ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง - ตอนที่ 30
ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งฟังที่เว่ยฉางเฟิงกล่าวสรุปมาแล้ว สีหน้าก็ไม่น่ามองขึ้นมา เว่ยเกาฉานหลานสาวคนนี้ในใจนางแน่นอนว่าไม่สามารถเทียบกับเว่ยฉางอิ๋งหลานสาวแท้ๆ ได้ แต่จะอย่างไรก็เป็นหญิงตระกูลเว่ย เกือบจะถูกตระกูลสาขาฝั่งแม่หลอกแต่งงาน…นี่ไม่ใช่แค่ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งรู้สึกคับแค้นใจแทนหลานสาวเท่านั้น แต่ยิ่งทำให้นางขัดเคืองซ่งหานที่ทำให้ตระกูลซ่งแห่งเจียงหนานขายหน้า!
ยังดีว่าผู้ที่มาบอกกล่าวเรื่องนี้คือเว่ยฉางเฟิงหลานชายที่รัก ต่อหน้าสายเลือดของตนแล้วฮูหยินผู้เฒ่าซ่งล้วนแต่มีกิริยานุ่มนวลอ่อนโยนมาตลอด นางถึงไม่ได้สะบัดแขนทุบโต๊ะอย่างโมโห นางสะกดอารมณ์ แล้วให้เว่ยฉางเฟิงกลับไปหาเว่ยฮ่วนเพื่อไปเรียนรู้กับท่านปู่ต่อ จากนั้นก็ให้เฉินหรูผิงไปด้านหน้าและเรียกเว่ยเซิ่งเหนียนมา
เว่ยเซิ่งเหนียนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เฉินหรูผิงแน่นอนว่าก็ไม่ได้บอกเขา ดังนั้นเขายังคิดว่าท่านแม่ใหญ่เรียกตนไปเพื่อถามเรื่องการเตรียมงานแต่งงานของเว่ยเกาฉาน เขากลัวท่านพ่อท่านแม่จนชินแล้ว เมื่อได้ยินว่าท่านพ่อท่านแม่เรียก ในใจก็รู้สึกหวั่นเกรงขึ้นมาโดยสัญชาตญาณ ใช่เรี่องที่เขาให้นางเผยจัดเตรียมของแต่งงานให้กับเว่ยเกาฉานมากเกินไปทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งคิดว่าเสียกฎหรือไม่ หรือว่าเพียงแค่ถามไถ่ธรรมดา
เขาคาดเดาอย่างนี้ไปตลอดทาง เมื่อไปถึงด้านหน้าฮูหยินผู้เฒ่าซ่งและเห็นสีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าซ่ง เว่ยเซิ่งเหนียนก็พลันตกใจทันที ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งไม่รอให้เขาคารวะแต่ชี้หน้าเขาแล้วด่าทอทันทีว่า “เจ้าทำเรื่องงามนัก!”
ทำให้เว่ยเซิ่งเหนียนที่เดิมจะคารวะธรรมดากลายเป็นสะบัดชุดคลุมแล้วคุกเข่าลงไปทันทีพลางกล่าวอย่างหวาดกลัวว่า “ท่านแม่อภัยด้วย ลูกเพียงแค่คิดว่าเกาฉานเป็นบุตรสาวคนโต จึงให้นางเผยเพิ่มเติมของแต่งงานลงไปไม่กี่ชิ้นเท่านั้น ไม่ได้คิดจะให้นางเกินหน้าบุตรจากภรรยาเอกเลย”
ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งได้ฟังกลับนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วหัวเราะพลางกล่าวว่า “ใครเรียกเจ้ามาว่าเรื่องพวกนี้กัน?! เจ้าคิดว่าข้าว่างนักหรือ! ข้าถามเจ้า เจ้ายกเกาฉานให้กับซ่งตวน เจ้าได้ไปสืบมาก่อนไหมว่าซ่งตวนกับพ่อของเขาเป็นคนอย่างไร?!”
เว่ยเซิ่งเหนียนสับสนอย่างไร เมื่อได้ฟังอย่างนี้ก็รู้ทันทีว่าฮูหยินผู้เฒ่าซ่งไม่ได้โมโหที่เขากับนางเผยเพิ่มของแต่งงานให้กับเว่ยเกาฉาน แต่กลับเพราะไม่พอใจงานแต่งงานครั้งนี้ ในใจเขาวุ่นวายมาก ความดีใจหลายวันมานี้ราวกับถูกน้ำเย็นราดใส่ แต่ว่าเขาอ่อนแอมากจนเคยชินแล้ว เมื่อได้ยินที่ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งกล่าวในใจก็ตกใจทันที และไม่รู้จะทำอย่างไร จึงกล่าวไปอย่างไม่รู้ตัวว่า” ซ่งหานกับซ่งตวนเป็นคนอย่างไร…ลูกได้ฟังมาว่า…ไม่ได้เลวร้าย!”
“คนเขาหวังในตัวบุตรสาวเจ้า แล้วจะให้เจ้าได้เห็นด้านที่ไม่ดีของเขาหรือ?!” ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งมองไปที่เขาอย่างแค้นใจที่เขาไม่ได้เรื่อง บุตรจากอนุภรรยาทั้งสองคนนี้ทำไมไม่มีใครวางใจได้เลย บุตรอนุภรรยาคนที่สองเฉลียวฉลาดมีความสามารถ แต่กลับฉลาดมากเกินไปหน่อย ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งจึงต้องคอยจับจ้องไว้อย่างไม่วางใจ บุตรจากอนุภรรยาคนที่สามก็ซื่อเกินไป จนถึงขนาดไร้ประโยชน์ กลับทำให้ผู้ใหญ่ต้องมาคอยกังวลและจัดการเรื่องแทนเขา!
เหนื่อยเพราะบุตรชายตนเอง ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งต่อให้ต้องเหนื่อยจนใจสลายก็ยังยินดี แต่ว่าเพื่อบุตรจากอนุภรรยา ไม่ว่าฮูหยินผู้เฒ่าซ่งจะคิดอย่างไรก็รู้สึกไม่ชอบใจ! ดังนั้นจึงไม่สนว่าเว่ยเซิ่งเหนียนจะเข้าใจเมื่อเรียกเขามาถึงก็ด่าทอก่อนจนทำให้เว่ยเซิ่งเหนียนเหงื่อไหลโทรมกายแล้วนางถึงได้ลดโทสะลงพลางกล่าวเสียงเย็นว่า “เจ้ากลับไปแล้วส่งข่าวไปว่าเกาฉานป่วย ให้นางหลบอยู่ในเรือนสักวันสองวัน จากนั้นให้คนไปพูดว่า เกาฉานกับซ่งตวนนั้นชะตาไม่ต้องกัน ไม่เหมาะจะเป็นสามีภรรยา! เอาอย่างนี้ล่ะ!”
จนถึงตอนนี้ เว่ยเซิ่งเหนียนก็ยังไม่เข้าใจและสับสนเรื่องการแต่งงานของบุตรสาวคนโต แต่ก็ไม่กล้าถามแม่ใหญ่ จึงได้แต่ตอบรับอย่างระมัดระวังแล้วกลับไปที่บ้านสาม เขากล่าวเรื่องทั้งหมดกับนางเผยโดยไร้อารมณ์ว่า “เจ้าบอกให้เกาฉานทำอย่างนี้ก่อนเถอะ ท่านแม่เป็นผู้สั่งการลงมา”
นางเผยกล่าวอย่างตกตะลึงว่า “พูดกันดีแล้ว แล้วทำไมถึงได้ไม่อนุญาตล่ะ?”
“เจ้าถามข้าแล้วให้ข้าไปถามใคร?!” สองวันมานี้เว่ยเซิ่งเหนียนรู้สึกว่าตนเองทำเรื่องที่ทำให้พ่อแม่วางใจได้แล้ว แต่กลับถูกแม่ใหญ่ด่าทอมายกใหญ่อย่างนี้ ในใจเขาอึดอัดคับข้องใจมาก ไม่กล้ากล่าวอะไรกับฮูหยินผู้เฒ่าซ่ง เมื่อถูกภรรยาถาม จึงระเบิดทันทีว่า “ถามให้มากความทำไม! ทำตามไปอย่างนี้ไม่ใช่ว่าได้แล้วหรือ เจ้าอยากรู้ทำไมเจ้าไม่ไปถามท่านแม่เอง!”
นางเผยโมโหจนตาแดงก่ำ เกือบจะร้องไห้ออกมา งานแต่งงานครั้งนี้ เดิมก็เป็นเว่ยเซิ่งเหนียนที่เป็นผู้จัดการ หากไม่ใช่เพราะเว่ยเซิ่งเหนียนกล่าวว่าซ่งตวนดีอย่างไร จากที่นางเผยหาสามีให้กับเว่ยเกาฉาน อย่างไรก็ไม่มีทางมองซ่งตวนแน่ เพื่อไม่ให้คนจงใจกล่าวว่านางจงใจปฏิบัติกับบุตรสาวจากอนุภรรยาไม่ดี!
พอมาวันนี้เกิดเรื่อง ตนเองในฐานะภรรยากับแม่ใหญ่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลหรืออารมณ์ก็ควรจะถามสักคำ คิดไม่ถึงว่าเว่ยเซิ่งเหนียนที่ถูกฮูหยินผู้เฒ่าซ่งทำให้โมโหมา กลับมาระบายอารมณ์กับตน! เพียงแต่ว่านางเผยน้อยเนื้อต่ำใจในชาติตระกูลมาตลอด กระทั่งวันนี้ก็ยังไม่มีบุตรชายสนับสนุน อย่างไรก็ยังรู้สึกว่าในบ้านสามีตนเองไม่มีสิทธิ์ที่จะได้พูดอะไร ทั้งยังกลัวว่าฮูหยินผู้เฒ่าซ่งเพิ่งจะกล่าวว่าให้ยกเลิกงานแต่งงานของเว่ยเกาฉานก่อนอีก ยังไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไรที่ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งหยุดงานแต่งที่อนุญาตไปแล้วอย่างนี้ หากว่าตอนนี้ทะเลาะกับเว่ยเซิ่งเหนียนขึ้นมา ให้ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งรู้เข้าและวุ่นวายใจ นางคงยิ่งไม่ชอบใจบ้านสามเข้าไปอีก
เมื่อเทียบกันแล้ว นางเผยก็กัดปากอดทนไว้ พร้อมกับเรียกสาวใช้คนสนิทให้ส่งข่าวไปบอกเว่ยเกาฉาน
แต่ว่าเว่ยเซิ่งเหนียนบอกกล่าวเรื่องราวแล้วก็รีบไปยังเรือนของอนุภรรยาที่เพิ่งจะรับมาใหม่เพื่อระบายอารมณ์ นางเผยน้อยใจแล้วแต่กลับไม่วางใจที่จะปล่อยเรื่องราวไปโดยไม่ถามไถ่อย่างนี้ เพียงแต่ว่าให้นำคำจากเว่ยเซิ่งเหนียนไปถามฮูหยินผู้เฒ่าซ่งนางก็ไม่กล้า คิดไปคิดมาจึงอ้างว่านำดอกไม้ไปให้แล้วไปหาฮูหยินซ่งที่บ้านใหญ่ด้วยตนเอง
ตอนนี้ฮูหยินซ่งเองก็ได้ยินว่างานแต่งงานของบ้านสามถูกยกเลิก เห็นนางเผยมาหา นางจะไม่รู้หรือว่าสาเหตุอะไร ภรรยาทั้งสองถามไถ่กันไม่กี่ประโยชค ฮูหยินซ่งเห็นสีหน้าของนางเผยไม่ดีจึงไล่บ่าวใช้ออกไปแล้วถามอย่างเอาใจใส่ “กังวลใจเรื่องเกาฉานหรือ เจ้าไม่ต้องคิดมาก งานแต่งงานครั้งนี้เดิมก็ไม่ได้ดีมากมายอะไรอยู่แล้ว ตอนนี้ท่านพ่อยังสืบหาได้ว่าซ่งหานและซ่งตวนนั้นไม่ใช่คนดีมีเมตตา กังวลว่าหากเกาฉานแต่งงานออกไปกลับกลายเป็นไปตกหลุมของพวกเขา ถึงได้สั่งให้หยุดงานแต่งงานครั้งนี้เอาไว้”
เดิมนางเผยเองก็เดาไว้ว่าพ่อลูกซ่งหานคงต้องมีอะไรที่ไม่ถูกใจเว่ยฮ่วนหรือฮูหยินผู้เฒ่าซ่ง ถึงได้ยกเลิกงานแต่งที่อนุญาตไปแล้วอย่างนี้ ตอนนี้ได้ยินฮูหยินซ่งกล่าว ก็ถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้ เมื่อครู่สามีกลับไปและรีบร้อนกล่าวว่าให้เกาฉานป่วยสักสองสามวัน บอกว่าชะตาของซ่งตวนกับเกาฉานไม่ต้องกัน…ข้ายังไม่ทันจะถามสาเหตุที่แน่ชัด เขาก็มีธุระจากไปก่อนแล้ว ข้าไม่เข้าใจเรื่องราว แล้วจะไปกล่าวกับเกาฉานอย่างไร คิดแล้วจึงมาสืบหาจากพี่สะใภ้”
เว่ยเซิ่งเหนียนเป็นคนอย่างไรฮูหยินซ่งจะไม่รู้หรือ เมื่อได้ยินก็รู้ว่าเว่ยเซิ่งเหนียนเกรงว่าคงถูกฮูหยินผู้เฒ่าซ่งด่าทอตำหนิไป ไม่กล้าต่อปากกับฮูหยินผู้เฒ่าซ่ง กลับไปจึงใส่อารมณ์กับภรรยา เมื่อระเบิดอารมณ์เสร็จก็จากไป นางเผยมองเห็นบุตรจากอนุภรรยาเป็นเหมือนลูกตนมาตลอด แม้ว่าจะทะเลาะกับเขาก็ไม่สามารถที่จะไม่สนใจเว่ยเกาฉานได้ จึงได้แต่ต้องมาหาตนเพื่อสืบข่าวจากบ้านใหญ่ น้องสะใภ้คนนี้ก็ไม่ง่ายเลยจริงๆ
เดิมฮูหยินซ่งก็ไม่ชอบใจเว่ยเซิ่งเหนียนอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งรู้สึกว่าน้องชายสามีคนนี้ทั้งไร้ความสามารถทั้งเลอะเลือน จึงกล่าวว่า “น้องสามทำเกินไปแล้ว งานแต่งงานของบุตรสาวคนโต อย่างไรก็ต้องพูดคุยกับเจ้าให้รู้เรื่องก่อนค่อยไป ต่อให้มีธุระ แต่ว่าพูดคุยกันให้ชัดเจนจะใช้เวลาเท่าไหร่กัน?”
แม้ว่านางเผยตอนนี้จะรู้สึกน้อยใจเว่ยเซิ่งเหนียนมาก แต่ว่านางก็ไม่ยินดีฟังคนอื่นกล่าวว่าสามีตนเอง อย่างไรสามีภรรยาก็เป็นร่างเดียวกัน เว่ยเซิ่งเหนียนไม่ดี นางเผยเองก็ไม่มีหน้า จึงกล่าวเบี่ยงไปว่า “พี่สะใภ้บอกข้าหน่อยเถอะว่าซ่งตวนกับซ่งหานมีพฤติกรรมไม่ดีหรือ ก่อนหน้านี้ไปสืบมาเหมือนจะไม่ได้ยินเรื่องนี้?”
“เรื่องนี้ตอนนี้ยังพูดไม่ได้ ท่านพ่อกำลังสืบให้ชัดเจน” ฮูหยินซ่งกล่าวเสียงเบา “เกี่ยวกับการสงครามทางตอนเหนือ…หญิงอย่างพวกเราอย่าไปแทรกเลย ต้องรอให้ฉางเฟิงกลับมาก่อนถึงจะรู้อย่างละเอียด ตอนนี้บ้านของเราเพียงรับปากงานแต่งเพียงแต่ลมปากเท่านั้น ซ่งหานยังมาไม่ถึงเฟิ่งโจว! ดูแลเกาฉานให้ดีก่อน ทางฝั่งของซ่งหาน มีท่านพ่อท่านแม่อยู่ อย่างไรก็ไม่มีทางให้พวกเขาอยู่ดีแน่!”
…พูดอย่างนี้ไม่ใช่เหมือนกับไม่ได้พูดหรือ นางเผยจนใจแต่กลับตื่นตัวขึ้นมา “เกี่ยวข้องกับสงครามทางตอนเหนือ ฟังแล้วเรื่องไม่เล็กเลย สามีเป็นผู้เสนอซ่งตวนมา…คงไม่ใช่ว่าเมื่อยกเลิกงานหมั้นแล้ว ยังจะมาเกี่ยวข้องกับบ้านสามหรอกนะ?”
บุตรชายจากอนุภรรยาไร้พรสวรรค์ ถูกบุตรจากภรรยาเอกของบ้านใหญ่ทำให้มืดมนไป แม้ว่าจะอยู่ในการอบรมของอาจารย์อย่างเว่ยซือกู่แต่ก็เพียงแค่อาศัยชื่อเสียงอย่างเดียวเท่านั้น ตอนนี้กระทั่งงานแต่งของบุตรสาวคนโตจากอนุภรรยายังติดขัดอย่างนี้…นางเผยเทียบบ้านสามกับบ้านใหญ่แล้วอย่างไรก็วางใจไม่ได้ ลอบคิดว่าตนเองคือแม่ใหญ่ของเว่ยเกาฉาน แต่วันนี้สาเหตุที่ทำให้งานแต่งงานนางเปลี่ยนไป กลับยังรู้น้อยกว่าฮูหยินซ่งผู้เป็นป้าสะใภ้คนนี้เลย
ถามจากฮูหยินซ่งอย่างละเอียดไม่ได้ นางเผยกลับไปที่บ้านสามอย่างผิดหวังได้ไม่นาน เว่ยเกาฉานก็ตาแดงก่ำมาพร้อมกับน้องสาว เว่ยฉางเยียน อ้างว่ามาคารวะแต่มาถามสาเหตุที่แท้จริง
แต่ว่านางเผยยังไม่รู้สาเหตุที่แท้จริง ทั้งยังได้ยินฮูหยินซ่งกำชับมาว่าเกี่ยวข้องกับการสงครามทางเหนืออย่าได้พูดออกไป จึงได้แต่พูดอย่างคลุมเครือว่า “ท่านย่าของพวกเจ้าคิดว่าซ่งตวนมีฐานะต่ำทรามเกินไปหน่อย”
“แต่ว่าครั้งที่แล้วไม่ใช่บอกว่าท่านย่าอนุญาตแล้วหรือ?” เว่ยเกาฉานถามไปทันทีอย่างไม่รู้ตัว เมื่อพูดไปแล้วจึงได้รู้สึกว่าพลั้งปากไป ราวกับว่านางจะต้องแต่งกับซ่งตวนอย่างนั้น นางร้อนรนจนน้ำตาตกแล้วร้องไห้พลางกล่าวว่า “ลูกเองก็ไม่พูดเรื่องอื่น แต่ว่าก่อนหน้านี้ทุกคนต่างก็มาอวยพรแล้ว ของขวัญอวยพรก็รับมาหมดแล้ว ตอนนี้…เป็นอย่างนี้…แล้วลูกจะออกไปไหนได้อย่างไร?”
แม้ว่าในใจของนางเผยเองก็ไม่สบอารมณ์นัก แต่เห็นบุตรสาวจากอนุภรรยาเป็นอย่างนี้ก็ยังรู้สึกน้อยใจแทนนาง นางถอนหายใจแล้วกล่าวปลอบใจว่า “เรื่องครั้งนี้อย่างไรก็โทษเจ้าไม่ได้ พูดไปแล้วเป็นเพราะซ่งหานคนนั้นที่ไม่ดี ทำให้เจ้าต้องลำบากไปด้วย ยังดีว่าของหมั้นยังไม่มา บ้านเราก็เพียงรับปากไปแต่ลมปากเท่านั้น ยังไม่มีหลักฐานอะไร แล้วจะทำอะไรได้ นอกจากนี้อย่างไรบ้านเราก็ต้องเข้าข้างเจ้า แล้วจะพูดว่าอะไรเจ้าได้อย่างไร?”
เว่ยเกาฉานกัดปากถามว่า “ท่านแม่ ซ่ง…ทางฝั่งนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
“รายละเอียดตอนนี้ยังไม่รู้แน่ชัด แต่ว่าท่านปู่ของพวกเจ้าสืบได้ว่าซ่งตวนเหมือนจะมีอะไรผิดปกติ” นางเผยกล่าวอย่างคลุมเครือว่า “สายตาท่านปู่เจ้าแน่นอนว่าต้องดี และคิดให้พวกเจ้า”
แล้วกล่าวต่อว่า “ยังดีว่าเรื่องวันนี้ยังยื้อไว้ได้ พวกเราไม่รับ ด้านนอกใครจะรู้ว่าเรื่องการแต่งงานก่อนหน้านี้เป็นเพียงข่าวลือหรือไม่ เจ้าก็ยังอายุน้อย อีกสักพักค่อยให้ท่านย่าเจ้าหาให้เจ้าใหม่ เรื่องอย่างนี้ ถือเสียว่าไม่มีเกิดขึ้น”
นางเผยปลอบประโลมเว่ยเกาฉานอย่างใจเย็น และเรียกให้เว่ยฉางเยียนอยู่เป็นเพื่อนพี่สาว พูดกล่อมแล้วให้พวกนางกลับเรือนไป ส่วนตนเองก็ถอนหายใจแล้วขมวดคิ้วว่าตอนนี้บ้านสามต้องทำอย่างไรถึงจะดี
ทว่าเว่ยเกาฉานแม้ว่าจะกลับไปที่เรือนของตนแล้ว แต่กลับไม่สามารถวางใจได้ เมื่อน้องสาวตนกลับเรือนไป ก็ปรึกษากับแม่นมของตน “ก่อนหน้านี้งานแต่งครั้งนี้ท่านปู่กับท่านย่าต่างก็ตกลงแล้ว แล้วทำไมตอนนี้ถึงไม่ยอม เดี๋ยวอนุญาตเดี๋ยวไม่อนุญาต ข้า…ข้าจะไปพบคนอื่นได้อย่างไร!”
แม่นมต่วนกล่าวเตือน “ฮูหยินกล่าวแล้วว่า ไม่ใช่ความผิดของคุณหนู คุณหนูไม่ได้พูดไม่ได้ทำอะไรสักนิด ก็เพียงฟังคำของผู้ใหญ่เท่านั้น นอกจากนี้กล่าวว่ายกคุณหนูให้กับซ่งตวน แต่ว่าของหมั้นอะไรมีที่ไหน ทางบ้านไม่ยอมรับ ด้านนอกใครจะรู้ว่าจริงหรือเท็จ คุณหนูวางใจเถอะ ฮูหยินใหญ่จัดการบ้านเข้มงวดมาตลอด ไม่มีใครที่ไหนกล้าพูดอะไร ส่วนเหล่าคุณหนูคุณชายก็ไม่ใช่คนชอบพูดมาก ใครก็รู้ว่าคราวนี้คุณหนูถูกกล่าวหาและได้รับความไม่เป็นธรรม ยังจะมาหาเรื่องคุณหนูหรือ?”
แม้ว่าเว่ยเกาฉานจะรู้สึกว่ามีเหตุผล แต่คิดว่าก่อนหน้านี้ตนเองรับของขวัญอวยพรมาอย่างเอียงอายแล้ว ทั้งยังถูกน้องสาวอย่างเว่ยฉางเยียนล้อด้วย…ทั้งยังเตรียมแต่งงานอย่างตื่นเต้นอีก แต่ทว่าตอนนี้กลับถูกบอกว่างานแต่งไม่สำเร็จ แม้ว่าตนเองจะไม่ได้อยากแต่งงานกับซ่งตวน แต่ว่าคิดอย่างไรก็รู้สึกเหลวไหล
นางกัดริมฝีปากแล้วกล่าวว่า “ถึงตอนนี้ยังไม่รู้ว่าเรื่องอะไรที่ทำให้ท่านปู่ท่านย่าเปลี่ยนความคิด”
แม่นมต่วนเห็นนางเก็บน้ำตาไปก็ถอนหายใจแล้วออกความคิดว่า “หัวหน้าตระกูลกับฮูหยินผู้เฒ่ารักใคร่คุณชายห้ากับคุณหนูสาม บ่าวเห็นว่า สู้ไปเชิญคุณหนูสามให้ไปสืบข่าวให้ดีไหม?”
การถูกยกให้แต่งงานอย่างคลุมเครือและถูกยกเลิกงานแต่งอย่างคลุมเครือ รวมกันแล้วก็เป็นเวลาไม่กี่วันเท่านั้นหากว่าเป็นเด็กสาวคนอื่นจะมีใครไม่เคืองไม่โมโหลงบ้าง หากไม่สืบข่าวอย่างละเอียด อย่าว่าแต่เว่ยเกาฉานเลย แม้แต่แม่นมต่วนเองก็ยังกลืนโทสะนี้ไม่ได้
แต่ว่าฮูหยินผู้เฒ่าซ่ง เว่ยเซิ่งเหนียนกับนางเผยไม่กล้าถาม ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกนางเจ้านายและบ่าวเลย คิดไปคิดมาเป็นเว่ยฉางอิ๋งที่พูดได้ง่ายสุด
……………………………………………..