ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง - ตอนที่ 26.2
เว่ยฉางอิ๋งชะงักไป ฮูหยินซ่งกล่าวเสียงต่ำว่า “นี่ก็เพื่อบ้านนี่ของพวกเรา! หากว่าไม่มีฉางเฟิง ข้ากับท่านพ่อของพวกเจ้า ก็ได้แต่ต้องขอบุตรชายบุญธรรมมาจากบ้านอื่น! ทั้งยังมีบุตรสาวคือเจ้าเพียงคนเดียวอีก หากว่าเจ้าแต่งงาน บุตรบุญธรรมจะเป็นอย่างไร ใครจะรู้ได้ แน่นอนว่าแม่เองก็ใช่ว่าจะรังแกกันได้ง่ายๆ แต่ว่าบุตรบุญธรรมเป็นผู้น้อยจัดการได้ง่าย แต่หากว่าบ้านอารองของเจ้ามีอำนาจ ท่านพ่อของเจ้ากลับเป็นบุตรชายจากภรรยาเอก เจ้าว่า บ้านใหญ่ของพวกเรา จะไม่ต้องใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวได้หรือ แต่หากว่าเจ้าแต่งงานดี แม้ว่าท่านปู่ท่านย่าจะคุ้มครองบ้านใหญ่ของพวกเราไม่ได้ แต่ว่าท่านอารองก็ไม่กล้าดูแลบ้านใหญ่ของพวกเราไม่ดี! บ้านใหญ่ของพวกเราถึงได้ไม่ต้องกังวลว่าจะต้องถูกท่านอารองของเจ้าคิดหาวิธีกดลงไป จนภายหลังยากจะเงยหัวได้อีก! ดังนั้นท่านปู่เจ้าจึงให้เจ้าแต่งงานกับเสิ่นจั้งเฟิง ไม่ใช่ฉางหวั่นที่ดูเหมาะสมกว่าในตอนนั้น!”
“ท่านพ่อคือบุตรภรรยาเอกของท่านปู่ ท่านปู่อย่างไรก็ต้องปฏิบัติกับท่านพ่อต่างออกไป” เว่ยฉางอิ๋งมีสีหน้าถูกสั่งสอน นางกล่าวอย่างจริงจังว่า “บุตรสาวจะต้องตั้งใจฟัง ไม่ให้เสียท่านปู่ที่รักใคร่ใส่ใจ”
ฮูหยินซ่งดีใจที่บุตรสาวรู้ความ กลับไม่รู้ว่าผิวเผินเจ้าลูกอกตัญญูนี่พูดออกมาด้วยท่าทีจริงจังอย่างนี้ ในใจกลับคิดว่า แซ่เสิ่นคนนี้อายุยังน้อยกลับประสบความสำเร็จอย่างนี้ นิสัยจะต้องเป็นคนที่เย่อหยิ่งไร้เหตุผลแน่นอน! ต่อให้ต่อหน้าผู้ใหญ่เขาจะถ่อมตนมีมารยาท แต่ว่ามาต่อหน้าคนรุ่นเดียวกันแล้ว เขาจะไม่แสดงท่าทีโอหังอวดดีออกมาหรือ! ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหากกลับไปเรือนหลัง! ถึงตอนนั้นหากว่าปรนนิบัติไม่ดี เกรงว่าคงทำให้เขารังเกียจ…จะต้องมีเรื่องอย่างนี้จริงๆ แน่?! ข้าคือคุณหนูใหญ่แซ่เว่ยของเฟิ่งโจว ท่านปู่ท่านย่าท่านพ่อท่านแม่เลี้ยงดูข้ามาจนโตอย่างนี้ ยังไม่เคยทำให้ข้าต้องโมโหอย่างนี้เลย! เมื่อแต่งงานฐานะกลับตกต่ำลงมาจนจะทำอะไรก็ต้องคอยมองผู้อื่นหรือ?! แล้วอย่างนี้จะต่างอะไรกับการเป็นบ่าวไพร่กัน!
เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกว่าเรื่องอย่างนี้มันน่ากลัวเกินไปแล้ว!
นางลอบกำหมัดแน่น และตัดสินใจว่าไม่ว่าอย่างไรก็จะไม่มีทางยอมให้เรื่องที่น่าหลัวอย่างนี้เกิดขึ้นเด็ดขาด!
ดังนั้นเมื่อรับคำฮูหยินซ่งแล้ว นางก็ตัดสินใจว่าจะไปหาเจียงเจิงเพื่อฝึกซ้อมให้หนักขึ้นอีก สาบานว่าจะต้องใช้หมัดทั้งสองของตนสร้างอนาคตที่งดงามให้เหมือนกับก่อนแต่งงานออกไป
เว่ยฉางอิ๋งแข็งขืนอย่างนี้ ฮูหยินซ่งก็ไม่มีวิธีจะดึงไว้ได้อีก และหาเวลาว่าไปปรึกษาหารือกับฮูหยินผู้เฒ่าซ่ง “งานแต่งเข้ามาใกล้ตรงหน้าแล้ว เด็กนี่กลับยังจมอยู่กับการฝึกวิชายุทธ์ ไม่มีวิสัยของสตรีตระกูลเว่ยเลยแม้แต่น้อย แล้วจะทำอย่างไรดี?”
ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งเองก็กังวลใจในหลานสาวมาก แต่ได้ยินคำของฮูหยินซ่งแล้วกลับยากจะตัดสินใจ แม่สามีลูกสะใภ้ทั้งสองพูดไปแล้วต่างก็เป็นผู้ที่อบรมสั่งสอนบุตรมืออาชีพ อย่างไรก็ถือกำเนิดมาในตระกูลมีชื่อและแทรกซึมมาจนโต ตระกูลใหญ่ทั่วไปชอบพอลูกสะใภ้แบบไหนก็รู้มาตรฐานดี แต่ว่านี่มองจากเพียงมุมมองของแม่สามีและภรรยาของพี่ชายน้องชายสามีเท่านั้น หากว่ามีใจตรงกับสามี นั่นคือพรหมลิชิต
หากว่าเป็นสะใภ้ แน่นอนว่าฮูหยินผู้เฒ่าซ่งจะต้องมีความต้องการเหมือนอย่างนายหญิงตระกูลใหญ่มีชื่อทั่วไป นั่นก็คือรู้ความฉลาดมีคุณธรรม และยังต้องให้บุตรหลานชอบพอด้วย แม่สามีที่มีเหตุผลก็ไม่มีอะไรต้องเรื่องมากอีกแล้ว
แต่ว่าหลานสาวแท้ๆ ของตน และยังเป็นหลานสาวเพียงคนเดียวอีก แน่นอนว่าฮูหยินผู้เฒ่าซ่งหวังว่าเว่ยฉางอิ๋งจะได้รับความรักจากแม่สามี และยังได้ความเคารพจากภรรยาของพี่ชายน้องชายสามี และที่สำคัญก็คือจะต้องรักใคร่สามัคคีกับสามี! ตัวของฮูหยินผู้เฒ่าเองเมื่อยังอายุน้อยก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยได้รับความไม่เป็นธรรมจากแม่สามีมาก่อน อย่างไรเว่ยฮ่วนก็เป็นบุตรชายอนุภรรยา แม้ว่าตำแหน่งหัวหน้าตระกูลของตระกูลเว่ยแห่งเฟิ่งโจวจะไม่ใช่ว่าเขาเป็นผู้ไปชิงมาจากจิ้งผิงกง แต่ว่าเป็นตัวของจิ้งผิงกงเองที่เสนอไม่อยากรับ เพราะไม่สามารถดูแลตระกูลเว่ยทั้งตระกูลได้ แต่ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าแม่ของจิ้งผิงกง ฮูหยินผู้เฒ่าของจิ้งผิงกงที่ต้องมองบุตรชายจากอนุภรรยารับตำแหน่งที่ควรจะเป็นของเลือดเนื้อเชื้อไขของตนไปต่อหน้า ในใจจะรับได้หรือ
สถานการณ์ของเว่ยฮ่วนในตอนนั้นคล้ายคลึงกับเว่ยเซิ่งอี้ในตอนนี้มาก หากไม่ใช่ว่าจิ้งผิงกงจะจมอยู่กับความเรียบง่ายและเซวี่ยนเหล่ามากเกินไป ทำให้กระทั่งกับบุตรหลานก็ยังไม่ใส่ใจเท่าไหร่นัก นานหลายปีกว่าจะได้บุตรชายคนเดียวอย่างเว่ยเจิ้งหย่ามา ทำให้เมื่อจิ้งผิงกงผู้เฒ่าเสียไป แม้ว่าเว่ยเจิ้งหย่าจะยังอายุน้อย แต่ว่าฮูหญิงผู้เฒ่าจิ้งผิงกงก็มีความคิดเช่นเดียวกับฮูหยินผู้เฒ่าในตอนนี้ บุตรชายไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องสนับสนุนหลานชาย! เรื่องที่เกี่ยวข้องกับอนาคตของเลือดเนื้อเชื้อไข ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถให้บุตรจากอนุภรรยาได้ไปได้!
แม้ว่าเว่ยเจิ้งหย่าจะเกิดมาช้า ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าจิ้นผิงกงเสียดายมาก ทว่าตอนนั้นฮูหยินผู้เฒ่าซ่งเองก็ได้รับความไม่เป็นธรรมจากแม่สามีคนนี้เพราะเว่ยฮ่วนไม่น้อย ความทุกข์ที่ฮูหยินผู้เฒ่าได้รับมา แน่นอนว่าไม่อยากจะให้หลานสาวต้องได้รับ แต่ว่าฮูหยินผู้เฒ่าซ่งเองก็รู้ว่า เทียบกับความรักของแม่สามีและภรรยาพี่ชายน้องชายของสามีแล้ว ในฐานะภรรยา สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือความรักจากสามี
โดยเฉพาะเว่ยฉางอิ๋งที่เดิมก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเสิ่นจั้งเฟิง งานแต่งงานที่ตระกูลเทียบเคียงกัน แน่นอนว่าต้องรู้กฎดี ซูซิ่วมั่นไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบเว่ยฉางอิ๋ง ต่อให้ตักเตือนอย่างไร แต่ก็ยังมีขีดจำกัด เมื่อข้ามเส้นไป ตระกูลเว่ยไม่มีทางยอม ตระกูลซู ตระกูลเสิ่นเองก็ไม่มีทางยอมมองซูซิ่วมั่นต้องมีชื่อเสียงเลวร้ายไม่มีเมตตาได้
ภรรยาของพี่ชายน้องชายสามีของเว่ยฉางอิ๋งเองก็มีชาติตระกูลเช่นกัน ขอแค่ตระกูลเว่ยยังอยู่นี่ ขอแค่ภายหลังเว่ยฉางเฟิงสามารถทำตามแผนการของฮูหยินผู้เฒ่าซ่งได้และเข้ามาแทนที่ตำแหน่งของเว่ยเจิ้งหงที่หายไปหลายปีได้ ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งคิดว่าเว่ยฉางอิ๋งก็ไม่จำเป็นต้องกลัวแม่สามีมากนัก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงภรรยาของพี่ชายน้องชายสามีเลย
พูดไปแล้ว ก็ยังเป็นความสัมพันธ์กับเสิ่นจั้งเฟิงมากกว่าที่ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งกังวล
แม้ว่านับแต่โบราณมาต่างก็กล่าวกันว่าสู่ขอภรรยาสู่ขอที่มีคุณธรรม แต่ว่าฮูหยินผู้เฒ่าซ่งผ่านประสบการณ์มาทั้งชีวิต จะไม่รู้ได้อย่างไรว่าสาเหตุที่ภรรยาผู้มีคุณธรรมและได้รับความชมชอบจากคนในแผ่นดิน แต่กลับไม่ได้รับความรักจากสามีเพราะอะไร
นอกจากนี้หลายปีมานี้ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งก็สั่งการคนที่ทิ้งไว้ในเมืองหลวงเมื่อตอนที่ออกจากเมืองหลวงมาอยู่ตลอด ทั้งยังกำชับบุตรสาวว่าให้ไปที่ตระกูลเสิ่นบ่อยๆ ด้วย เพื่อไปสืบเสิ่นจั้งเฟิง ว่าที่หลานเขยในอนาคตให้ละเอียด ข่าวที่สืบมากล่าวว่าเขาคนนี้เป็นบุตรหลานตระกูลมีชื่อตามแบบมาตรฐาน มีความสามารถและถ่อมตน และยังมีนิสัยใจกว้าง คำชมที่เห็นอย่างชัดเจนนี้ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งอ่านแล้วก็แล้วไป แต่ว่านางสังเกตเห็นถึงความชอบของเสิ่นจั้งเฟิง ว่าที่หลานเขยคนนี้ชื่นชอบวิชาทหาร และม้าชั้นดี กระทั่งในตอนที่อายุที่ยังมัดจุกอยู่ เขาไม่สนใจการห้ามของบ่าวไพร่และดื้อดึงเอาจนเข้าไปปราบพยศม้าชั้นดีที่ก้าวร้าวตัวหนึ่งที่เพิ่งจะได้มาจากชิวตี๋ และเพราะเรื่องนี้ทำให้เขาถูกเสิ่นเซวียนตำหนิอย่างหนัก จากเรื่องนี้แล้ว ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งรู้สึกได้ถึงนิสัยที่แท้จริงของเสิ่นจั้งเฟิง ว่าเขาไม่ใช่คนถ่อมตนอย่างนั้นแน่ ผู้ที่ถ่อมตนยอมฟังคนอื่น จะยอมเสี่ยงขาหัก เสียโฉมหรือกระทั่งอันตรายถึงชีวิตเพื่อไปปราบพยศม้าด้วยตนเองตอนอายุได้เพียงสิบห้าปีหรือ
บุตรหลานตระกูลมีชื่อ มีใครบ้างที่ไม่ได้ยินคำสั่งสอนมาว่า ‘บุตรหลานตระกูลสูง ไม่อยู่ในที่อันตราย’ ตั้งแต่ยังเล็ก
แต่ว่าเรื่องนี้ถึงจะสมกับเป็นวิสัยของบุตรหลานตระกูลเสิ่นแห่งซีเหลียง ซีเหลียงกับชิวตี๋มีอาณาเขตติดต่อกัน บุตรหลานของตระกูลเสิ่น เติบโตมาพร้อมกับการบุกรุกของเผ่าชิวตี๋นานหลายร้อยปี คนเผ่าชิวนั้นป่าเถื่อนไร้ความรู้ มีนิสัยดุดันโหดเหี้ยม ไม่มีความเด็ดเดี่ยว อยู่ต่อหน้าคนเผ่าชิวแล้วยังจะรักษาแผ่นดินได้หรือ
ก่อนหน้านี้เฉินหรูผิงพูดไว้ว่า ตระกูลเสิ่นไม่เหมือนกับตระกูลเว่ยที่มาในด้านสายบุ๋น ในเมื่อเสิ่นจั้งเฟิงเป็นบุตรหลานตามมาตรฐานของตระกูลเสิ่น ก็ใช่ว่าเขาจะชื่นชอบเด็กหญิงที่รู้มารยาทงดงาม นุ่มนวลมีศีลธรรมเมตตาอย่างที่ตระกูลมีชื่อใหญ่ทั้งหลายสั่งสอนกันมาก็ได้
แต่ว่า เรื่องนี้ก็ยังไม่แน่ เพราะว่าหากว่าเสิ่นจั้งเฟิงมีใจมุ่งในการต่อสู้ ไม่ใช่ว่าเขาจะต้องการภรรยาที่เรียบร้อยมีเมตตามีคุณธรรมมาคอยดูเรือนหลังให้เขาหรือ
อย่างไรโชคชะตาก็ยากจะพูดได้ ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งกับฮูหยินซ่งกังวลเหมือนกันคือเมื่อเว่ยฉางอิ๋งแต่งงานไปแล้วจะต้องลำบาก แต่ก็ยังหวังอยู่หนึ่งในหมื่นว่า หากเสิ่นจั้งเฟิงเป็นเหมือนอย่างที่เฉินหรูผิงกล่าวล่ะ
เป็นอย่างนั้นไม่ใช่ว่านางเป็นผู้ทำลายเรื่องดีของหลานสาวไปหรือ ไม่ใช่ว่าทำให้หลานสาวต้องได้รับความไม่เป็นธรรมหรือ
ดังนั้นนิ่งเงียบไปนาน ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งก็เพียงแต่ฝืนกล่าวว่า “นิสัยของนางเป็นอย่างนี้แล้ว ให้เปลี่ยนวันนี้ เกรงว่าคงจะยาก หากฝืนกันไปเกรงว่าจะทำให้นิสัยประหลาดไป…ข้าว่า สู้ให้เป็นอย่างนี้ไป ไม่แน่ว่านางอาจจะมีโชคของนางก็เป็นได้?”
ตอนนี้คงได้แต่ต้องพนันดูแล้ว
……………………………………………….