ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง - ตอนที่ 21
เว่ยฉางอิ๋งได้ฟังก็กล่าวว่า “แล้วให้ข้าไปถามท่านย่าไหม?”
“ตอนนี้สถานการณ์ทางฝั่งซ่งตวนยังไม่ได้สืบเลย เจ้าไปถาม แล้วจะให้อาสะใภ้สามของเจ้าตอบอย่างไร?” ฮูหยินซ่งตำหนิเบาๆ เพราะตอนนี้ในห้องต่างก็มีแต่คนที่เชื่อถือไว้ใจได้ จึงไม่กลัวที่จะต้องพูดความจริงกับบุตรสาว “ในเมื่อหลายวันมานี้ท่านย่าของพวกเจ้าไม่ได้กล่าวถึงเรื่องการแต่งงานของเกาฉาน เกรงว่าที่คราวที่แล้วกล่าวไปว่าเรื่องการแต่งงานของเกาฉานนางมีคิดไว้ในใจแล้วก็คงเพียงแค่พูดออกไปเท่านั้น ตอนนี้ท่านย่าของพวกเจ้ากังวลเรื่องของเจ้ากับฉางเฟิงก็ไม่พอแล้ว ยังมีอารมณ์ไปสนใจคิดเรื่องของบ้านสามที่ไหนอีก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงซ่งตวนนั่นว่ายังไม่ได้สืบข่าวมาให้ดีแล้วไปรบกวนนาง หากไม่ใช่เพราะอาสะใภ้สามเจ้าขวางไว้เร็ว คราวนี้ท่านอาสามเจ้าไม่ถูกด่ามาก็แปลกแล้ว ในเมื่อเป็นอย่างนี้ เจ้าก็ไม่ต้องสนใจ รอให้อาสะใภ้สามของเจ้าสืบมาให้แน่ชัดก่อนแล้วข้ากับนางค่อยไปพูดแล้วกัน”
เว่ยฉางอิ๋งกำลังจะรับปาก ฮูหยินซ่งก็กล่าวต่อว่า “เจ้าเอาอันนี้กลับไป จำไว้ว่าให้ถูหลังจากอาบน้ำตอนค่ำ เมื่อถูแล้วอย่าได้ลบออก ให้นอนไปอย่างนี้หนึ่งคืน พรุ่งนี้ตื่นขึ้นมารับรองว่าใบหน้าเจ้ากลับมาดีแน่นอน”
พูดแล้วก็เอาขวดกระเบื้องเขียวอันหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ มันมีขนาดแค่ไม่ถึงชุ่น แม่นมซือเห็นเว่ยฉางอิ๋งสงสัย ก็อธิบายอยู่ข้างๆ ว่า “นี่ก็คือยาบัวหิมะ เมื่อสองวันก่อนคุณหนูใหญ่ไม่ใช่ว่าตากแดดจนเจ็บหรือ ฮูหยินเร่งให้คนไปทำมา น่าเสียดายที่ของนี่เก็บไว้ไม่ค่อยได้ ทุกครั้งต้องทำขึ้นตอนที่จะใช้ แต่ว่าทำให้ผิวชุ่มชื่นมาก โดยเฉพาะบริเวณที่ตากแดดมา ทาแล้วรับรองว่าดีได้แน่”
ตอนแรกที่เว่ยฉางอิ๋งกังวลว่าใบหน้าจะถูกแดดจนเสียหายก็เพียงแต่กังวลว่าฮูหยินซ่งจะตำหนินางเท่านั้นจึงจงใจเล่นละครขึ้น ถึงได้ร้องโวยวายว่าใบหน้าเจ็บ แต่จริงๆ แล้วนางไม่ได้มีตรงไหนที่ถูกแดดจนเจ็บเลย คิดไม่ถึงว่าหลายวันมานี้ฮูหยินซ่งยุ่งวุ่นวายกลับยังจำเรื่องนี้ได้ ในใจพลันอบอุ่นขึ้นมา นางรับเอาขวดมาเก็บไว้ในอกแล้วกล่าวเสียงหวานว่า “ไม่น่าแปลกเลยที่ท่านพี่มักจะอิจฉาข้าเสมอ มีท่านแม่แท้ๆ รักใคร่อย่างไรก็ไม่เหมือนกัน”
ฮูหยินซ่งได้ยินก็สบายใจแล้วกล่าวว่า “แน่นอนอยู่แล้ว ข้าก็มีไข่มุกบนมือเพียงเจ้าแค่คนเดียว[1] ไม่รักเจ้าจะไปรักใครกัน?” พูดไปอย่างนี้ก็รู้สึกว่าไม่ถูกต้อง คำพูดอย่างนี้หากไปพูดกับบุตรคนเล็กยังพอว่า แต่กับบุตรสาวคนโตที่ถนัดการมองคน ตั้งแต่เล็กก็รู้ว่าตนเองได้รับการรักใคร่มากโดยไม่ต้องให้ใครสั่งสอนและมีท่าทีภูมิใจมาเสมอ ตนกล่าวออกไปอย่างนี้ อย่าทำให้นางยิ่งภูมิใจมากขึ้นไปอีกจนจัดการไม่ได้
ทว่าคิดอยากจะเปลี่ยนคำพูดก็สายไปแล้ว เว่ยฉางอิ๋งกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านแม่ต้องทนไม่ได้ อะไรก็ต้องยอมข้าเอาตามข้า”
ฮูหยินซ่งได้แต่ถอนหายใจ แล้วกำชับบุตรสาวเรื่องสุดท้ายที่นางเรียกบุตรสาวมา “วันพรุ่งนี้กินข้าวเป็นเพื่อนท่านพ่อของพวกเจ้า เจ้าไปคิดการแต่งตัวดีๆ มา แล้วเรื่องราวทั้งหลายทั้งมวลที่จะทำให้ท่านพ่อของพวกเจ้าต้องกังวลใจ เจ้าเก็บไปให้หมดเสีย! หากว่าพูดเรื่องที่ทำให้ท่านพ่อของพวกเจ้าต้องกังวล ดูสิว่าข้าจะตีเจ้าอย่างไร!”
แม้ว่าเว่ยเจิ้งหงจะร่างกายอ่อนแอขี้โรค แต่ว่าความสัมพันธ์กับฮูหยินซ่งกลับดีมาก เพียงแต่เพราะร่างกายของเว่ยเจิ้งหงอ่อนแอเกินไป แม้ว่าตระกูลเว่ยจะคิดหาวิธีมารักษาเขาและสามารถยื้อชีวิตเขาไว้ได้แล้ว แต่กลับไม่สามารถทำอะไรกระโตกกระตากได้ นับตั้งแต่ที่เว่ยฉางอิ๋งสองพี่น้องเกิดมา สามีภรรยาทั้งสองก็แยกห้องกันอยู่ อย่างไรเด็กก็มักจะเสียงดัง
ภายหลังฮูหยินผู้เฒ่าซ่งเพราะต้องการป้องกันบ้านสองรวมไปถึงอนาคตของเว่ยฉางเฟิง จึงยืนกรานให้ฮูหยินซ่งเป็นผู้ดูแลบ้าน เป็นผู้ดูแลเรือน แน่นอนว่าผู้ที่เข้าออกก็มีมาไม่ขาดสาย ไม่มีทางที่จะสงบได้ ดังนั้นเว่ยฉางอิ๋งเว่ยฉางเฟิงเมื่อเติบโตแล้ว ฮูหยินซ่งจึงไม่ได้กลับมาพักรวมกับสามี อย่างไร ที่ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งจัดการอย่างนี้ก็เพราะคิดถึงบ้านใหญ่
สถานการณ์ตอนนี้คือ เว่ยเจิ้งหงมีข้ารับใช้ที่ละเอียดรอบคอบหลายคนคอยปรนนิบัติรับใช้ให้พักอยู่ที่เรือนที่สงบเงียบหลังหนึ่งของรุ่ยอวี่ถัง ร่างกายดีขึ้นมาบ้างถึงได้รวมตัวกับภรรยาและบุตรสักครั้ง แต่ก็ได้แค่ทานอาหารร่วมกันและพูดคุยไม่นานเท่านั้น เพราะว่าไม่สามารถพบกันทุกวันอย่างท่านพ่อทั่วๆ ไป ดังนั้นสำหรับบ้านใหญ่แล้ว การรวมกันอย่างนี้ก็ไม่ต่างกับงานตรุษจีน แม่ลูกทั้งสามต่างก็ต้องไปเลือกการแต่งเนื้อแต่งตัวกันก่อนล่วงหน้า และเรื่องที่จะพูดกัน สรุปก็คือต้องพยายามทำให้เว่ยเจิ้งหงมีความสุขและวางใจ
อย่างเช่นความหัวดื้อของเว่ยฉางอิ๋ง หรือการที่ถูกแม่สามีในอนาคตตักเตือนมา เรื่องพวกนี้ไม่มีทางที่จะพูดออกมาเลยแน่นอน
สำหรับท่านพ่อที่ป่วยมานาน และนานครั้งกว่าจะได้พบกัน เว่ยฉางอิ๋งก็ไม่กล้าทำตัวตามใจ นางทิ้งมือลงแล้วตอบรับคำ ถามฮูหยินซ่งว่ายังมีเรื่องอื่นไหม แล้วจึงได้ถอยออกไป
เวลาสองวันพริบตาเดียวก็ผ่านไป มาถึงวันที่บ้านใหญ่จะได้รวมตัวกัน
เว่ยเจิ้งหงพักอยู่ที่เรือนเล่ออี๋ทางมุมตะวันออกเฉียงใต้ เดิมอากาศอบอุ่น ฤดูนี้จึงเป็นช่วงใบไม้กำลังเขียวขจี เพราะเว่ยเจิ้งหงทนเสียงดังไม่ได้ จักจั่นจึงถูกกำจัดไปจนหมด ฤดูร้อนเดินเข้าไปท่ามกลางดอกไม้ต้นไม้ กลิ่นหอมของยาโชยมากระทบใบหน้า ยิ่งทำให้ดูสงบมากขึ้น
บุตรชายคนโตจากภรรยาเอกของรุ่ยอวี่ถังที่น้อยคนจะได้เห็นคนนี้แม้ว่าจะป่วยจนต้องพักนาน ยามที่ได้พบหน้ากับภรรยาและบุตรต่างก็มักจะนอนอยู่บนเบาะนุ่มเสียมาก แต่กลับปิดบังท่าทีงามสง่าไว้ไม่ได้ เว่ยเจิ้งหงมีอายุได้สี่สิบแล้ว แต่ทว่ากลับมองดูอย่างมากก็อายุเพียงสามสิบกว่าเท่านั้น คิ้วทั้งสองราวกับกระบี่ เรียวยาวชี้ไปที่ไรผม ดวงตาสีดำเป็นประกาย จมูกโด่งเป็นสัน มีหน้าตาหล่อเหลามาก หากไม่ใช่เพราะริมฝีปากไร้สีเลือด และการที่อยู่แต่ในห้องมานานทำให้ผิวขาวซีด ทั้งสองอย่างนี้ที่ทำให้ดูร่างกายอ่อนแอ มองดูแล้วก็ไม่ได้เหมือนกับคนป่วย แต่กลับเหมือนบัณฑิตมีชื่องามสง่าที่พิงเอนนอนพักบนเบาะหลังอาหารกลางวันเท่านั้น
ตระกูลมีชื่อใส่ใจที่สุดก็คือเรื่องพิธีการมารยาท ความละเอียดลออประณีตเด่นชัดบนร่างเขา ไม่ใช่อะไรที่อาการเจ็บป่วยจะสามารถปิดบังได้
แต่ว่าต่อให้เว่ยเจิ้งหงมีพิธีการมารยาทขนาดไหน เมื่อเอ่ยปากพูดออกมากลับแสดงให้เห็นว่าแรงที่มีไม่มากพอ น้ำเสียงของเขาเบาและล่องลอย หากไม่เข้าไปใกล้หน่อยก็ยากจะฟังได้ชัด “วันนี้ฉางอิ๋งสวมเสื้อหรูแดงทับทิมแล้วมีชีวิตชีวามาก”
การแต่งตัววันนี้ของเว่ยฉางอิ๋งเป็นแม่นมเฮ่อที่เลือกให้ สีแดงทับทิมพันด้วยกิ่งดอกกล้วยไม้ปักลายบนเสื้อหรู และกระโปรงไหมสีอ่อน เอวคอดกิ่ว ผมขดเป็นก้นหอย ปักปิ่นกล้วยไม้เอียงๆ ไว้สองอัน เดิมตอนนี้ท้องฟ้าก็ร้อนมากแล้ว สีแดงทับทิมถูกแสงจากพระอาทิตย์เข้าจนงดงามน่ามอง ชุดเสื้อหรูนี้ทำให้ใจคนร้อนขึ้นหลายส่วน แต่ทว่าในเรือนเล่ออี๋ที่เต็มไปด้วยสีเขียวขจี พอตัดกับสีแดงแล้ว กลับทำให้ใบหน้าที่เดิมก็งดงามน่ารักอยู่แล้วของนางยิ่งสว่างไสวมากขึ้น จนแทบจะทำให้คนละสายตาไปไม่ได้
ได้ยินคำชมของท่านพ่อแล้ว เว่ยฉางอิ๋งก็ยิ้มออกมาแล้วกล่าวว่า “ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านพ่อจะต้องพูดว่าดี ก่อนหน้านี้ท่านแม่ยังให้ข้าไปเปลี่ยนเป็นชุดสีม่วงชมพูเลย! สีม่วงชมพูจะสวยสดยิ่งกว่าสีแดงทับทิมได้อย่างไรกัน?” พูดแล้วก็ทำหน้าตาล้อเลียนใส่ฮูหยินซ่ง
เว่ยเจิ้งหงยิ้มน้อยๆ รอยยิ้มของเขางดงามอย่างบอกไม่ถูก แล้วกล่าวเสียงเนิบนาบว่า “สีม่วงชมพูก็ดี ลูกข้าหน้าตาดี ใส่อะไรก็ดูดีหมด”
แม้ว่าจะเป็นเพียงคำกล่าวเอาใจบุตรสาวที่พ่อแม่ใช้ธรรมดาทั่วไป แต่เมื่อเป็นเขากล่าวออกมา กลับทำให้คนรู้สึกเชื่ออย่างมาก การที่เขาป่วยมานานแต่ยังคงมีท่าทีบุคลิกอย่างนี้ได้ ไม่น่าแปลกที่ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งจะเดือดเนื้อร้อนใจแทนบุตรชายคนนี้มาก ไม่ว่าอย่างไรก็ปล่อยวางไม่ได้ และไม่ยินยอม
เห็นเว่ยเจิ้งหงที่ป่วยมานานยังมีบุคลิกได้อย่างนี้ หากว่าเขาเป็นคนที่แข็งแกร่งดี สายของเว่ยฮ่วนจะยังต้องคิดมากอะไรอีก?
ฮูหยินซ่งถลึงตาใส่บุตรสาวแล้วกล่าวว่า “ท่านอย่าได้เอาใจนางตลอดอย่างนี้เลย เอาใจเสียจนนับวันยิ่งไม่รู้จักกฎ ข้าจัดการนางไม่ได้แล้ว”
“ทำไมท่านแม่จะจัดการข้าไม่ได้?” เว่ยฉางอิ๋งกล่าวอย่างเอาใจว่า “ข้าฟังคำของท่านแม่ที่สุด!”
“ท่านแม่พวกเจ้าเลี้ยงดูพวกเจ้ามาไม่ง่ายเลย อย่าให้นางต้องกังวลใจ” เว่ยเจิ้งหงยังคงยิ้มบางๆ แล้วกล่าวเสียงนุ่ม
เว่ยฉางอิ๋งแลบลิ้นแล้วกล่าวรับคำ เว่ยเจิ้งหงถึงได้หันไปหาเว่ยฉางเฟิงแล้วถามเสียงอบอุ่นว่า “หลายวันนี้การเรียนเป็นอย่างไรบ้าง?”
“อาจารย์กับท่านปู่พูดว่าลูกขยันตั้งใจดี” เว่ยฉางเฟิงกล่าวอย่างเคารพและถ่อมตน เขาคือบุตรหลานของตระกูลมีชื่อเก่าแก่ อายุยังน้อยก็ให้ความสำคัญกับการพูดอย่างมีมารยาทมาก แม้ว่าจะเป็นการพูดกับบิดา ก็ยังต้องแสดงออกมาให้ได้งามสง่าที่สุด แต่ว่าเพราะอายุทำให้ยังดูไม่เป็นผู้ใหญ่นัก เทียบกับเว่ยเจิ้งหงที่มีบุคลิกที่กลั่นออกมาจากกระดูกแล้วยังห่างอีกไกล และเมื่อเทียบกับพี่สาวของตนยิ่งทำให้เขาดูระวังอย่างเห็นได้ชัด
แต่ว่าเว่ยเจิ้งหงมีความต้องการต่อบุตรชายบุตรสาวที่ไม่เหมือนกัน เขามีลูกชายอยู่แค่คนเดียว แม้ว่าจะไม่เหมือนกับฮูหยินผู้เฒ่าซ่งที่คิดว่ารุ่ยอวี่ถังกับทุกอย่างของเว่ยฮ่วนจะต้องสมควรเป็นของเว่ยฉางเฟิง แต่ว่าเขาก็หวังว่าบุตรคนเดียวนี้จะสามารถค้ำยันตระกูลสาขานี้ของตนเองได้ ดังนั้นจึงพอใจกับการรู้ความของเว่ยฉางเฟิงมากแล้วกล่าวเสียงอบอุ่นว่า “จื้อเจียวมีชื่อเสียงไปทั่ว ได้กราบเขาเป็นอาจารย์ ถือเป็นวาสนาของเจ้า แม้ว่าจะชมเชย แต่ว่าเจ้าก็อย่าได้ประมาทละเลย”
เว่ยฉางเฟิงรีบประสานมือรับ “ลูกรับทราบ”
ฮูหยินซ่งกล่าวว่า “ฉางเฟิงเรียนได้ดี ไม่ต้องให้กังวลใจเลยสักนิด” เพราะรู้ว่าสมาธิของเว่ยเจิ้งหงมีจำกัด เมื่อได้ถามไถ่บุตรชายบุตรสาวแล้วก็เปลี่ยนหัวข้อไป “ช่วงหลายวันนี้ท่านเป็นอย่างไรบ้าง รู้สึกว่าสบายขึ้นบ้างไหม?”
สีหน้าขาวซีดของเว่ยเจิ้งหงมีรอยยิ้มบางๆ ในรอยยิ้มนั้นแฝงไปด้วยความจนใจและอ่อนล้าที่ยากจะปิดได้ ปากกลับกล่าวว่า “ดีขึ้นบ้างแล้ว”
อาการของเขาเป็นมาตั้งแต่ในครรภ์ บำรุงไม่พอ ไม่ใช่อะไรที่คนจะทำอะไรได้ ตอนนั้นเว่ยฮ่วนกับฮูหยินผู้เฒ่าซ่งไปขอร้องหมอที่มีชื่อในแผ่นดินให้มาอยู่ที่ตระกูลเว่ยสองปี ถึงได้ดูแลเขามาได้ แต่ว่าเมื่อมีบุตรชายบุตรสาวทั้งสองแล้วก็ต้องใช้ยายื้อชีวิตไว้เท่านั้น
แต่ถึงอย่างนั้น บ้างก็ยังป่วยขึ้นมาอีก อย่าคิดว่าเขามีท่าทีสง่างามและสบายๆ อย่างนี้ แต่จริงๆ แล้วทุกสามวันสองวันก็ต้องทรมานสักรอบ ทรมานขึ้นมาทีพลิกไปพลิกมายากจะนอนได้ล้วนแต่เป็นกิจวัตรประจำวัน จุดนี้กระทั่งหมอมีชื่อคนนั้นก่อนหน้านี้ก็ยังไม่มีวิธี เขาสามารถช่วยยื้อเว่ยเจิ้งหงมาได้ถึงขนาดนี้ก็เรียกว่าสุดความสามารถแล้ว
เว่ยเจิ้งหงรู้ร่างกายของตนดี ทั้งชีวิตนี้เขาก็คงได้แต่ต้องมีชีวิตผ่านไปวันๆ อย่างนี้แล้ว เพียงแต่ว่าแม้ว่าสำหรับเขาการมีชีวิตอยู่จะเป็นการรับทุกข์ แต่ว่าเพื่อพ่อแม่และบุตรชายบุตรสาว ทั้งยังมีญาติผู้น้องที่ไม่สนใจและยอมแต่งเข้ามาแม้ว่าร่างกายเขาจะไม่ดีทั้งยังประคองตระกูลมาเป็นสิบปีแล้ว เขายินดีที่จะมีชีวิตไปกับความทุกข์ทรมานนี้
เว่ยเจิ้งหงคุ้นชินและเห็นความเจ็บปวดนี้เป็นเรื่องปกติ ทว่าฮูหยินซ่งกลับยังกังวลใจในตัวเขาเสมอ เพื่อไม่ให้ภรรยาต้องยุ่งยากใจ ดังนั้นตอนนี้เขาจึงไม่อยากจะพูดเรื่องร่างกายของตนเองนัก แล้วเปลี่ยนหัวข้อไปว่า “ครั้งที่แล้วฉางอิ๋งไม่ใช่พูดถึงขนมลูกบัวหรือ เช้าวันนี้หลู่เฉวียนไปเด็ดบัวมาจากสวน อีกครู่พวกเจ้าลองชิมดู”
จุดประสงค์ที่เขาเปลี่ยนเรื่องนั้นชัดมาก ฮูหยินซ่งฟังออกจึงหน้าขรึมลงไปอย่างห้ามไม่อยู่ นางเองก็ไม่ใช่ว่าไม่รู้ว่าร่างกายของสามีเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายอย่างตอนนี้ แต่ว่าอย่างไรก็ไม่อยากยอมแพ้ หวังว่าจะมีวันไหนหรือยาอะไร หรือสวรรค์เมตตาให้เว่ยเจิ้งหงดีขึ้นมา ให้สามีภรรยาทั้งสองคอยสนับสนุนบุตรสาวบุตรชาย และเป็นที่พึ่งของกันและกัน
สามีภรรยาทั้งสองต่างก็นิ่งขรึมไปกับความเศร้า ยังดีว่าเว่ยฉางอิ๋งร่าเริง นางหัวเราะแล้วพิงแนบไปกับท่านพ่อบนเบาะพลางกล่าวว่า “ขนมลูกบัวหรือ ท่านพ่อไม่รู้ว่า สองวันก่อนหน้านี้สาวใช้ข้างกายข้าไปเล่นในสวนแล้วไปเด็ดเอาหลิงเจี่ยวป่ากลับมา ข้ากินไปหลายอัน ก็รู้สึกว่ามีรสชาติดี ครั้งหน้าให้หลู่เฉวียนทำขนมชั้นหลิงเจี่ยวดีไหม?”
ฮูหยินซ่งรีบส่งสายตาคมกริบมาทันที “ท่านพ่อเจ้าอุตส่าห์จำของกินที่เจ้าพูดออกมาได้ เจ้านี่เปลี่ยนเร็วเสียจริง!”
“ก็แค่ขนมอย่างหนึ่งเอง ในเมื่อลูกข้าออกปากแล้ว ทำไมจะไม่ตอบรับล่ะ?” เว่ยเจิ้งหงยิ้มอย่างอบอุ่น แล้วยกมือขึ้นไปยังบ่าวที่อยู่ไม่ไกล “จำไว้ ครั้งหน้าให้หลู่เฉวียนทำ”
หลู่เฉวียนคือคนที่รับผิดชอบเรื่องอาหารของเว่ยเจิ้งหงในเรือนเล่ออี๋นี้โดยเฉพาะ พูดไปแล้วตอนนั้นยังเป็นหมอมีชื่อคนนั้นที่สั่งสอนมา เชี่ยวชาญสมุนไพร แต่ว่าอาหารธรรมดาเขาเองก็ทำได้อย่างยอดเยี่ยม กระทั่งเว่ยฉางอิ๋งและเว่ยฉางเฟิงที่ช่างเลือกในเรื่องอาหารมากก็ยังชื่นชมฝีมือทำอาหารของเขา
…ในเมื่อพูดถึงเรื่องกินแล้ว เว่ยเจิ้งหงจึงสั่งให้เริ่มทานอาหารได้ ขนมลูกบัวที่ครั้งที่แล้วเว่ยฉางอิ๋งกล่าวถึงถูกยกออกมาเป็นอย่างแรก ทั้งยังมาคู่กับเห็ดฝูหลิงทอดกรอบ แป้งไส้ถั่วแดงและข้าวต้มลิ้นจี่
เห็นสีเขียวอ่อนเป็นมันวาวน่ารักทั้งยังมีน้ำตาลสีขาวเคลือบลงไปบนขนมอีกชั้นแล้ว เว่ยฉางอิ๋งก็ตาเป็นประกาย ยื่นตะเกียบไปคีบมาชิ้นหนึ่ง นางวางลงไปด้านหน้าของเว่ยเจิ้งหงก่อน เว่ยฉางเฟิงเองก็จับแขนเสื้อแล้วคีบชิ้นหนึ่งไปให้ฮูหยินซ่ง เมื่อเว่ยเจิ้งหงยิ้มแล้วบอกให้พวกเขากินกันตามใจได้ พี่น้องทั้งสองถึงได้ดีใจแล้วเริ่มกินกัน
เว่ยเจิ้งหงป่วยมานาน หนึ่งวันต้องกินยาสามครั้ง กระเพาะไม่ดีนัก ส่วนฮูหยินซ่งก็กังวลในตัวสามี จึงไม่ได้สนใจขนมมากนัก ทั้งสองกินกันไปคนละน้อย กลับเป็นเว่ยฉางอิ๋งและเว่ยฉางเฟิงที่กำลังโตย่อยได้ดีกินกันอย่างมีความสุข สามีภรรยาเห็นบุตรชายบุตรสาวมีร่างกายแข็งแกร่งร่าเริงแล้ว ความกังวลกับร่างกายของเว่ยเจิ้งหงก่อนหน้านี้ก็สลายไปมากอย่างไม่รู้ตัว
เว่ยฉางอิ๋งทานเสร็จยังคิดอยากจะเอาอีก ฮูหยินซ่งรีบกล่าวทันทีว่า “กินน้อยๆ หน่อย ของพวกนี้ทำมาจากข้าวเหนียว กินมากได้สะสมมากน่า!”
ได้ยินดังนั้นเว่ยฉางอิ๋งจึงได้แต่มองไปที่ขนมลูกบัวอย่างอาลัยอาวรณ์ แล้วคีบเอาเห็ดฝูหลิงทอดกรอบชิ้นหนึ่งมากัดอย่างใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จากนั้นก็ทิ้งไปบนจานตรงหน้าตน ฮูหยินซ่งกำลังจะสั่งสอนบุตรสาวว่าเสียของ ด้านนอกพลันมีอาหารทยอยเข้ามาวาง เพราะเว่ยเจิ้งหง ทำให้กว่าครึ่งคืออาหารสมุนไพร เพราะกินกันที่บ้านเอง จึงมีเหลิ่งผาน[2]เพียงสองจานเท่านั้น
มีหน่อไม้สดคลุกขึ้นฉ่าย ตั้งโอ๋นึ่ง เป็ดแก่ตุ๋นถั่งเช่า ฮูหยินซ่งรีบถลกแขนเสื้อแล้วไปตักแกงให้สามี จึงไม่ทันได้สนใจคำพูดก่อนหน้านี้ ทำให้เว่ยฉางอิ๋งผ่านไปได้อย่างนี้…
………………………………………………
[1] ไข่มุกบนมือ : เอาไว้เรียกบุตรสาวที่พ่อแม่รักมาก
[2] เหลิ่งผาน : อาหารจานเย็น อาหารเรียกน้ำย่อย