอนนี้ลูกสาวไม่ควรจะออกมา
“ได้ยินว่าพี่หลิวอี้มาบ้านเพื่อคุยเรื่องแต่งงาน หนูเลยมาดูค่ะ”
เฉินเยี่ยนก็ไม่ได้ปิดบัง บอกเจตนาเธอตามตรง
“ลูกคนนี้นี่ เรื่องนี้มีแม่กับพ่อก็พอแล้ว ลูกกลับห้องไปเถอะ รอเสร็จเรื่องเดี๋ยวแม่บอกลูกอีกที”
หวางนิวจ้องเฉินเยี่ยน เรื่องนี้ลูกสาวไม่ควรเข้ามาร่วมด้วย ไม่อย่างนั้นคนอื่นจะว่าลูกสาวหน้าไม่อายได้
หลิวอี้มองเฉินเยี่ยน สีหน้าเฉินเยี่ยนราบเรียบ เหมือนกำลังพูดถึงเรื่องของคนอื่นอยู่ ไม่มีความเขินอายเลยสักนิด
หลิวอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย ในใจเขา เฉินเยี่ยนรู้ถึงจุดประสงค์ที่เขามาควรจะดีใจเป็นลิงโลดสิ แต่ทำไมสีหน้าเฉินเยี่ยนตอนนี้ถึงไม่ดีใจ?
“คุณลุง คุณป้าครับ ในเมื่อเยี่ยนจื่อมาแล้ว งั้นก็ให้เยี่ยนจื่อฟังด้วยเลยก็ดี จะได้ถามความเห็นเยี่ยนจื่อ”
หลิวอี้พูดออกมา เขาอยากรู้ว่าเฉินเยี่ยนคิดยังไง
เยี่ยนจื่อ เขาถึงกับเรียกชื่อของเธอเลย ช่างคืบหน้ารวดเร็วเหลือเกิน เฉินเยี่ยนบ่นในใจ แต่ไม่ได้แสดงออกทางสีหน้า
เฉินจงไม่ว่าอะไร ฟังความเห็นลูกสาวก็ดีเหมือนกัน
“ถ้าพี่หลิวอี้จะมาคุยเรื่องแต่งงาน ทำไมไม่เรียกแม่สื่อมาสู่ขอ มาแบบนี้ดูสุกเอาเผากินไปหรือเปล่า?”
เฉินเยี่ยนถามหลิวอี้
หวางนิวก็มองไปทางหลิวอี้ ก่อนหน้านี้เธอดีใจเกินไป ไม่ได้คิดเยอะขนาดนั้น พูดเรื่องแต่งงานต้องมีแม่สื่อจริง น้อยมากที่ตัวเองจะมาเอง
“ผมแค่จะมาถามความเห็นของคุณลุงคุณป้าก่อน ถ้าทั้งสองฝ่ายสนใจกัน ผมค่อยพาแม่สื่อมา”
หลิวอี้ตอบอย่างสบายอารมณ์
หวางนิวพยักหน้า พูดแบบนี้ก็พอถูไถไปได้ ถ้าสองบ้านปรึกษากันดีแล้วค่อยเรียกแม่สื่อ ถ้าบ้านหนึ่งไม่เห็นด้วยก็ไม่ต้องเรียกแม่สื่อ จะได้ไม่เสียหน้า
“ไม่มีเหตุผลอื่น?”
เฉินเยี่ยนถามเสียงเรียบอีกครั้ง
หลิวอี้มองเฉินเยี่ยน มองอย่างจริงจัง
“ในเมื่อเยี่ยนจื่อถามแล้ว งั้นผมก็ไม่ปิดบังแล้วกัน ผมคุยเรื่องนี้กับแม่แล้ว แต่แม่ผมไม่เห็นด้วย บอกว่าเธอจะช่วยผมหาคนงานที่ดีให้ ไม่งั้นก็คุณครู เป็นคนในเมือง ทำงานให้ประเทศชาติ เธอก็ยอม แต่ผมเลือกเอง เธอไม่อยากให้ผมไปเลือกผู้หญิงชนบท หางานในเมืองไม่ง่าย มีอีกคนมากินข้าวที่บ้านเพิ่มเลยตื่นเต้นกันมาก เพื่อนบ้านก็จะดูถูก แล้วทั้งชีวิตเธอก็จะไม่มีหน้ามีตาเลย วันนี้ที่ผมมา ผืรู้สึกว่าเยี่ยนจื่อดีมาก ผมโต้ตอบที่แม่ผมกดดันมา คุณลุงคุณป้าน่าจะรู้ถึงความจริงใจของผมแล้วนะครับ”
คำพูดนี้ของหลิวอี้ทำให้เฉินเยี่ยนเข้าใจ เพื่อจะแต่งงานกับเธอ เขาเสียสละมากมาย คนทำงานในเมืองกับคุณครูเขายังไม่ต้องการ แล้วเขายังหักหลังแม่เขาอีก เธอควรจะซาบซึ้งเขา
“นี่ นี่มัน… ฉันไม่รู้จะพูดว่าอะไร อาอี้ เธอดีจริงๆ เธอกลัวไปคุยกับแม่เธอ เยี่ยนจื่อของเราเป็นผู้หญิงที่ดี เธอเก่งกาจ นิสัยก็ดี ถึงแม้พวกเราจะเป็นคนบ้านนอก แต่พวกเราก็ไม่ใช่ไม่รู้เรื่องขนาดนั้น ไม่ทำให้เธอขายหน้าหรอก”
หวางนิวซาบซึ้งมาก ขนาดคนในโรงงานกับครูในเมืองเขายังไม่ต้องการเลย มาต้องการลูกสาวตัวเอง ยังจะมีอะไรพูดอีก
เฉินจงไม่คัดค้าน เขากำลังครุ่นคิดอย่างละเอียดอยู่
หลิวอี้ไม่สนใจความซาบซึ้งของหวางนิว เขามองเฉินเยี่ยน เขาต้องการให้เฉินเยี่ยนซาบซึ้ง
เฉินเยี่ยนจะซาบซึ้งไหม? เธอไม่ แต่ยังไม่ทันที่เธอจะพูด หลิวอี้พูดขึ้นมาอีก “คุณป้าวางใจได้ กลัวไปผมจะต้องพูดกับแม่แน่นอน ผมก็รู้ว่าเยี่ยนจื่อเป็นคนดี ผมเชื่อว่าถ้าผมกับเยี่ยนจื่อได้แต่งงานกันจริง เยี่ยนจื่อจะต้องกตัญญูกับแม่ผมแน่นอน แม่ผมแก่แล้ว อารมณ์ก็ไม่ค่อยดี เยี่ยนจื่อตามใจแม่หน่อย ทำงานที่บ้านมากหน่อย ให้ผมสบายๆ แล้วคลอดลูกชายให้หลายคน งานในบ้านนอกบ้านเยี่ยนจื่อทำได้หมด เวลาผ่านไป แม่ผมก็ยอมรับเธอเอง”
“เยี่ยนจื่อมาในเมืองแล้ว มีคนมากินข้าวมากขึ้น พวกลุงป้าก็ไม่ต้องเป็นห่วง ผมจะเลี้ยงเธอเอง ถ้าคุณลุงคุณป้ามีใจ ก็ส่งผักกับธัญพืชมาที่บ้านได้ ถ้าไม่ส่งก็ไม่เป็นไร ผมไม่ให้เยี่ยนจื่อไม่ได้กินข้าวหรอก ผมแค่กลัวคนอื่นหัวเราะเยาะเอาว่าผมแต่งงานกับหญิงชนบท แล้วยังต้องดูแลบ้านภรรยาอีก ภรรยาก็ทำอะไรไม่เป็น เปลืองข้าวสวยเปล่าๆ ตัวผมเองไม่เป็นอะไร ผมแค่กลัวเยี่ยนจื่อจะเสียหน้า”
คำพูดนี้ของหลิวอี้ทำให้เฉินเยี่ยนพูดไม่ออก แต่งงานกับตัวเองแล้วจะได้กินอยู่อย่างสบาย แล้วยังให้บ้านภรรยาส่งธัญพืชไปให้อีก แต่งงานกันผู้ชายทำมาหากิน ผู้หญิงทำงานบ้าน คนอื่นจะหัวเราะเยาะอะไร? หลิวอี้คนนี้ตลกเกินไปแล้ว มาสู่ขอตัวเอง คิดว่าเป็นบุญคุณใหญ่หลวงกับตัวเองอย่างนั้น ตัวเองจะต้องเป็นทั้งภรรยาและแม่ที่ดีทั้งชีวิต ปรนนิบัติแม่สามี เลี้ยงลูก บ้านตัวเองก็ยังต้องหาเลี้ยงให้อีก ทั้งหมดทั้งมวลนี่ยังถือว่ากินเสียข้าวเปล่าอีก ให้คนอื่นหัวเราะเยาะ แล้วยังไม่แน่ว่าแม่สามีจะยอมรับอีก นี่เรื่องอะไรกัน เขาคิดไปแล้วว่าตัวเองจะแต่งงานกับเขา? เขาคิดได้ยังไงนะ
ฝั่งเฉินเยี่ยนคิดว่าหลิวอี้หน้าใหญ่ไปแล้ว ฝั่งหวางนิวกลับหยักหน้าไม่หยุดแล้วพูด “สมควรแล้ว สมควรแล้ว วางใจได้ เยี่ยนจื่อของเราเป็นคนกตัญญู ทำงานบ้านเก่ง ทำดีกับแม่สามีเป็นเรื่องที่สมควรอยู่แล้ว บ้านเราไม่มีคนที่ไร้เหตุผลแบบนั้น ส่วนธัญพืชกับผัก ถ้าพวกคุณขาดแคลน ถ้าที่บ้านมี เดี๋ยวให้ลุงเอาไปส่งให้พวกคุณ ยังไงก็ไม่สามารถให้คนอื่นดูถูกพวกคุณได้ ขอแค่พวกคุณกินดีอยู่ดี พวกเรากินน้อยหน่อยก็ไม่เป็นไร”
—————