ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง - ตอนที่ 29.1
เว่ยฉางเฟิงแบมือออก เผยให้เห็นกระดาษก้อนหนึ่ง เว่ยฉางอิ๋งปรายตามอง กระดาษนั่นคือกระดาษเขียนกลอนที่ตระกูลเว่ยใช้เขียนในงานเลี้ยง แล้วกล่าวอย่างแปลกใจว่า “นี่คืออะไร?”
“เมื่อครู่ตลอดทางมาข้าก็อาศัยแสงจากตะเกียงและมองบ้างแล้ว…” เว่ยฉางเฟิงยังกล่าวไม่ทันจบ เว่ยฉางอิ๋งก็รับเอาไปอย่างรวดเร็ว เดิมนางยังคิดว่าบนกระดาษเขียนอะไรไว้ คิดไม่ถึงว่าเข้ามาในมือกลับหนักราวกับห่ออะไรเอาไว้ เปิดออกดู กลับเป็นแผ่นป้ายเหล็กขนาดประมาณมือเด็กทารกข้างหนึ่ง
บนสุดของแผ่นป้ายเหล็กมีรูหนึ่งรู ราวกับเอาไว้ร้อยเชือกและเอาไว้แขวน บนป้ายเหมือนเป็นอักษรเค่อโต่ว[1]หรือรูปภาพ ไม่เหมือนอักษรจ้วน และไม่ใช่อักษรเจี๋ยกู่[2]…ตระกูลเว่ยรุ่งเรืองในด้านบัณฑิต ต่อให้เว่ยฉางอิ๋งจะไม่มีความรู้อย่างไร แต่สายตานางก็ยังมีอยู่ อักษรบนนี้ไม่ใช่อักษรในแผ่นดินนี้เลย กลับไปคล้ายอักษรของเผ่าหรงมากกว่า
ป้ายเหล็กทั้งอันดูหยาบ แต่กลับให้ความรู้สึกหนาและหนัก แม้ว่าจะเป็นสีดำสนิทไม่สะดุดตา แต่ว่าจะมองเป็นเพียงแค่ของธรรมดาชิ้นหนึ่งก็ไม่ได้
เว่ยฉางอิ๋งเพ่งพิจอยู่นานก็ยังไม่เข้าใจ นางยกไปด้านหน้าน้องชายแล้วถามซ้ำอย่างสงสัย “นี่มันคือของอะไร ใครให้เจ้ามา?”
เว่ยฉางเฟิงกล่าวเสียงเบาว่า “ตอนกำลังดื่มสุรากันในงานเลี้ยง ข้าไปนั่งข้างกายซ่งตวนเพื่อถามเรื่องการสงคราม แต่กลับยังไม่ทันจะถามได้กี่คำ พี่สี่กลับมาดึงแขนเสื้อข้าอยากจะพูดกับซ่งตวน ข้าจึงยอมให้เขา…แต่ว่าก็กลัวว่ากลับมาแล้วจะอธิบายกับท่านไม่ได้ จึงเลือกที่นั่งใกล้ๆ แล้วนั่งลง เตรียมรอว่าหากพี่สี่กับซ่งตวนพูดกันจบแล้วข้าค่อยเข้าไป คิดไม่ถึงว่าตอนนี้หนึ่งในทูตจากทางเหนือมาหาข้า แล้วมายกสุราคารวะข้า ทั้งยังอาศัยจังหวะที่คนไม่ทันสังเกตเอาก้อนกระดาษนี้ยัดมาในมือข้า”
แม้ว่าเว่ยเกาชวนกับเว่ยเกาฉานจะไม่ได้เกิดจากแม่เดียวกัน แต่ว่าต่างก็เป็นคนบ้านสาม ตอนนี้ตระกูลเว่ยต้องการยกเว่ยเกาฉานให้กับซ่งตวน แม้ว่าเหล่าผู้ใหญ่จะเป็นคนจัดการ แต่ว่าในฐานะน้องชายต่างบิดา การไปสืบข่าวซ่งตวนให้กับพี่สาว ก็ทำให้เว่ยเกาฉานวางใจ และยังแฝงไปด้วยการตักเตือนซ่งตวนด้วยว่า เว่ยเกาฉานไม่เพียงแต่จะมีชาติตระกูลเท่านั้น พี่น้องของนางยังยอมออกหน้าให้นางด้วย
นี่คือสิ่งที่ควรทำ แน่นอนว่าเว่ยฉางอิ๋งไม่ได้โทษเว่ยฉางเฟิงที่ยอมถอยให้กับเว่ยเกาชวน จึงไม่ได้สนใจแล้วถามอย่างสงสัยว่า “ทูตผู้ที่ให้สิ่งนี้เจ้ามาเจ้ารู้จักไหม?”
“ก่อนจะเริ่มงานเลี้ยงท่านปู่แนะนำแล้ว ต้องรู้จักอยู่แล้ว” เว่ยฉางเฟิงกล่าวอย่างรวดเร็วว่า “คนคนนั้นชื่อว่าหลี่ว์จื๋อฝ่าง เขามีตำแหน่งเป็นจู่ป๋อ[3]ของเมืองเหลียวเฉิง ตอนที่เผ่าหรงบุกเมือง เว่ยสวี่ผู้ว่าอำเภอเมืองเหลียวเฉิง และเว่ยโกวนายอำเภอได้นำทหารในเมืองด้วยตนเองเพื่อป้องกันการบุกโจมตีของประตูตะวันออกและประตูเหนือ ได้สั่งการให้หลี่ว์จื๋อฝ่างนำชายหนุ่มวัยฉกรรจ์คุ้มกันหญิงและเด็กหนีไปทางประตูที่เหลืออีกสองฝั่ง…ประชาชนที่ยังเหลืออยู่ของเมืองจึงรอดด้วยเหตุผลนี้ หลี่ว์จื๋อฝ่างเองก็อยู่ในนั้น คราวนี้ซ่งหานให้เขาเป็นทูตก็เพราะเห็นแก่ที่เขามีคุณความดีที่ปกป้องประชาชน จึงไว้หน้าเขาและยอมให้โอกาสเขาได้พบหน้าท่านปู่และท่านอาสาม”
เขาชี้ไปที่ป้ายเหล็กในก้อนกระดาษแล้วกล่าวเสียงหนัก “ท่านพี่ไม่รู้จักมัน แต่ว่าข้ารู้จักมัน นื่คือยันต์คุ้มกายของคนเผ่าหรง”
เว่ยฉางอิ๋งกล่าวอย่างประหลาดใจว่า “ยันต์คุ้มกายหรือ?”
“ก่อนหน้านี้ท่านปู่ต้องการให้ข้าเขียน ‘กาพย์ต้านทหาร’ ข้าจึงไปค้นหาตำราหนังสือที่บันทึกเกี่ยวกับคนเผ่าหรงเอาไว้ออกมา” เว่ยฉางเฟิงขมวดคิ้วแน่นแล้วกล่าวว่า “คนเผ่าหรงเชื่อในเรื่องเทพและปีศาจ ฐานะของนักบวชใหญ่ในเผ่าเป็นรองเพียงแค่ต้าเค่อหัน[4]เท่านั้นเอง ทุกครั้งที่พวกเขามีบุตร จะต้องไปขอยันต์คุ้มกันกายจากนักบวชใหญ่ ป้ายเหล็กอย่างนี้ ไม่ใช่อะไรที่เผ่าหรงทั่วไปจะมีได้ อย่างไรคนเผ่าหรงก็ไม่เข้าใจการตีเหล็ก อาวุธเหล็กต่างก็มาจากจงหยวนทั้งนั้น และมีค่ามาก ดังนั้นป้ายเหล็กขนาดไม่ใหญ่อันนี้ จะต้องเป็นของคนที่มีฐานะคนหนึ่งในเผ่าหรงถึงจะมีมันได้”
สีหน้าเว่ยฉางอิ๋งเปลี่ยนไปแล้วกล่าวว่า “จากที่ว่ามันคือของคุ้มกันกาย จะต้องไม่ให้ห่างกายแน่ ในเมื่อมันมาอยู่ในมือของหลี่ว์จื๋อฝ่าง ไม่ต้องกล่าวก็รู้จุดจบของเผ่าหรงคนนี้! หรือว่าในศัตรูที่ถูกจับหรือถูกฆ่าในครั้งนี้บางทีอาจจะมีคนสำคัญของเผ่าหรงก็เป็นได้ แต่ว่าก็ไม่ได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย พ่อลูกตระกูลซ่งจะปิดบังเรื่องนี้ทำไมกัน?”
เว่ยฉางเฟิงมองไปที่พี่สาวตนแล้วกล่าวเสียงเบาว่า “ท่านพี่ ไม่แน่ว่าซ่งหานกับลูกอาจจะอยากปิดบังอะไร…ท่านคิดดูว่ายันต์คุ้มกันกาย ทำไมถึงเป็นหลี่ว์จื๋อฝ่างที่เป็นคนให้ข้า แต่ไม่ใช่ซ่งหานหรือซ่งตวนที่เป็นคนนำมันออกมา ผลงานของหลี่ว์จื๋อฝ่างมีเพียงหนึ่งเดียวนั่นก็คือการปกป้องประชาชนได้สำเร็จ! เขาไม่ได้ไปสู้รบกับเผ่าหรงจริงๆ เลย แล้วเพราะอะไรถึงได้มีของติดกายของเผ่าหรงที่มีฐานะอยู่กับตัวได้?”
“เจ้าได้ไปคุยกับท่านปู่แล้วหรือยัง?” สัญชาตญาณของเว่ยฉางอิ๋งรู้สึกได้ว่าพ่อลูกซ่งหานผิดปกติและถามออกไป
“ในงานเลี้ยงเมื่อครู่ ท่านปู่ดื่มสุราไปหลายจอก” เว่ยฉางเฟิงถอนหายใจแล้วกล่าว “ตอนนี้พักผ่อนแล้ว ข้าก็ไม่เหมาะจะไปรบกวน ไม่อย่างนั้นเรื่องอย่างนี้ข้าจะนำมาบอกท่านพี่ก่อนหรือ จะต้องบอกท่านปู่ก่อนอยู่แล้ว ข้าไม่ได้กังวลเรื่องอื่น อย่างไรพ่อลูกซ่งหานก็เป็นแค่ตระกูลสาขาของตระกูลซ่งเท่านั้น ทั้งยังเป็นลูกน้องของท่านอาสาม ต่อให้พวกเขามีอะไรไม่ดี ท่านปู่ก็จัดการพวกเขาได้ ข้าเพียงแต่คิดว่าท่านอาสามเพิ่งจะจับคู่พี่หญิงสี่ให้กับซ่งตวน อย่าให้ซ่งตวนกลายเป็นคนไม่ดี แต่ว่าตอนนี้ข่าวกลับปล่อยออกไปแล้ว…หากว่าไปทำให้เรื่องใหญ่ของพี่หญิงสี่ล่าช้าเข้าจะไม่ดี”
ที่เขากล่าวมาอย่างนี้ก็เป็นสังหรณ์ไม่ดีอย่างหนึ่ง วันรุ่งขึ้นเมื่อเว่ยฮ่วนตื่นขึ้นมา ได้ยินที่เว่ยฉางเฟิงรายงานแล้วสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที เขาสั่งให้เอาป้ายเหล็กออกมาตรวจอย่างละเอียด จากประสบการณ์และความคิดของเว่ยฮ่วน เขาจึงพลันหัวเราะเสียงเย็นออกมาทันที “แม้ว่าเป่ยหูจะเรียกรวมว่าเผ่าหรงทั้งหมด แต่จริงๆ แล้วในเผ่าหรงเองก็มีแบ่งเผ่า อักษรบนป้ายนี้หากว่าแปลงเป็นภาษาของพวกเราก็คือ ‘ชื่อตู’ เดาก็รู้ว่าเจ้าของป้ายเหล็กนี้น่าจะเป็นคนเผ่าหรงที่ใกล้ชิดของเค่อหันเผ่าชื่อตู…เผ่าชื่อตูนี้ ได้ยินว่าตระกูลฝ่ายแม่ของน้าชายของต้าเค่อหันเผ่าหรง ต้าเค่อหันของเผ่าหรงตอนนี้ได้รับสืบทอดตำแหน่งมาจากหัวหน้าผู้เฒ่าและเคยถูกน้าชายคนนี้ขัดขวางทั้งยังท้าทายด้วย หากว่าไม่ใช่เพราะนักบวชสนับสนุน อาจจะไม่สำเร็จ แต่ถึงกระนั้น เดิมนักบวชใหญ่ก็เป็นรองเพียงแค่ต้าเค่อหันเท่านั้น ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าตอนนี้ชีวิตของต้าเค่อหันคนนั้นจะต้องไม่ดีแน่”
เว่ยฮ่วนฐานะเป็นหันหน้าตระกูลเว่ย แม้ว่าชื่อเสียงความสามารถจะสู้เว่ยซือกู่ในตระกูลที่โด่งดังไปทั้งแผ่นดินไม่ได้ แต่ว่าหากพูดถึงความรู้กว้างขวางแล้วเขาไม่ได้เป็นรองเว่ยซือกู่เลย กระทั่งอักษรภาษาของเผ่าหรงเขาก็พอจะรู้อยู่บ้าง
จริงๆ แล้วเรื่องเหล่านี้ภายหลังเว่ยฉางเฟิงก็ต้องเรียนรู้ เพียงแต่ตอนนี้เขายังอายุน้อย ประวัติศาสตร์ความรู้ยังไม่เก่ง เว่ยฮ่วนไม่อยากให้เขาต้องสับสน เขาถึงได้ยังไม่รู้จักอักษรบนป้ายเหล็กนั่น ตอนนี้เว่ยฉางเฟิงกล่าวอย่างประหลาดใจว่า “ท่านปู่ หรือว่าเรื่องของเมืองเหลียวเฉิง จะเป็นเพราะน้าชายของต้าเค่อหันเผ่าหรงที่อยากจะบีบให้ต้าเค่อหันสละตำแหน่ง?” คราวนี้เฟิ่งโจวได้ชัยชนะมา ผลการต่อสู้เทียบกับแผ่นดินต้าเว่ยทั้งหมดแล้วถือว่าคุ้มค่าที่จะฉลอง ผลงานต่อต้าเว่ยเป็นผลงานใหญ่ และแน่นอนว่าสร้างความอนาจให้กับเผ่าหรงอย่างหนัก ฐานะต้าเค่อหันของเผ่าหรงไม่ได้มั่นคงอย่างนั้น เผ่าที่ควบคุมเสียหายหนักอย่างนี้ขอให้ต้าเค่อหันส่งทหารมาเพื่อหา ‘ความยุติธรรม’ กลับไป หากว่าต้าเค่อหันไม่อนุญาต จะต้องทำให้ใจคนสั่นคลอนแน่ หากว่าอนุญาต แม้ว่าต้าเว่ยจะกำลังค่อยๆ เสื่อมโทรม แต่ว่าประเทศยังคงมีกำลัง ยังไม่ใช่อะไรที่เผ่าหรงจะสามารถบุกรุกเข้ามาได้ ต่อให้เป็นเผ่าชิวตี๋ทางตะวันตกของต้าเว่ยเองก็เช่นกัน…
ทำให้ต้าเค่อหันของเผ่าหรงต้องลำบากใจอย่างนี้ แน่นอนว่าเป็นโอกาสของน้าชายคนนี้…
เว่ยฮ่วนมองไปที่หลานชายอย่างชื่นชม แต่กลับส่ายหัวแล้วกล่าวว่า “เรื่องนี้พูดไม่ได้ จะต้องไปสืบข่าวอย่างละเอียดเสียก่อนถึงจะมั่นใจได้ ที่ข้าพูดที่มาของป้ายเหล็กนี้ กลับหมายถึงพ่อลูกซ่งหานที่ช่างใจกล้านัก!”
………………………………..
[1] อักษรเค่อโต่ว : อักษรโบราณอย่างหนึ่งที่มีจำนวนเส้นมาก มีหัวใหญ่และหางเล็ก
[2] อักษรเจี๋ยกู : อักษรบนกระดูกสัตว์ เป็นอักขระโบราณที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดของจีน เท่าที่มีการค้นพบในปัจจุบัน โดยมากอยู่ในรูปของบันทึกการทำนายที่ใช้มีดแกะสลักหรือจารลงบนกระดองเต่า หรือกระดูกสัตว์
[3] จู่ป๋อ : ลูกน้องของขุนนางระดับสูง มีหน้าที่ดูแลกิจการด้านหนังสือเอกสาร
[4] ต้าเค่อหัน : ตำแหน่งหัวหน้าเผ่า