ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง - ตอนที่ 25.2
เห็นได้ชัดว่า ตระกูลเสิ่นได้เลือกกันภายในแล้วว่าให้เสิ่นจั้งเฟิงเป็นผู้ดูแลหมิงเพ่ยถัง ดังนั้นในฐานะว่าที่ภรรยาของเสิ่นจั้งเฟิง เว่ยฉางอิ๋งถึงได้มีโอกาสได้รับปิ่นหยกคู่นี้มา
ความสำเร็จของหลานเขยเป็นตัวตัดสินฐานะของหลานสาวในอนาคต แน่นอนว่ายิ่งรุ่งก็ยิ่งดี แม้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าซ่งจะเดาได้อยู่ก่อนแล้วว่าหมิงเพ่ยถังจะต้องเป็นของเสิ่นจั้งเฟิง แต่ว่าอย่างไรเสิ่นจั้งเฟิงก็ยังอายุน้อย เสิ่นเซวียนก็มีบุตรชายไม่น้อยเลย เรื่องที่ยังไม่ได้ตัดสินใจอย่างไรก็ยังพูดไม่ได้ ตอนนี้ปิ่นคู่ที่ชื่อเสียงโด่งดังมาถึงที่บ้านตระกูลเว่ยแล้ว นั่นก็เท่ากับว่าฐานะของเสิ่นจั้งเฟิงได้เป็นที่ยอมรับกันแล้ว หากไม่เกิดเรื่องไม่คาดหมายอะไรก็ไม่มีทางสั่นคลอนแน่!
ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งตื่นเต้นดีใจแทนหลานสาวจริงๆ และกล่าวอธิบายกับพวกนางอย่างกระตือรือร้นว่า “อย่าเห็นว่าปิ่นอันนี้มาจากฝีมือของเย่จูฝูเลย ที่ล้ำค่าที่สุดยังไม่ใช่จุดนี้” นางกล่าวชี้แนะว่า “ที่ล้ำค่าที่สุดก็คือวัสดุ คนทั่วแผ่นดินต่างก็กล่าวกันว่าทองคำมีค่ามากส่วนหยกนั้นยากจะประเมินค่าได้ ในหยกเองก็มีระดับสูงต่ำ โดยเฉพาะหยกสีแดงเลือด!”
เว่ยฉางอิ๋งยิ้มแล้วกล่าวว่า “หยกเลือดหาได้ยากมาก หยก หยกอ่อนขาว หยกเหลืองและหยกม่วงที่ข้าเก็บเอาไว้ก็มีมาก แต่ว่ากลับไม่มีหยกแดงเลือดเลยสักชิ้น!”
“ข้ากลับเห็นครั้งหนึ่งที่ท่านย่า แต่ว่ามีขนาดเล็กประมาณเล็บนิ้วหัวแม่มือเท่านั้น สลักเป็นรูปจักจั่น บางครั้งท่านย่าก็เอาออกมาคลำเล่น” ซ่งไจ้สุ่ยตาเป็นประกาย แล้วกล่าวอย่างน่ารักว่า “แต่ว่ากลับไม่ได้งดงามอย่างชิ้นนี้ สีของมันจะคล้ำกว่าหน่อย”
ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งยิ้มน้อยๆ แล้วกล่าวว่า “หยกจักจั่นสีแดงเลือดชิ้นนั้นของย่าเจ้าข้าเองก็รู้ แต่ว่ากลับไม่เหมือนกับอันนี้ ต้องรู้ว่าหยกสีแดงเลือดนั้นมีสองประเภท หนึ่งคือเลือดแทรกซึมเข้าไปในหินหยก เมื่อสะสมมาหลายปีแล้วจึงเกิดเป็นหยกขึ้น! หยกสีแดงเลือดพันปีของท่านย่าเจ้าชิ้นนั้น แน่นอนว่าก็มีราคามหาศาลมาก แต่ว่าวัสดุของปิ่นหยกคู่ชิ้นนี้กลับเป็นอย่างที่สอง นั่นก็คือหยกสีเลือดจากธรรมชาติ มีต้นกำเนิดมาจากที่ราบสูงทางตะวันตก ที่นั่นเป็นที่อยู่ของชิวตี๋[1] แต่ถึงจะเป็นที่นั่น ก็ยังหาได้ยากมาก!”
ซ่งไจ้สุ่ยยิ้มแล้วกล่าวว่า “น้องสาว ตอนนี้เจ้ายังไม่ได้แต่งงานออกไป แม่สามีกลับเอ็นดูเจ้าอย่างนี้แล้ว ภายหลังเกรงว่าคงได้ปฏิบัติกับเจ้าอย่างบุตรสาวแท้ๆ แน่ กระทั่งสามีเจ้ายังต้องอิจฉาเลย” นางรู้ว่าตอนนี้ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งชอบฟังคำอย่างนี้ที่สุด เมื่อได้ยินอย่างนี้แล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งก็พลันยิ้มไปทั้งปากและตาทันที ความสบายใจนั่นไม่ว่าอย่างไรก็ปิดบังไม่มิดจริงๆ
เว่ยฉางอิ๋งเองก็อารมณ์ดีมาก ไม่ว่านางจะวางแผนคิดจัดการกับเสิ่นจั้งเฟิงอย่างโหดเหี้ยมอย่างไร แต่อย่างไรก็ไม่กล้าถึงขนาดลงไม้ลงมือกับฮูหยินซู ตอนนี้ฮูหยินซูมีท่าทีเปลี่ยนไป ในฐานะสะใภ้แล้วนางจะไม่ดีใจได้หรือ
ย่าหลานทั้งสามดีใจอยู่ครู่หนึ่ง เป็นเฉินหรูผิงที่ยิ้มแล้วกล่าวเตือน “เรื่องนี้เกรงว่าฮูหยินใหญ่คงจะยังไม่รู้ ให้คนไปบอกกับฮูหยินซ่งดีไหม?”
“จริงด้วย” ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งจึงนึกขึ้นมาได้และรีบเรียกคน “ซวงหลี่ รีบนำเรื่องนี้ไปกล่าวกับอวี่เวย แล้วให้นางช่วยคัดเลือกของแสดงความเคารพที่เหมาะสม” จากนั้นก็หันกลับมากล่าวกับเว่ยฉางอิ๋งว่า “พูดไปแล้วเรื่องของขวัญเจ้าควรเป็นผู้ไปเลือกด้วยตนเอง ข้ากับแม่ของเจ้าจะช่วยเจ้าดู แต่ว่าบ่าวรับใช้ตระกูลเสิ่นอยากจะรีบกลับไปรายงาน จึงชักช้าไม่ได้ จึงได้แต่ต้องให้แม่ของเจ้าเป็นคนทำแทนเจ้าไปก่อน…กลับไปแล้วเจ้าไปอ่านรายการดีๆ เรียนรู้ไว้หน่อย รู้ไหม?”
เว่ยฉางอิ๋งตอบรับอย่างเต็มใจยินดีกับเรื่องที่ไม่ต้องให้ตัวนางไปทำเองทันที นางพยักหน้าอย่างว่าง่ายแล้วกล่าวว่า “ท่านย่าวางใจเถอะ ข้ากลับไปแล้วจะต้องให้ท่านแม่สั่งสอนอย่างดี!”
ฮูหยินซ่งรู้ว่าตระกูลอีกฝ่ายไม่เพียงแต่จะไม่รังเกียจ ทั้งยังนำของขวัญล้ำค่าที่มีความหมายขนาดนี้มาให้ไกลถึงเฟิ่งโจว แน่นอนว่านางยินดีแทนบุตรสาวอย่างมาก! นางเลือกของขวัญล้ำค่าตอบแทนกลับไปด้วยตนเอง คิดแล้วก็เรียกบุตรสาวมาแล้วจิ้มไปที่รายการนอกเหนือไปจากในรายการพลางกล่าวว่า “เจ้ารู้ไหมว่าของชิ้นนี้เอาไปให้ใคร?”
แม้ว่าเว่ยฉางอิ๋งจะไม่ค่อยใส่ใจเรื่องการสมาคมมากนัก แต่ว่านางฉลาดมาก แค่คิดแล้วก็กล่าวว่า “ให้ท่านอารองหรือ?”
“ไม่ผิด” ฮูหยินซ่งเห็นบุตรสาวฉลาดในใจก็ยินดีและวางใจ นางกล่าวด้วยน้ำเสียงมีความหมายว่า “คราวนี้แม่สามีเจ้าส่งปิ่นหยกคู่นี้มา เป็นผลงานของอาคนนี้ของเจ้า! หากว่าไม่ได้อาเจ้าคนนี้คอยไกล่เกลี่ยให้ในเมืองหลวง ทั้งยังกล่าวได้อย่างงดงาม อย่าว่าแต่ความคิดในใจจริงๆ เลยที่อย่างไรก็พูดออกไปไม่ได้ ต่อให้เจ้ามีศีลธรรมงดงามอ่อนหวานจริง ฮูหยินซูที่อยู่ไกลถึงขนาดนั้นจะรู้ความจริงได้อย่างไร พูดไปแล้วจิ่งเฉิงโหวเองก็คือบุตรหลานตระกูลเว่ยแห่งเฟิ่งโจวของพวกเรา คนในตระกูลตนเองออกไปกล่าวว่าบุตรหลานไม่ได้ คนนอกจะไม่เชื่อได้หรือ ดังนั้นว่าที่แม่สามีเจ้าจะต้องตอบแทน แต่ก็ห้ามลืมท่านอาคนนี้ของเจ้า”
อดที่จะกำชับนางอีกไม่ได้ เมื่อแต่งงานไปที่เมืองหลวงแล้ว จะต้องไปคารวะเว่ยเจิ้งอินที่เรือนด้วยตนเองให้ได้ ทั้งยังต้องมีสัมพันธ์ที่ดีกับท่านอาคนนี้ด้วย อย่างไรเว่ยเจิ้งอินก็คือน้องสะใภ้ของฮูหยินซู แม้ว่าความสัมพันธ์กับฮูหยินซูจะไม่ถึงขนาดสัมพันธ์พี่น้อง แต่ว่าโดยผิวเผินแล้วก็ยังไปกันได้ จะอย่างไรฮูหยินซูก็ต้องไว้หน้ากับน้องชายคนเล็กของตนเองบ้าง
เว่ยฉางอิ๋งกับท่านอาคนนี้มีสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เป็นทั้งพิธีมารยาทอย่างญาติ และยังได้การสนับสนุนจากเว่ยเจิ้งอินด้วย อย่างไรก็ไม่มีเสียเปรียบ
เพื่อความสัมพันธ์ของอาหลานมีการเริ่มต้นที่ดี แน่นอนว่าตอนนี้ฮูหยินซ่งไม่มีทางลืมความดีของเว่ยเจิ้งอิน
สั่งสอนบุตรสาวถึงเรื่องสำคัญที่ให้เอาใจท่านอาให้ดีแล้ว ฮูหยินซ่งก็เตือนนางถึงความสัมพันธ์กับเหล่าภรรยาของพี่ชายน้องชายสามี “ปิ่นหยกสีแดงเลือดรูปนกคู่สยายปีกเกาะกิ่งไม้คู่นี้มีชื่อเสียงโด่งดังมาก ทั้งยังมีความหมายไม่ธรรมดา แม่สามีเจ้าคนนั้นมอบมันให้กับเจ้า แม้ว่าจะเป็นการแสดงออกว่ารักเอ็นดูเจ้า แต่ก็หมายถึงฐานะของเสิ่นจั้งเฟิงในตระกูลเสิ่นด้วย ทว่าเสิ่นจั้งเฟิงไม่ใช่บุตรชายคนโต และต่อให้เขาใช่ ก็ไม่แน่ว่าจะสามารถห้ามไม่ให้เหล่าภรรยาของพี่ชายน้องชายไม่ให้ริษยาได้! ดังนั้นเจ้าอย่าเห็นว่าเจ้าได้รับของล้ำค่าอย่างนี้มาเด็ดขาด หากว่าข้าเดาไม่ผิด นี่ก็เป็นการทดสอบหนึ่งที่แม่สามีเจ้าให้เจ้า!”
เว่ยฉางอิ๋งนิ่งคิดแล้วกล่าวว่า “ข้ายังไม่ทันจะแต่งเข้าไป ก็กลับถูกเหล่าภรรยาของพี่ชายน้องชายสามีอิจฉาก่อนแล้วหรือ?”
“แน่นอน” ฮูหยินซ่งยิ้มเย็นแล้วกล่าวว่า “นางหลิวว่าที่พี่สะใภ้ในอนาคตของเจ้าคนนั้นคือบุตรสาวภรรยาเอกของตงหูหลิว ได้ยินว่านิสัยอ่อนโยนนุ่มนวลใจกว้าง มีศีลธรรมมาก! แม้ตอนนี้จะกล่าวว่านายหญิงของตระกูลเสิ่นคือซูซิ่วมั่น แต่จริงๆ แล้วนายหญิงของตระกูลคือนางหลิวนานแล้ว แต่ว่าปิ่นหยกสีแดงเลือดรูปนกคู่สยายปีกเกาะกิ่งไม้กลับมาอยู่ในมือเจ้า เสิ่นจั้งเฟิงมีอนาคตก้าวไกล เจ้าคือภรรยาเอกของเขาในอนาคต ฐานะนายหญิงของนางหลิว เมื่อเจ้าแต่งงานเข้าไปแล้วก็ไม่รู้ว่าจะเปลี่ยนแปลงไหม ถึงตอนนั้นเจ้าจะรับมืออย่างไร
นางตวนมู่ พี่สะใภ้รองในอนาคตของเจ้าคนนั้นแม้ว่าจะเป็นเพียงบุตรอนุภรรยาของจิ่นซิ่วตวนมู่ แต่ว่านางเองก็เป็นผู้ที่มีชื่อเสียงในฐานะสตรีสูงศักดิ์มาตั้งแต่ยังไม่ได้แต่งงานเช่นเดียวกับนางหลิว! นอกจากนี้ได้ยินว่าบุตรสาวจากภรรยาเอกของนางตวนมู่ ตอนนี้เพิ่งจะมีอายุได้ไม่ถึงสี่ปี ฤดูร้อนปีนี้ก็ท่องกลอนหย่งอู้บทหนึ่งต่อหน้าทุกคน เป็นสตรีตัวน้อยที่มีชื่อมากของเมืองหลวง และเพราะอย่างนี้นางจึงเป็นที่รักเอ็นดูของซูซิ่วมั่นมาก กระทั่งนางตวนมู่ก็ยังถูกคิดว่าเป็นตระกูลที่รู้จักสั่งสอนบุตรสาว! พวกนางแต่งเข้ามาเร็ว บุตรสาวบุตรชายมีกันเป็นแถวแล้ว ในตระกูลเสิ่นหยั่งรากไว้ลึกมาก แต่ในสายตาของแม่สามีกลับไม่สำคัญเท่ากับเจ้า เจ้าต้องคิดว่าภายหลังเจ้าจะต้องทำอย่างไร?”
ฮูหยินซ่งจิ้มไปยังหน้าผากเกลี้ยงเกลาของบุตรสาวแล้วกล่าวเสียงเข้มว่า “ดังนั้นเจ้าอย่าคิดว่าได้รับปิ่นหยกสีแดงเลือดรูปนกคู่สยายปีกเกาะกิ่งไม้มาแล้วจะสามารถไร้ทุกข์หมดโศก! เรื่องที่ต้องปวดหัวในวันหลังยังมีอีกมาก!”
…………………………………………
[1] ชิวตี๋ : เผ่าทางตอนเหนือของจีน