ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง - ตอนที่ 28
เว่ยฉางซุ่ยวางแผนกับบ่าวชราด้วยจิตใจไม่สงบว่าจะเปลี่ยนสถานการณ์กลับมาอย่างไร ปลายเดือนหก เฟิ่งโจวกลับมีข่าวใหญ่ข่าวหนึ่งมา!
ทางตอนเหนือได้รับชัยชนะ!
ก่อนหน้านี้เว่ยฉางอิ๋งคาดคะเนได้ไม่ผิดจริงๆ มีเผ่าหรงที่แฝงตัวเข้ามาในเฟิ่งโจว เพราะเมืองเหลียวเฉิงมีไส้ศึก จึงมีผู้บาดเจ็บล้มตายมาก ร่างสร้างเป็นจิงกวนมนุษย์สูงสามกองได้เลย! ประชาชนภายในเมือง เหลือไม่ถึงสามส่วน!
เรื่องนี้ถูกเว่ยฮ่วนกดเอาไว้อย่างรวดเร็ว อย่างไรเฟิ่งโจวก็มีพื้นที่แคบยาว ทิศใต้และทิศเหนือห่างกันไกล แม้ว่าจะมีข่าวบางที่แพร่มาในเมืองเฟ่งโจว แต่ว่าตระกูลเว่ยมีอำนาจหยั่งลึกภายในเขตนี้ จึงใช้ทั้งไม้อ่อนไม้แข็งปลอบประโลมประชาชนในเขต และไม่ยอมรับข่าวนี้ เพราะเชื่อมั่นในตระกูลเว่ยมาตลอด อย่างไรเฟิ่งโจวก็เป็นรากฐานของตระกูลเว่ย ตอนนี้ขุนนางในเขตต่างก็เป็นลูกหลานตระกูลเว่ย ไม่มีทางทิ้งเฟิ่งโจวไปง่ายๆ แน่ แม้ว่าในเขตจะมีคนหวาดกลัว แต่ก็ไม่ถึงกับเริ่มอพยพหนีกันใหญ่โตอย่างนั้น
ตอนนี้ซ่งหานได้รับชัยชนะกลับมา สามารถฆ่าคนของเผ่าหรงได้ถึงสองร้อยกว่าคน ทั้งยังจับผู้ที่บาดเจ็บได้อีกร้อยกว่า ชัยชนะอย่างนี้ หลายปีนี้กระทั่งตงหูหรือซีเหลียงก็ยังหาได้ยาก แน่นอนว่าสามารถกลบเรื่องเมืองเหลียงเฉิงทีแทบร้างได้
และจากตอนนี้ เรื่องที่เมืองเหลียวเฉิงถูกโจมตีจึงถูกเขียนบรรยายไปอย่างเรียบๆ ด้วย เมื่อมีชัยชนะยิ่งใหญ่ด้านหน้า เรื่องที่น่าอนาจอย่างนี้จึงดูเบาบางลงไป
คราวนี้สิ่งที่ทำให้คนสนใจกันมากที่สุด กลับเป็นการขอความดีและการเฉลิมฉลอง
แต่ว่าเรื่องนี้ต่างเป็นเรื่องการเมือง สำหรับตระกูลเว่ยแล้วข่าวชัยชนะอย่างยิ่งใหญ่ในครั้งนี้ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ตัดสินใจตามมาด้วย นั่นก็คืองานแต่งงานของเว่ยเกาฉาน
ก่อนหน้านี้เว่ยเซิ่งเหนียนถูกซ่งหานกล่อม และได้ตอบรับแล้วว่าเมื่อปรึกษากับท่านพ่อและแม่ใหญ่แล้วจะให้บุตรสาวจากอนุภรรยาแต่งงานกับซ่งตวนบุตรชายคนโตจากภรรยาเอกของซ่งหาน แต่บังเอิญที่ช่วงนั้นฮูหยินผู้เฒ่าซ่งอารมณ์ไม่ดี นางเผยถูกตอกกลับมาแล้ว แน่นอนว่าเว่ยเซิ่งเหนียนที่มีนิสัยอ่อนแอไม่มีทางกล้าไปรบกวนแม่ใหญ่อีกแน่
ส่วนนางเผยเองก็รู้สึกว่าสามีหูเบาเกินไป แค่ไม่กี่คำก็หาสามีให้กับบุตรสาวจากอนุภรรยาแล้ว ไม่แน่ว่าเขาจะดีอย่างที่ซ่งหานกล่าวชมเชยบุตรชายตนเอง หลายวันนี้ได้ปรึกษากับฮูหยินซ่งและส่งคนไปสืบข่าวมา รู้สึกว่าซ่งตวนก็เป็นเพียงบุตรทั่วๆ ไป แม้ว่าจะไม่ได้มีชื่อเสียงอะไรไม่ดี แต่ว่าก็ไม่ได้ดีขนาดที่จะให้เว่ยเกาฉานยอมลดฐานะลงไปแต่งงานด้วย อย่างไร ซ่งหานก็เป็นเพียงแค่ตระกูลซ่งสาขาที่ห่างไกลออกไปของเจียงหนานเท่านั้น…
แต่ว่าการกลับมาด้วยชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ในครั้งนี้ ซ่งตวนมีคุณความดีมาก ตอนที่ซ่งหานกล่าวผลงานก็ได้เน้นย้ำถึงชัยชนะครั้งนี้ว่าชนะมาได้เพราะไหวพริบของซ่งตวน เขาเป็นผู้วางแผนล่อให้เผ่าหรงมาติดกับ และล้มทำลายศัตรู นอกจากนี้ซ่งตวนยังเป็นผู้นำทหารไปฆ่าเผ่าหรงด้วยตนเองหลายสิบคนด้วย!
ความสามารถที่แสดงออกมาได้รับการยืนยันจากผู้ที่นำข่าวมาบอกจากซ่งหานด้วย กระทั่งเว่ยฮ่วนยังกล่าวชมเชยซ่งตวนตอนนั้นไปหลายคำ มาส่งข่าวเรื่องดีขนาดนี้ ซ่งหานที่คิดจะยกบุตรชายของตนแน่นอนว่าไม่ลืมที่จะพูดถึงเลือดเนื้อเชื้อไขของตน
แน่นอนว่าเว่ยฮ่วนชมเชยซ่งตวนก็ส่วนชมเชย ข่าวเรื่องความดีทั้งหมดนี้เขาไม่ได้เชื่อถือทั้งหมด เขากล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่าซ่งอย่างนี้ “ซ่งตวนยังไม่ถึงพิธีสวมหมวก แต่ก่อนก็ไม่เห็นว่าจะเป็นคนที่ฉลาดเท่าไหร่นัก การที่ไม่กลัวศัตรูและบุกไปฆ่าศัตรูหลายคนก็อาจเป็นไปได้ แต่หากพูดว่าวางแผนการดัก คิดว่าแปดเก้าในสิบคือซ่งหานที่ยกความดีความชอบของตนให้บุตรชาย ซ่งหานคนนี้ยังพอจะมีความสามารถด้านการทหารบ้าง”
ไม่ใช่หลานสาวสายตรง ยิ่งไปกว่านั้นกับหลานชายหลานสาวแท้ก็มีเวลาไม่พอจะกังวลแล้ว แน่นอนว่าฮูหยินผู้เฒ่าซ่งไม่มีทางไปช่วยคิดแทนเว่ยเกาฉานมากอย่างนั้น จึงเพียงกล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า “ซ่งหานคือตระกูลสาขา บุตรของเขาแม้ว่าจะเป็นบุตรชายคนโตจากภรรยาเอก แต่ก็ยังมีชาติกำเนิดต่ำกว่าเกาฉานมาก ยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่าซ่งหานจะเป็นจ่างสื่อ การขับไล่เผ่าหรง การคุ้นกันดินแดนต้าเว่ยเดิมก็เป็นความรับผิดชอบในหน้าที่ของเขาอยู่แล้ว ราชสำนักกับแคว้นให้รางวัลไปตามกฎก็พอแล้ว หรือว่ายังต้องให้พวกเรายกหลานสาวให้กับเขาเป็นรางวัลด้วย?”
เว่ยฮ่วนถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “หากว่าเป็นเมื่อสิบปีก่อนการแต่งงานอย่างนี้คงไม่มีทางตอบรับแน่ ชาติตระกูลต่างกันเกินไปจริงๆ แต่ว่าตอนนี้แผ่นดินกำลังวุ่นวาย ตระกูลพวกเราแม้ว่าจะมีชื่อในแผ่นดิน แต่ว่าทางการทหารอย่างนี้ใครก็พูดไม่ได้ จ่างสื่อของในแคว้นมีความสามารถ สนับสนุนเขาสักหน่อย ในใจจะได้มั่นใจกันบ้าง”
“แผ่นดินไม่สงบจริงๆ” พูดถึงเรื่องนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งก็ขมวดคิ้วขึ้นมา “กระทั่งเมืองเหลียวเฉิงยังก่อจิงกวนขึ้นมา…ยังดีว่าครั้งนี้ชนะ! ไม่อย่างนั้นเมืองเหลียวเฉิงเกิดเรื่องใหญ่อย่างนี้ แต่ว่าท่านกับเซิ่งเหนียนกลับไม่รายงานเมืองหลวง เอาแต่มองประชาชนลำบาก หากว่าถูกโทษนี้เข้า แม้ว่าครั้งนี้ท่านจะไม่ต้องกลัว แต่อย่างไรก็เสียชื่อเสียงตระกูลเว่ยที่สะสมมาหลายร้อยปี”
เว่ยฮ่วนยิ้มเย็น “เว่ยฉีไม่ใช่ว่าอยากจะได้เฟิ่งโจวมาแค่วันสองวัน! ตอนนี้เขารับตำแหน่งเป็นผู้ดูแลของแคว้นเยี่ยน แคว้นเยี่ยนยังห่างกับทางเหนือของเฟิ่งโจวเพียงไม่กี่วัน เรื่องนี้หากว่าไม่กดไว้ เว่ยฉีจะต้องใช้เหตุผลว่ารักษาแผ่นดินและส่งทหารเข้ามาทางตอนเหนือแน่…หากว่าทหารเข้ามาในเฟิ่งโจว จะไปเมื่อไหร่ก็ยากจะกล่าวได้แล้ว!” แล้วถอนหายใจพลางกล่าวว่า “แผนการของเว่ยฉีข้ารู้ดีมาก ตอนที่ข้ายังอยู่เรื่องพวกนี้ไม่เป็นอะไร แต่ว่าตอนนี้ราชสำนักมีเพียงแค่เซิ่งอี้เพียงคนเดียว หลานทั้งหลายต่างก็ยังเล็ก ตระกูลสาขาก็ไม่กล้าใช้ แน่นอนว่าทำทุกอย่างต้องระมัดระวังไว้ก่อน ไม่ต้องให้พวกเขามีเหตุผลอะไรเลยดีกว่า”
สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าแสดงความรังเกียจออกมาแล้วกล่าวว่า “ใจเย็นๆ เถอะ ตอนนี้ฉางเฟิงก็มัดจุกแล้ว จากความสามารถของเขา พวกเราก็ยังไหวอยู่ ช่วยดูแลให้เขาอีกไม่กี่ปีได้ เด็กคนนี้ทั้งฉลาดและพากเพียร อนาคตจะต้องสามารถค้ำยันตระกูลได้แน่ เจ้าเฒ่าเว่ยฉีมีหลานชายไม่น้อย แต่ว่ามีใครบ้างที่เทียบกับฉางเฟิงได้?”
เว่ยฮ่วนฟังความหมายของภรรยาออก เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “ฉางเฟิงคือหลานคนโตของบ้านใหญ่ ทั้งยังมีพรสวรรค์ดี หลายปีนี้หากว่าสามารถฝึกฝนได้ ยกของเจิ้งหงให้เขาก็เป็นเรื่องที่แน่นอน”
“เด็กคนนี้พวกเรามองเขามาจนโต ยังจะฝึกไม่ได้หรือ?” แม้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าซ่งจะมองว่าทุกอย่างของเว่ยฮ่วนเป็นของเว่ยฉางเฟิงหมดนานแล้ว แต่ว่าตอนนี้เว่ยฮ่วนรับปากออกมาก็ยังดีใจมาก นางยิ้มพลางกล่าวอย่างมั่นใจว่า “ช่างเป็นเพราะสรวรรค์เมตตาจริงๆ บ้านใหญ่ถึงได้มีบุตรชายบุตรสาวทั้งสองอย่างนี้ ทั้งสองต่างก็ทั้งฉลาดหลักแหลมและมีไหวพริบ!”
แม้ว่าเว่ยฮ่วนจะสนใจกับการสั่งสอนหลานชาย แต่ว่าก็รู้ว่าฉางอิ๋งไม่ใช่คนเรียบร้อย ตอนนี้จึงกล่าวขึ้นมา “แต่ก่อนฉางอิ๋งเรียนวิชายุทธ์มาตลอด ตอนนี้ใกล้จะแต่งงานแล้ว นางควรจะถึงเวลามาเรียนวิชาความรู้แล้วไหม อย่างไรการเป็นลูกสะใภ้กับการเป็นบุตรสาวก็ไม่เหมือนกัน”
ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งเหมือนกับแม่นมเฮ่อที่ฟังคนอื่นว่าสายเลือดตนเองไม่ได้แม้แต่น้อย โดยเฉพาะเว่ยฮ่วนที่เพิ่งกล่าวว่าจะยกตระกูลเว่ยของเฟิ่งโจวให้กับเว่ยฉางเฟิง แต่กลับมากล่าวสงสัยในตัวของพี่สาวเว่ยฉางเฟิง ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งคิดมากทันที ใบหน้าก็เข้มขึ้นในฉับพลันแล้วกล่าวถามอย่างขวานผ่าซากไปว่า “ฉางซุ่ยไปพูดอะไรต่อหน้าท่านหรือ?!”
เว่ยฮ่วนกล่าวอย่างปวดหัวว่า “ทำไมอะไรเจ้าก็คิดถึงแต่บ้านสอง นับตั้งแต่ที่ฉางซุ่ยกลับมาที่เฟิ่งโจว นอกจากวันแรกที่มาโขกหัวต่อหน้าข้าแล้ว มีวันไหนที่ไม่มาคารวะเจ้าก่อนบ้าง และเขาจะมาคารวะข้าลับๆ เมื่อไหร่?” เขาขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “อีกอย่างเขาเพิ่งจะกลับมา มีอย่างที่ไหนที่จะรีบไปสืบข่าวนิสัยของน้องสาว ฉางอิ๋งเด็กคนนี้ข้าเองก็มองมาตั้งแต่เล็ก นางนิสัยอย่างไรข้ายังไม่รู้หรือ ยังต้องให้ฉางซุ่ยมาพูดหรือ?”
ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งยิ้มเย็นแล้วกล่าวว่า “เขาไม่ได้กลับมาและรีบไปสืบหาข่าวของน้องสาวในทันที เขาต้องทำอย่างนั้นหรือ ก่อนหน้านี้ซูซิ่วมั่นกล่าวตักเตือนฉางอิ๋งมาใครเป็นคนกล่าวออกไป?!”
“นั่นเพราะจือเปิ่นถังไม่ได้…”
“ใครจะรู้ว่าบ้านสองไม่ได้ไปตามน้ำด้วย?!”
“ไม่ใช่พูดแล้วหรือว่าจะไม่พูดเรื่องนี้แล้ว อย่างไรหลายปีมานี้เซิ่งอี้ก็เคารพเจ้ามากมาตลอด!”
“ข้าคือแม่ใหญ่เขา หรือว่าการที่เขาเคารพข้านั้นไม่ควรหรือ?! หรือว่าข้าที่เป็นภรรยาเอกยังต้องไปซาบซึ้งที่บุตรจากอนุภรรยาเคารพข้ากัน?!”
สามีภรรยาเฒ่าทั้งสองพูดกันไปพูดกันมากลับทะเลาะกันใหญ่โต เมื่อบ่าวไพร่ต่างรู้สึกว่าไม่ดีแล้วต่างก็เข้าไปเตือน แต่ว่าใครก็ไม่มีอารมณ์จะไปคิดถึงเรื่องเว่ยเกาฉานแล้ว และต่างก็กล่าวอย่างไร้อารมณ์ว่า “เรื่องใหญ่อย่างการแต่งงานพ่อแม่เป็นคนจัดการ ในเมื่อเซิ่งเหนียนเห็นว่าดี ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจเขา”
คำนี้ไปถึงบ้านสาม เว่ยเซิ่งเหนียนดีใจมาก ในฐานะบุตรอนุภรรยา เดิมฐานะของเขาก็ไม่สูงมากอยู่แล้ว นอกจากนี้เหนือเขาไปยังมีพี่ชายที่เป็นบุตรอนุภรรยาอย่างเว่ยเซิ่งอี้ซึ่งฉลาดมีความสามารถมากกว่าเขามากอีกหนึ่งคน ในสถานการณ์อย่างนี้ แม้ว่าเว่ยเซิ่งเหนียนจะเป็นบุตรหลานตระกูลสูง แต่จริงๆ แล้วตั้งแต่เล็กยันโต ในตระกูลเขาไม่มีฐานะจะกล่าวอะไรได้เลย
โดยเฉพาะนับตั้งแต่ที่กลับมายังบ้านเก่าพร้อมกับเว่ยฮ่วนและฮูหยินผู้เฒ่าซ่ง แม้ว่าตำแหน่งของเขาจะเป็นผู้ว่าราชการของเฟิ่งโจว แต่จริงๆ แล้วหากว่าไม่มีบิดาอย่างเว่ยฮ่วนคอยช่วยจัดการ เขาคงจัดการจนเฟิ่งโจววุ่นวายไปนานแล้ว เพราะว่าเขาไร้ความสามารถเกินไป แม้ว่าเว่ยฮ่วนจะมีแผนให้เขา แต่ว่าก็ยังผิดหวังในตัวเขามาก
คราวนี้เขาไม่ได้ถามไถ่เว่ยฮ่วนและฮูหยินผู้เฒ่าซ่งก่อนและไปตอบรับงานแต่งงานที่ซ่งหานกล่าวมา ทั้งยังถูกนางเผยพูดเสียจนจิตใจไม่สงบไประยะหนึ่ง กลัวอย่างเดียวก็คือการไปล่วงเกินท่านพ่อกับแม่ใหญ่เข้า
คิดไม่ถึงว่าช่วงนี้เว่ยฮ่วนกับฮูหยินผู้เฒ่าซ่งต่างก็มีเรื่องยุ่ง จึงไม่ทันได้สนใจเขา ไม่เพียงเท่านั้น ครั้งนี้ซ่งหานกับซ่งตวนเองก็เอาการเอางานดีมาก เว่ยฮ่วนกับฮูหยินผู้เฒ่าซ่งแม้ว่าจะไม่ค่อยพอใจกับฐานะตระกูลสาขาของซ่งหานนัก แต่ว่าก็ยังยอมตกลง ในเมื่อยอมตกลงการแต่งงานครั้งนี้ ก็เท่ากับว่ายินยอมรับการตัดสินใจของเว่ยเซิ่งเหนียน
สำหรับเว่ยเซิ่งเหนียนที่ตั้งแต่เล็กไม่ค่อยทำเรื่องที่ทำให้ท่านพ่อและแม่ใหญ่พยักหน้าได้นักแล้ว การอนุญาตอย่างนี้ทำให้เขาตื่นเต้นมาก!
ดีใจแล้ว เว่ยเซิ่งเหนียนก็กำชับนางเผยภรรยา “เกาฉานอย่างไรก็เป็นบุตรสาวคนโตของพวกเรา แม้ว่าในตระกูลจะมีกฎว่าบุตรภรรยาเอกกับอนุภรรยาต่างกัน แต่ว่าจะให้มากกว่าบุตรจากอนุภรรยาทั่วไปหน่อยก็ยังไม่เป็นไร”
นางเผยกลัวอย่างเดียวก็คือการที่ถูกคนอื่นมองว่าตนเองไม่คู่ควรเป็นสะใภ้ตระกูลเว่ย จึงตั้งใจเป็นแม่ใหญ่ที่มีเมตตาและคุณธรรมที่ทุกคนชมเชย เดิมก็ไม่ได้คิดจะให้เว่ยเกาฉานต้องลำบากอยู่แล้ว แน่นอนว่าตอนนี้จึงรับคำ “ข้าว่าลดจากของฉางเยียนภายหลังสักหน่อยก็ได้แล้ว อย่างไรเกาฉานก็เป็นบุตรสาวคนโต! คนโตคนเล็กมีลำดับกัน แม้ว่าบุตรจากอนุภรรยาจะอยู่ด้านหน้า แต่ก็จะให้รู้สึกอิจฉาเกินไปไม่ได้”
สามีภรรยาทั้งสองปรึกษาหารือกันเรื่องงานแต่งของบุตรสาว แน่นอนว่าข่าวนี้ถูกสาวใช้นำไปรายงานให้กับเจ้าของเรื่องเองด้วย เพราะนางเผยปฏิบัติกับบุตรสาวจากอนุภรรยาดีมาตลอด บุตรสาวทั้งสองยังมีหน้าตาคล้ายคลึงกันมากด้วย จึงเลี้ยงด้วยกันมาตลอด สาวใช้นำข่าวไปบอกกับเว่ยเกาฉาน เว่ยฉางเยียนก็ได้ยินจึงยิ้มแล้วกล่าวยินดีกับนาง
แม้ว่าเว่ยเกาฉานจะเสียดายที่ซ่งตวนเป็นเพียงตระกูลสาขาของตระกูลซ่งเท่านั้น แต่คราวนี้ซ่งตวนมีผลงานใหญ่มาก รวมกับที่ตระกูลซ่งและตระกูลเว่ยต่างก็ดูแลกันและกันมา ภายหลังอย่างไรก็คงไม่แย่แน่ อายุอย่างนางอย่างไรก็ต้องชมชอบให้ผู้คนชมเชยยกย่อง ชัยชนะของทางตอนเหนือ ซ่งตวนมีผลงานมาก ว่าที่สามีที่มีเกียรติยศอย่างนี้จึงทำให้ความเสียดายในความต่างของชาติตระกูลจางลงไปมาก
ในใจคิดอย่างนี้ ใบหน้าของเว่ยเกาฉานเขินอายและแดงขึ้นมา และกล่าวไม่ให้น้องสาวกล่าว
พี่น้องบ้านสามเล่นกันอย่างนี้ แน่นอนว่าข่าวจึงแพร่ไปทั้งตระกูลเว่ยอย่างรวดเร็ว
คุณหนูสี่จะหมั้น เรื่องน่ายินดีอย่างนี้ แต่ละเรือนต่างก็มาอวยพรยินดี คุณชายสามของบ้านสองกลับมาที่เฟิ่งโจวพอดี ดังนั้นบ้านใหญ่และบ้านสองต่างก็ส่งของขวัญมาให้บ้านสาม เพื่อไว้หน้าแก่หลานสาว และเพราะเขายินดีในชัยชนะของทางตอนเหนือมากจริงๆ เว่ยฮ่วนจึงให้คนจัดงานเลี้ยงต้อนรับทูตที่กลับมารายงานข่าวดีในเรือน แขกในงานเลี้ยงแน่นอนว่าคือซ่งตวนว่าที่หลานเขยของตระกูลเว่ย
บรรยากาศอย่างนี้ แน่นอนว่าเว่ยฮ่วนเองก็ไม่ลืมบุตรหลานของตน เขาให้เว่ยฉางเฟิงเขียน ‘กาพย์ต้านทหาร’ หนึ่งบท เขาอ่านและแก้ไขด้วยตนเอง จากนั้นก็ให้เว่ยฉางเฟิงท่องจนคล่อง เตรียมเมื่อถึงงานเลี้ยงให้เขาได้มีหน้ามีตา ทั้งยังเป็นการส่งเสริมหลานชายคนนี้ให้ด้วย ในเมื่อจะพาเว่ยฉางเฟิงไปออกงาน หลานคนอื่นๆ แน่นอนว่าก็ต้องพาไปออกหน้าออกตาด้วย
ไม่เพียงแต่สายเขาเท่านั้น เว่ยฮ่วนยังส่งบัตรเชิญไปที่จวนจิ้นผิงกงและจวนฉวีเซี่ยนหนานด้วย งานเลี้ยงในตระกูลที่กล่าวว่าเป็นการฉลองชัยชนะจากทางตอนเหนือ จริงๆ แล้วกลับเป็นการให้บุตรหลานตระกูลเว่ยอาศัยโอกาสนี้แสดงชื่อเสียงออกไป
เพียงแต่ว่าแม้งานเลี้ยงจะจัดที่รุ่ยอวี่ถัง แต่จวนจิ้งผิงกงกับฉวีเซี่ยนหนานก็รู้กันดีว่า อาศัยแผนการที่พวกเขาคิดจะนำชื่อเสียงให้บุตรหลานของพวกเขา ก็ยังสู้เว่ยฉางเฟิงไม่ได้
สกุลเว่ยแต่ละสาขาก็มีการบอกกล่าวถึงหัวข้อที่จะกล่าวกันอยู่ เพื่อไม่ให้เหมือนกัน…
งานเลี้ยงอย่างนี้ไม่เกี่ยวกับเว่ยฉางอิ๋ง ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งกับฮูหยินซ่งรักใคร่นางอย่างไรก็ไม่มีทางรับปากให้นางไปงานเลี้ยงด้วย แม้ว่าเว่ยฉางอิ๋งจะอยากรู้ในเรื่องการสงครามทางเหนือ แต่ว่าก็ได้แต่ต้องหันไปจับจ้องน้องชายของตนเว่ยฉางเฟิงแทน บีบให้เว่ยฉางเฟิงตอบรับว่าให้เขาฟังเรื่องการสงครามในงานเลี้ยงให้มากและฟังละเอียดจากนั้นก็กลับมาเล่าให้นางฟัง
เดิมการที่นางบีบให้เว่ยฉางเฟิงทำอย่างนี้ทำอย่างนั้นก็ไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้งแล้ว เรื่องคราวนี้เองก็ไม่ได้สำคัญอะไร เว่ยฉางเฟิงกล่าวคุณธรรมของภรรยาไปไม่กี่ประโยค ก็ถูกสายตาดุดันของพี่สาวแท้ๆ และกำปั้นที่พุ่งมาตรงหน้าเข้า เขาไม่มีทางเลยจึงได้แต่ตอบรับไปอย่างจนใจ…เพียงแต่คิดไม่ถึงว่างานเลี้ยงจบแล้ว เว่ยฉางเฟิงกลับกลับมาที่เรือนเสียนซวงอย่างรีบร้อนด้วยสีหน้าประหลาด
เว่ยฉางอิ๋งเห็นเขาและได้กลิ่นสุราจางๆ บนร่างเขาก็พลันหน้าเข้มขึ้นทันที นางหักนิ้วเสียงดังแล้วปรายตามมองเขาพลางกล่าวว่า “เจ้าอย่าบอกข้าว่า เจ้าลืมเรื่องที่ข้าสั่งเจ้าไปแล้ว?”
ตอนนี้เว่ยฉางเฟิงหมดหวังกับกิริยามารยาทไร้ความเป็นกุลสตรีตระกูลสูงและแทบจะกลายเป็นหญิงป่าเถื่อนของพี่สาวไปแล้ว เขาไม่มีอารมณ์ไปกล่าวอะไร เพียงแต่ขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “ท่านพี่ ท่านดูนี่”
………………………………………….