ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง - ตอนที่ 22.1
ท่านพี่ท่านดีจริงๆ (1)
เมื่อทานข้าวเสร็จ เว่ยเจิ้งหงยังสติพร้อมสรรพ ดังนั้นจึงยังพูดกับภรรยาและบุตรชายบุตรสาวอีกครู่หนึ่ง ส่วนมากล้วนแต่เป็นเว่ยฉางอิ๋งที่กำลังพูดอยู่ ฮูหยินซ่งมีบ้างที่ช่วยเสริม ส่วนเว่ยฉางเฟิงเพียงแต่ฟังนิ่งๆ บ้างก็แอบมองศึกษาลักษณะท่าทางและคำพูดของท่านพ่อ ระหว่างคนในครอบครัวเองก็ให้ความสำคัญกับพิธีการมารยาท เว่ยเจิ้งหงแม้ว่าจะต้องรับความทรมานจากอาการป่วยมาตลอด ร่างกายอ่อนแอไร้เรี่ยวแรง แต่ว่าท่าทางและคำพูดของเขา กลับพอที่จะทำให้เหล่าลูกหลานตระกูลมีชื่อทั้งหลายที่ภาคภูมิในตนเองต้องพ่ายแพ้ไป
ต้องรู้ว่าตอนนั้นฮูหยินซ่งเองก็เป็นไข่มุกบนฝ่ามือ บุตรสาวของหัวหน้าตระกูลซ่งสายตรงแห่งเจียงหนาน แม้ว่าการแต่งงานของตระกูลซ่งและตระกูลเว่ยต่างก็พิจารณาบุตรหลานอายุใกล้เคียงกันของตระกูลอีกฝ่ายก่อน แต่ว่าในฐานะที่เป็นบุตรสาวของหัวหน้าตระกูลซ่งแห่งเจียงหนานคนปัจจุบัน หากว่าตัวนางไม่ยินดี ตระกูลซ่งและตระกูลเว่ยก็ไม่มีทางฝืนใจนาง ฮูหยินซ่งที่มีนิสัยแข็งอย่างนี้รู้ชัดว่าแต่งงานกับเว่ยเจิ้งหงมีแต่ความยากลำบาก แต่ก็ยังแต่งงานมา เรื่องนี้เกี่ยวกับท่าทางบุคลิกของเว่ยเจิ้งหงมาก หากว่าไม่ได้รักชอบเว่ยเจิ้งหงจริงๆ ฮูหยินซ่งจะยอมให้ตนเองต้องกล้ำกลืนอย่างนี้ทำไม
มีบิดาอย่างนี้ เว่ยฉางเฟิงแม้ปากจะไม่ได้กล่าวอะไรออกมา แต่ในใจกลับหวังมากว่าจะสามารถเรียนรู้บุคลิกที่ออกมาจากกระดูกอย่างบิดาได้ ทำให้ทุกครั้งที่พบกัน เขามักจะไม่สนใจพูดคุยนัก แต่ใจจดจ่ออยู่กับการเรียนรู้
แต่ว่าเว่ยฉางอิ๋งที่ใจจดจ่อกับการเรียนวิชายุทธ์เพื่ออนาคตนั้นกลับไม่มีความคิดอย่างนั้น นางพูดไปมารอบเว่ยเจิ้งหง เลิกคิ้วหรี่ตา ร่าเริงมาก ใต้เงาไม้ ชายในชุดสีน้ำเงินน้ำทะเลฟังด้วยรอยยิ้ม เขามีท่าทีมีความสุข มีแต่ตอนที่บุตรสาวไม่ทันสังเกตเท่านั้นที่จะขมวดคิ้วขึ้นมา เขากดความเจ็บปวดลงไป ผ่านไปครึ่งชั่วยาม บ่าวเข้ามาเตือนว่าเว่ยเจิ้งหงต้องไปพักผ่อนแล้ว ฮูหยินซ่งถึงได้ลุกขึ้นอย่างอาลัยอาวรณ์
ออกไปจากเรือนเล่ออี๋ ฮูหยินซ่งก็มองกลับไปอย่างเศร้าใจ แล้วจึงกล่าวกับบุตรชายบุตรสาวอย่างไร้เรี่ยวแรงว่า “กลับไปเถอะ อย่าให้เสียการเรียน ท่านพ่อของพวกเจ้าจะได้ไม่ต้องกังวล รู้ไหม?”
พี่น้องทั้งสองรับคำ ฮูหยินซ่งกล่าวเสียงต่ำอีกว่า “วันนี้ฉางอิ๋งทำได้ดีมาก ท่านพ่อของพวกเจ้าชอบมองท่าทีร่าเริงมีพลังของพวกเจ้า แต่ว่าฉางเฟิง เจ้านิ่งขรึมเกินไป ทำอย่างนี้จะทำให้ท่านพ่อของพวกเจ้าคิดว่าเจ้าไม่สนิทกับเขา ครั้งหน้าต้องแก้ใหม่!”
เว่ยฉางอิ๋งเช็ดเหงื่อที่หน้าผากแล้วกล่าวว่า “ข้าเห็นฉางเฟิงมองท่านพ่อตลอด เหมือนกับมีเรื่องอะไรอยากคุยกับท่านพ่อ”
“ไม่ใช่” แม้ว่าเว่ยฉางเฟิงจะถูกนิสัยอารมณ์ที่เหนือล้ำหลุดกรอบของพี่สาวแท้ๆ ทำให้ต้องดูเป็นเด็กที่มีท่าทีเกินวัย เขาเองก็ชอบแสดงท่าทีกาลเทศะอย่างลูกหลานตระกูลมีชื่อ แต่อย่างไรก็เพราะอายุน้อย ตอนนี้เมื่อถูกท่านแม่กล่าวและยังถูกพี่สาวซ้ำ จึงพลันหน้าแดงขึ้นอย่างเก้อเขิน แล้วกล่าวอย่างลนลานว่า “ข้าแค่เห็นท่านพ่ออารมณ์ไม่เลวเท่านั้น”
เว่ยเจิ้งหงแม้ว่าจะป่วย แต่ว่านิสัยสันดานกลับแข็งกร้าว เขาไม่พูดเรื่องทุกข์ร้อนให้คนข้างกายฟัง โดยเฉพาะต่อหน้าบุตรชายบุตรสาว ต่อให้รู้สึกทรมานมากก็ทำแค่ขมวดคิ้วขึ้นมาเท่านั้น ตอนที่กล่าวกับบุตรสาวก็มักจะยิ้มไปด้วย…ฮูหยินซ่งรู้สึกทุกข์ในใจและฝืนยิ้มพลางกล่าวว่า “เขาเห็นพวกเจ้าอย่างไรก็ต้องดีใจ”
เพราะกังวลใจเว่ยเจิ้งหง ฮูหยินซ่งจึงไม่มีใจจะกล่าวอะไรกับบุตร เพียงกำชับไปเล็กน้อยแล้วก็แยกจากกันกลับไปที่เรือนของตน
เว่ยฉางอิ๋งกลับมาที่เรือนเสียนซวงแล้ว แม่นมเฮ่อก็นำเอาบัตรเชิญมาฉบับหนึ่งแล้วกล่าวว่า “จดหมายเชิญของจวนจิ้งผิงกงส่งมาถึงแล้ว”
“วันเกิดของพี่หญิงรองหรือ?” เว่ยฉางอิ๋งรับมาดู เมื่อเห็นว่าเหมือนกับปีที่แล้ว ก็วางลงไปแล้วกล่าวว่า “ไปเตรียมของขวัญอย่างเมื่อปีที่แล้วก็พอ”
แม่นมเฮ่อรู้ว่านางไม่ชอบใจที่เว่ยฉางเสียนชอบกดบ้านสามมาตลอด คิดว่าเป็นการทำให้สาขาของเว่ยฮ่วนเสียหน้า ดังนั้นของขวัญที่ส่งไปสองปีนี้จึงธรรมดามาก แล้วกล่าวเตือนว่า “ได้ยินว่าตระกูลหลิวจะให้บุตรชายกับพี่หญิงรอง คราวนี้จะเพิ่มเข้าไปหน่อยไหม?”
“ยกบุตรชายให้?” เว่ยฉางอิ๋งชะงักไปแล้วกล่าวว่า “หลิวหลี่เจ้าเองก็เสียไปได้สองปีแล้ว ทำไมตอนนี้ถึงได้เพิ่งจะมากล่าวเรื่องนี้?”
แม้ว่าตอนนี้หญิงอายุน้อยที่ต้องเสียสามีไปจำนวนมากต่างก็แต่งงานใหม่เพื่อหาทางเดินใหม่ แต่ว่าตระกูลมีชื่อให้ความสำคัญกับพิธีการ อย่างเว่ยฉางเสียนที่เป็นหญิงม่ายที่เพิ่งจะแต่งงานไปได้ไม่กี่ปีอย่างนี้ ต่อให้กลับมาบ้านแม่แล้ว ก็ได้แต่ต้องอยู่คนเดียวไปทั้งชีวิต เว่ยฉางเสียนคือบุตรสาวภรรยาเอกของตระกูลเว่ยสายหลัก ฐานะสามีของนางหลิวหลี่เจ้าในตระกูลหลิวก็ไม่ได้ต่ำทราม ทั้งยังเสียชีพเพื่อชาติอีก แน่นอนว่าไม่มีทางที่จะให้เขาต้องไร้บุตรแน่ ตอนที่เว่ยฉางเสียนเพิ่งจะเป็นม่ายใหม่ๆ นั้น ทางสาขาของเว่ยฮ่วนเองก็ได้วิพากษ์วิจารณ์กันแล้วว่าทำไมตระกูลหลิวถึงได้ไม่ยกบุตรให้กับหลิวหลี่เจ้า
อย่างไรหากมีบุตรให้เลี้ยง เว่ยฉางเสียนก็ยังมีหวัง ไม่อย่างนั้นเป็นม่ายแต่อายุยังน้อยอย่างนี้ก็ไม่รู้ว่าจะไปทำอะไรดีแล้ว แต่ว่าเว่ยฉางเสียนกลับมาสองปีไม่มีเรื่องการยกบุตรให้มาก่อน เว่ยฉางอิ๋งยังคิดว่านางไม่อดทนพอที่จะเลี้ยงบุตร และคิดจะตายไปเป็นวิญญาณคร่ำครวญไปตามลำพัง
แม่นมเฮ่อยิ้มแล้วกล่าวว่า “คุณหนูใหญ่ทั้งวันเอาแค่คิดถึงเรื่องอาวุธวิชายุทธ์ทำไมเรื่องอื่นๆ อะไรก็ไม่คิดจะใส่ใจแล้ว เรื่องนี้ในจวนต่างก็รู้กันหมดแล้ว คุณหนูรองไม่อยากได้ลูกหลานของตระกูลสาขาของตระกูลหลิว แต่อยากจะเลือกในบรรดาหลานของหลิวหลี่เจ้ามาหนึ่งคน ทว่าลูกหลานของพี่น้องหลิวหลี่เจ้าเองก็ไม่มาก สองปีก่อนไม่มีที่อายุน้อย ที่อายุมากหน่อยนางก็กังวลว่าจะไม่สนิทกับตนจึงไม่ยอมเอา ตอนนี้เมื่อเดือนที่แล้วหลิวจงเจ้าได้บุตรจากอนุภรรยามาหนึ่งคน เดิมหลิวจงเจ้าก็มีบุตรจากภรรยาเอกอยู่แล้วสองคน ตระกูลหลิวจึงส่งคนมาที่เฟิ่งโจวถามคุณหนูรองว่าต้องการเด็กไหม”
“พี่หญิงรองเอาหรือ?” เว่ยฉางอิ๋งถาม
“เอาแล้ว” แม่นมเฮ่อกล่าว “แม้ว่าจะเป็นบุตรจากอนุภรรยา แต่ว่าก็เป็นหลานชายแท้ๆ ของหลิวหลี่เจ้า สายเลือดใกล้ชิดมาก นอกจากนี้หากว่าครั้งนี้ไม่เอา ใครจะรู้ว่าครั้งหน้าต้องรอถึงเมื่อไหร่ถึงจะมีคนที่เหมาะสม อย่างไรสองปีมานี้คุณหนูรองอยู่ที่จวนจิ้งผิงกงก็เหงามาก เลี้ยงบุตรบุญธรรมสักคนอย่างไรก็มีเรื่องอะไรทำ”
เว่ยฉางอิ๋งพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ถือว่าเป็นเรื่องดี นางมีเรื่องสำคัญต้องทำ อย่าได้เอาแต่หาเรื่องสาขาฝั่งพวกเรา”
“จริงๆ แล้วจวนจิ้งผิงกงกับจวนของพวกเราต่างก็เป็นสายเลือดของหัวหน้าตระกูลผู้เฒ่า ทั้งยังอยู่ในเฟิ่งโจวเหมือนกันอีก หากว่าอยู่ร่วมกันได้อย่างสนิทสนมก็ให้สนิทสนมกันดีกว่า” แม่นมเฮ่อยิ้มแล้วกล่าว “คุณหนูใหญ่เองก็อย่าเอาแต่โมโหคุณหนูรองเลย สามีของนางจากไปอย่างนี้ แม้ว่าจะยังคงอยู่อย่างสุขสบาย แต่ว่าภายหลังจะยังมีหวังอะไรอีก ต่อให้บุตรบุญธรรมดีอย่างไร อย่างไรก็ไม่เหมือนกับบุตรตนเองแท้ๆ”
แม่นมเฮ่อเองก็ร้ายกาจมาก แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยยอมคนง่ายๆ ปกติแล้วยอมตามใจเว่ยฉางอิ๋ง มีเพียงแค่สองคนที่นางมักขัดกับความชอบของเว่ยฉางอิ๋ง ก็คือความไม่ชอบใจต่อเจียงเจิง และความเห็นใจต่อเว่ยฉางเสียน นั่นก็เพราะว่าแม่นมเฮ่อเองก็เป็นหญิงม่ายเช่นกัน สามีของนางถูกโรคระบาดและเสียไปหลังจากที่นางมาเป็นแม่นมของเว่ยฉางอิ๋งได้ปีที่สอง เดิมทั้งสองคนมีบุตรชายหนึ่งคน อายุมากกว่าเว่ยฉางอิ๋งเพียงสามเดือนเท่านั้น แต่ว่าพออายุได้หกปีกลับเสียไป
……………………………