ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง - ตอนที่ 24
หลานชายป่วย ในฐานะอาแล้วอย่างไรก็ไม่สามารถจะสนใจแต่งานวันเกิดตนเองได้ เว่ยฉางเสียนถามสาวใช้ที่สนใจแต่คำของนางซูและรอตนเองอยู่ที่นี่ แต่กลับไม่ได้ส่งคนไปถามสถานการณ์อย่างละเอียด จึงด่าทอสาวใช้ว่าโง่งมทันที เมื่อด่าบ่าวเสร็จ นางก็ขมวดคิ้วแล้วมองไปที่เว่ยฉางอิ๋งกับซ่งไจ้สุ่ยพลางกล่าวว่า “กุยเอ๋อร์มีร่างกายอ่อนแอ ตอนนี้ไม่รู้เป็นอย่างไรบ้าง บ่าวพวกนี้ก็ยังโง่อย่างนี้อีก ข้าไม่วางใจอยากจะไปดูที่เรือนของพี่สะใภ้เสียหน่อย ฉางอิ๋งเจ้าอยู่เป็นเพื่อนคุณหนูซ่งที่นี่ก่อนเถอะ”
พร้อมกล่าวกับซ่งไจ้สุ่ยอย่างสุภาพว่าต้อนรับไม่ดีแล้ว
แต่ว่าเว่ยฉางอิ๋งกลับกล่าวว่า “พวกเราไปดูกุยเอ๋อร์ด้วยกันเถอะ”
“ก็ดี” เดิมเว่ยฉางเสียนคิดถึงฐานะพิเศษของซ่งไจ้สุ่ย ไม่สามารถฝืนให้นางไปดูเว่ยซ่านกุยได้ ถึงได้เอ่ยปากว่าให้เว่ยฉางอิ๋งอยู่เป็นเพื่อนนาง แต่ตอนนี้ในเมื่อซ่งไจ้สุ่ยไม่ได้คัดค้านอะไร แม้ว่าเว่ยซ่านกุยจะเป็นเด็กชาย แต่ตอนนี้อายุยังน้อยมากจึงไม่จำเป็นต้องหลีกเลี่ยง จึงไม่คิดมากเรื่องที่ทั้งสองคนจะไปด้วย
ทั้งสามถูกบ่าวใช้ห้อมล้อมไปยังเรือนของนางซูและเว่ยฉางซวี่อย่างยิ่งใหญ่ เมื่อเข้าไปในเรือนแล้ว นางซูที่ได้รับรายงานก็รีบร้อนเข้ามาต้อนรับทันที
นางซูมีใบหน้าผอม หน้าตาธรรมดา ตอนนี้เพราะกังวลในตัวของบุตรคนที่สองเว่ยซ่านกุย คิ้วเรียวราวกิ่งเหมยทั้งสองจึงขมวดเข้าด้วยกัน และท่าทีทุกข์ระทมยากจะบรรยาย ยิ่งทำให้แทบจะไร้สีหน้า ทว่าท่าทางและการพูดของนางกลับสง่ามาก อย่างไรก็เป็นหญิงจากตระกูลซูของชิงโจว เป็นตระกูลมีชื่อพอๆ กับตระกูลเว่ยและตระกูลซ่ง
พูดไปแล้วนางซูคนนี้ไม่เพียงแต่จะเป็นพี่สะใภ้คนโตของเว่ยฉางอิ๋งเท่านั้น ยังมีความสัมพันธ์อีกอย่างที่สำคัญด้วย นางคือฮูหยินซู ซึ่งก็คือหลานคนหนึ่งของว่าที่แม่สามีเว่ยฉางอิ๋งด้วย แม้ว่าจะไม่ใช่สาขาเดียวกัน แต่ว่าก็แต่งงานมาจากเมืองหลวง เพราะสาเหตุนี้เอง ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งกับฮูหยินซ่งจึงกำชับเว่ยฉางอิ๋งว่าต่อหน้าพี่สะใภ้คนนี้จะต้องทำกิริยามารยาทเรียบร้อยหน่อย เพื่อไม่ให้ข่าวลือไม่น่าฟังลือไปถึงเมืองหลวง ทำให้ฮูหยินซูรู้สึกรังเกียจสะใภ้ตั้งแต่ยังไม่ทันได้เจอกัน
แต่ว่านางซูเองก็ไม่ใช่พี่สะใภ้ที่ปรนนิบัติยากนัก โดยเฉพาะเมื่อนำมาเทียบกับเว่ยฉางเสียนแล้ว เว่ยฉางอิ๋งยังมีความทรงจำที่ดีกับพี่สะใภ้คนนี้มากกว่าเว่ยฉางเสียนมาก จึงฟังคำกำชับของท่านแม่และท่านย่าเข้าหู นางเคารพนางซูมาตลอด ทั้งสองฝ่ายรีบร้อนทักทายกันแล้ว เว่ยฉางเสียนก็ถามอย่างอดรนทนไม่ได้ว่า “พี่สะใภ้ กุยเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง เป็นอะไรไปหรือ?”
“เมื่อครู่หมอมาฝังเข็มแล้ว ดีขึ้นมาแล้ว” นางซูรู้สาเหตุที่น้องสาวของสามีมา จึงฝืนยิ้มแล้วกล่าวว่า “พูดไปแล้วเพราะแม่นมไม่ระวัง เมื่อคืนให้นางเล่นน้ำแข็งไปครู่หนึ่ง ผลคือทำให้ความเย็นแทรก วันนี้กินอะไรก็ออกมาหมด”
“กุยเอ๋อร์มีร่างกายอ่อนแอมาตลอด จะเล่นน้ำแข็งได้อย่างไร?” เว่ยฉางเสียนขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “แม่นมคนนี้ก็โง่เกินไปแล้ว!”
นางซูเห็นซ่งไจ้สุ่ยที่ไม่คุ้นตานานแล้ว แต่ว่ากลับถูกเว่ยฉางเสียนถามจนไม่มีช่องว่างให้ ตอนนี้จึงได้กล่าวว่า “ยังไม่ต้องพูดเรื่องนี้…คุณหนูคนนี้ไม่คุ้นตา เมื่อครู่ข้ากลับมาเหมือนจะได้ยินมาว่าวันนี้คุณหนูตระกูลซ่งมาอวยพรวันเกิดให้น้องรองด้วยตนเองหรือ?”
แน่นอนว่าซ่งไจ้สุ่ยก็กล่าวกับนางด้วยท่าทีที่ทั้งอ่อนโยนและถ่อมตน สำหรับการมาของซ่งไจ้สุ่ย นางซูกับนางหลิวคนน้องต่างก็แสดงท่าทีระวังและเกรงใจมาก แน่นอนว่าความระวังนี้ก็แฝงไปด้วยท่าทีของตระกูลสูงศักดิ์ อย่างไรก็ไม่ทำให้คนดูขัดตา
ทักทายกันระยะหนึ่งแล้ว นางซูก็เชิญทุกคนเข้าไปนั่งในห้อง
ด้านในคือที่อยู่ของเว่ยซ่านกุย ทุกคนต่างก็ผลักประตูเข้าไป แหวกม่านกันลมออก ก็เห็นเบาะที่พิงอยู่ริมกระจก เด็กชายตัวน้อยกำลังมองมาด้วยดวงตาสีดำสนิทอย่างแปลกใจและสงบเงียบ เด็กชายคนนี้แน่นอนว่าคือเว่ยซ่านกุยนั่นเอง ปีนี้เขาอายุสามปีแล้ว เขามีหน้าตางดงาม อยู่อย่างสุขสบาย ดูไปแล้วกลับไม่ได้ต่างไปจากเด็กอายุสองปีเลย ช่างทำให้คนเป็นห่วงเขาเสียจริง วันนี้เพิ่งจะอาเจียนออกมา ยิ่งทำให้ใบหน้าน้อยๆ ซีดไร้สีเลือด ดูร่างกายอ่อนแอ ท่าทางไร้เรี่ยวแรง จนทำให้คนมองรู้สึกเอ็นดูสงสาร
ริมเบาะนอกจากสาวใช้ที่ทำงานอย่างหวาดกลัวแล้ว ก็ยังมีเด็กชายในชุดไหมนั่งเป็นเพื่อนอยู่ข้างกายเว่ยซ่านกุยเงียบๆ อีกคน นี่ก็คือพี่ชายของเว่ยซ่านกุย เว่ยซ่านสื่อที่อายุได้สี่ปี ยังดีว่าเขาเป็นเด็กที่หน้าตาดีและร่างกายแข็งแรง ไม่อย่างนั้นนางซูคงได้กังวลใจแย่แน่
พี่น้องทั้งสองต่างก็รู้จักท่านอาทั้งสองอย่างเว่ยฉางเสียนและเว่ยฉางอิ๋ง มีเพียงซ่งไจ้สุ่ยเท่านั้นที่แปลกหน้า นางซูแนะนำแล้ว เว่ยซ่านสื่อก็รีบจัดชุดแล้วเข้ามาคารวะอย่างจริงจัง เว่ยซ่านกุยร่างกายอ่อนแอยังลุกจากเบาะไม่ได้ จึงนอนบนเบาะและกล่าวคารวะด้วยน้ำเสียงเด็ก
แน่นอนว่าซ่งไจ้สุ่ยรีบไปประคองทันที เพราะมาอย่างรีบร้อน จึงไม่ได้คิดว่าจะต้องนำของขวัญมาให้เด็กทั้งหลาย ยังดีว่านางไม่ใช่หญิงงามที่แต่งตัวเรียบง่าย บนร่างนางมีเครื่องประดับอยู่ไม่น้อย ตอนนี้จึงถอดออกมาสองอันแล้วให้พวกเขา เด็กทั้งสองมองไปที่นางซู เมื่อเห็นนางซูกับซ่งไจ้สุ่ยกล่าวไปมากันอยู่ระยะหนึ่งแล้ว ถึงได้รับมาและกล่าวขอบคุณซ่งไจ้สุ่ย
จากนั้น เว่ยซ่านสื่อก็ถอยไปข้างเตียงของเว่ยซ่านกุย และอยู่เป็นเพื่อนน้องชายเงียบๆ
พี่น้องตัวน้อยทั้งเป็นมิตรและเงียบสงบทำให้คนชอบใจมาก ซ่งไจ้สุ่ยอดไม่ได้และชมเขาพวกเขาว่าเป็นเด็กที่รู้ความ เว่ยซ่านสื่อที่เพิ่งนั่งลงได้ยินก็รีบลุกขึ้นคารวะขอบคุณอีกครั้ง เด็กเล็กๆ ที่มีท่าทีเงียบขรึม ทำอะไรระวังราวกับผู้ใหญ่ช่างน่าสนใจมาก คำตอบของเขาเองก็ดูดีมาก เขากล่าวเสียงดังกังวานว่า “ท่านอาซ่งชมเกินไปแล้ว น้องชายอายุน้อย ข้าแทบอยากจะเป็นแทนเขา…”
“เจ้าพูดเหลวไหลอีกแล้ว” นางซูรีบตัดบทเขาแล้วกล่าวเสียงอบอุ่นว่า “หากจะแทนที่กุยเอ๋อร์ก็ต้องเป็นแม่เอง เจ้าเองก็ยังเล็กอยู่”
“พี่ชายรักใคร่น้องชาย น้องชายเคารพพี่ชาย พี่น้องรักใคร่กันก็คืออย่างนี้เอง” ซ่งไจ้สุ่ยกล่าวเสียงนุ่มว่า “นี่ก็เพราะว่าพี่สะใภ้ซูกับพี่ชายใหญ่เว่ยใจกว้าง ตระกูลเว่ยของเฟิ่งโจวอย่างไรก็เป็นตระกูลมีชื่อ บุตรหลานต่างก็ไม่ธรรมดา”
ตระกูลเว่ยเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น บรรพบุรุษหลายคนต่างเน้นพิธีการมารยาท ลูกหลานแน่นอนว่าต่างก็ต้องชอบฟังคำอย่างนี้ นางซูกล่าวอย่างถ่อมตนว่า “ตระกูลซ่งแห่งเจียงหนานเป็นตระกูลมีชื่อของแผ่นดิน น้องซ่งถูกเบื้องบนมองมาตั้งแต่ยังเล็ก เห็นได้ถึงคุณธรรมของตระกูลซ่ง บุตรชายได้คำชมจากน้องซ่ง ช่างเป็นวาสนาของพวกเขา”
เว่ยฉางอิ๋งหัวเราะเสียงดังในใจ แล้วนางก็เห็นใบหน้าที่นุ่มนวลเป็นมิตรมาตลอดของซ่งไจ้สุ่ยแข็งขืนขึ้นมา ผ่านไปชั่วอึดใจถึงได้กลับมาดังเดิม นางฝืนยิ้มแล้วกล่าวว่า “พี่สะใภ้ซูกล่าวเกินไปแล้ว” นางเกรงว่านางซูจะเหมือนกับแม่นมเฮ่อก่อนหน้านี้ที่เคารพนางราวกับกำลังเคารพมารดาแผ่นดิน จึงรีบกล่าวว่า “คุณชายน้อยตอนนี้ต้องพักเงียบๆ พวกเรามาอยู่ที่นี่เกรงว่าจะรบกวนพวกเขา รบกวนเท่านี้ก็น่าจะเพียงพอแล้ว…”
นางซูรีบกล่าวว่า “วันนี้คือวันเกิดของน้องรอง ตามหลักแล้วข้าควรจะช่วยทางฝั่งน้องรอง แต่กลับเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น ต้องรบกวนให้ทั้งสองมาที่นี่ รบกวนที่ไหนกัน เป็นพี่สะใภ้ต่างหากที่ต้อนรับพวกเจ้าไม่ดี”
ทั้งยังขอโทษเว่ยฉางเสียนโดยเฉพาะอีก เว่ยฉางเสียนเองก็ใจกว้างสักครั้งเพราะหลานชาย จึงไม่ได้คิดมากกับพี่สะใภ้ ทั้งหมดกล่าวกันอีกไม่นาน เพราะแม้ว่าเว่ยซ่านกุยจะไม่ได้อาเจียนตอนนี้ แต่กลับดูอ่อนแรงมาก เดิมที่เว่ยซ่านกุยอาเจียนครั้งนี้ก็เพราะแม่นมไม่ระวังทำให้เกิดขึ้น ดังนั้นแม้ว่าจะมีบ่าวไพร่ แต่ว่านางซูก็ไม่วางใจที่จะจากไปเพื่อจัดการงานเลี้ยงของน้องสามี ต้องเห็นว่าเว่ยซ่านกุยหายดีแล้วก่อน จึงได้แต่ต้องกล่าวคำนิ่มนวลกับเว่ยฉางเสียน
เว่ยฉางเสียนได้ยินก็กล่าวว่า “เดิมข้าก็ไม่ได้มีอะไรต้องจัดการ ทุกปีพวกท่านต่างก็ส่งบัตรเชิญไป วันนี้กุยเอ๋อร์ไม่ดีนัก ข้าเองก็ไม่อยากจะกินของงานเลี้ยงอะไร…”
นางซูรีบตัดบทคำพูดนางแล้วกล่าว “น้องหญิงรองกล่าวอย่างนี้คือกำลังโทษพี่สะใภ้แล้ว!” แม้ว่านางจะกังวลร่างกายของบุตรชายคนรอง แต่ได้ยินคำกล่าวนี้ก็ยังรู้สึกร้องไห้ไม่ออกหัวเราะไม่ได้ ต้องรู้ว่าเว่ยฉางอิ๋งกับซ่งไจ้สุ่ยที่รับบัตรเชิญมาต่างก็อยู่ เว่ยฉางเสียนกล่าวอย่างนี้คือกำลังไม่ชอบใจที่พวกนางมาอวยพรหรือ
นางซูลอบถอนหายใจนิสัยของน้องสามียิ่งประหลาดมากขึ้น กำลังคิดจะกล่าวประนีประนอมให้นาง เหตุผลเปลี่ยนหัวข้อเรื่องก็มาถึงพอดี มีสาวใช้เข้ามารายงาน กล่าวว่าคุณหนูหกเว่ยฉางเอ๋อมาถึงแล้ว ไปคารวะที่นางหลิวคนน้องก่อน คิดไม่ถึงว่าทุกคนที่ไปเรือนของเว่ยฉางเสียนเมื่อรู้เรื่องต่างก็ทยอยพากันมาเยี่ยมเว่ยซ่านกุย
ดังนั้นนางซูจึงกล่าวว่า “น้องหญิงหกมาแล้ว! ข้าจำได้ว่าไม่ได้เห็นนางมาสองเดือนแล้ว ไม่รู้ว่าตอนนี้นางสูงขึ้นเท่าไหร่?”
คุณหนูหกเว่ยฉางเอ๋อตอนนี้เพิ่งจะมีอายุสิบสามปี เป็นช่วงที่กำลังยืดตัว หนึ่งเดือนสองเดือนก็เปลี่ยนไปแล้ว ดังนั้นนางซูจึงกล่าวอย่างนี้
เว่ยโจ่งปู่ของเว่ยฉางเอ๋อคือบุตรชายคนที่สามของหัวหน้าตระกูลผู้เฒ่าและเป็นสาขาสายที่ความสามารถอ่อนแอที่สุด กระทั่งบุตรชายยังต้องรับจากเว่ยฮ่วนไป แต่ว่าเว่ยฉางเอ๋อนั้นในบรรดาคนรุ่นเดียวกันแล้วเป็นที่รักมาก นี่ก็มีเหตุผล นางสวมเสื้อหรูปกทับกันลายปักองุ่นสีแดง และสวมกระโปรงไหมทรงบัวสีชมพู ม้วนจุกสองจุกเอาไว้ นางเดินเข้ามาอย่างเป็นธรรมชาติ บรรยากาศทั้งห้องพลันสบายขึ้นหลายส่วน
ไม่ได้หมายความว่าเด็กหญิงงดงามมากมาย จริงๆ แล้วเว่ยฉางเอ๋อมีหน้าตาเกลี้ยงเกลาเข้ารูป อย่าว่าแต่เอาไปเทียบกับเว่ยฉางอิ๋งที่ทุกรอยยิ้มท่าทางเปี่ยมด้วยชีวิตชีวาราวกับดวงตะวันเลย กระทั่งเว่ยฉางเสียนนางยังสู้ไม่ได้ แต่ว่าเด็กสาวคนนี้กลับมีหน้าตาที่ไม่ว่ามองอย่างไรก็ช่างสบายใจ ไม่ได้น่าตื่นตะลึงไม่ได้มีเสน่ห์ ไม่ได้น่าดึงดูดไม่ได้เหมือนคนทั่วไป แต่ว่ากลับน่ารักอย่างบอกไม่ถูก
นางยกยิ้มมุมปาก ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ที่แก้มทั้งสองมีลักยิ้มลึกคู่หนึ่ง นางคารวะให้ทุกคนก่อนแล้วจึงกล่าวทักทายเว่ยซ่านสื่อตัวน้อย จากนั้นจึงกล่าวว่า “วันนี้ข้ามาสายแล้ว คิดว่าคงเป็นคนสุดท้ายแล้ว คิดไม่ถึงว่าที่เรือนพี่หญิงรองกลับเงียบสงบมาก ยังคิดว่าพี่หญิงรองเองก็นอนดึก ยังลอบดีใจอยู่ กลับได้ยินคนว่ามาที่เรือนพี่สะใภ้ใหญ่ที่นี่”
จากนั้นก็ถามไถ่อาการของเว่ยซ่านกุย
นางซูกล่าวเรื่องก่อนหน้านี้ใหม่อีกรอบแล้วกล่าวแนะนำซ่งไจ้สุ่ย
“ข้าได้ยินแล้วว่าท่านพี่คนสนิทของพี่หญิงสามคือว่าที่ชายารัชทายาท” เดิมซ่งไจ้สุ่ยยังมองไปที่เว่ยฉางเอ๋อด้วยรอยยิ้มเป็นมิตรและสง่างาม พอได้ยินนางกล่าวมาอย่างนี้ก็แทบจะกระอักเลือดออกมา! เพียงแต่ว่าในเรือนนี้นอกจากเว่ยฉางอิ๋งแล้วไม่มีใครรู้ว่าตอนนี้สิ่งที่ซ่งไจ้สุ่ยเกลียดที่สุดก็คือการได้ยินคำอย่างนี้ ทุกคนต่างก็คิดว่าในเมื่อซ่งไจ้สุ่ยคือว่าที่ชายารัชทายาท ฐานะเป็นเกียรติอย่างนี้ ไม่ว่าจะเคารพอย่างจริงใจหรือเป็นไปตามมารยาทก็ควรจะยกเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นการให้เกียรติ เว่ยฉางเอ๋อเองก็คิดแบบนี้เช่นกัน ดังนั้นจึงยิ้มแล้วกล่าวว่า “เดิมข้ายังคิดว่าข้าอยู่ที่เฟิ่งโจว ทั้งชีวิตนี้เกรงว่าคงยากจะมีโอกาสได้ไปที่เมืองหลวง ต่อให้ไปก็ไม่มีทางมีวาสนาได้พบชายารัชทายาท เกรงว่าคงไม่มีทางได้รู้เลยว่ามารดาของแผ่นดินเป็นอย่างไร คิดไม่ถึงว่าวันนี้กลับได้มาพบที่พี่หญิงรองนี่”
หากถามใจดูแล้วคำกล่าวเหล่านี้ไม่ได้เกินเลยไปเลย ทั้งยังพูดได้อย่างน่ารักและไม่เสียมารยาทอีก ช่างเป็นหญิงตระกูลเว่ยที่มารยาทโดยแท้
เพียงแต่ว่า…
ซ่งไจ้สุ่ยจีบฝ่ามือไปครู่หนึ่ง แล้วจึงแสดงท่าทีนุ่มนวลอ่อนหวานสง่างามออกมาพลางยิ้มแล้วกล่าวอย่างเกรงใจว่า “คุณหนูหกกล่าวเกินไปแล้ว” กล่าวรับไปแกนๆ อย่างนี้ แล้วนางก็กล่าวอย่างจริงจังว่า “วันนี้ข้าตามฉางอิ๋งมารบกวนแล้ว ชายารัชทายาทอะไร พี่สะใภ้กับพี่น้องทั้งหลายหากว่าไม่เป็นการละเมิด เรียกข้าว่าไจ้สุ่ยหรือท่านพี่ซ่งก็ได้แล้ว หากว่ายังกล่าวถึงชายารัชทายาทอะไรอีก ข้าคงต้องคิดว่าทุกคนรังเกียจข้าแล้ว!”
พวกนางซูต่างก็เป็นคนฉลาด แม้ว่าจะประหลาดใจว่าทำไมซ่งไจ้สุ่ยถึงไม่ชอบฟังคำว่า ‘ชายารัชทายาท’ ประเภทนี้ แต่ว่าซ่งไจ้สุ่ยกล่าวเป็นนัยอย่างชัดเจนแล้ว พวกนางเองก็รู้กาลเทศะ จึงไม่ไปพูดถึงชายารัชทายาท มารดาแห่งแผ่นดินประเภทนี้ไปแทงหัวใจของซ่งไจ้สุ่ยอีก
สังเกตจุดนี้ได้ ซ่งไจ้สุ่ยถึงได้ถอนหายใจออกมา ในใจก็อดที่จะถลึงตาอย่างโมโหไปให้เว่ยฉางอิ๋งไม่ได้ หากว่าไม่ใช่เพราะน้องสาวที่ไม่เข้าท่าลากตนเองมา นางก็ไม่ต้องมาทรมานอย่างนี้!
เว่ยฉางอิ๋งกลับซุกซนมาก ไม่ได้กลัวการถลึงตาของนางเลย กลับมองมาที่นางอย่างหยอกเย้า เห็นได้ชัดว่ากำลังมีความสุขที่ผู้ที่ผู้ใหญ่มากมายต่างก็คิดว่าคือ ‘ลักษณ์ของหญิงตระกูลสูง’ ที่สมบูรณ์แบบ ยากจะเล่นละครต่อไปไม่ได้…
………………………………………..