ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง - ตอนที่ 31
เว่ยฉางอิ๋งที่ซ้อมหมัดกลับมาตลอดทางจากหน้าประตูเรือนเสียนซวงจนถึงหน้าห้องแค่สิบกว่าก้าว จูหลันที่เข้ามาต้อนรับก็กล่าวเรื่องของเว่ยเกาฉานอย่างคล่องแคล่วจนรู้เรื่อง
จากนั้น สาวใช้ทั้งหลายก็เห็นเว่ยฉางอิ๋งชะงักไป แล้วตามมาด้วยสีหน้ายินดีอย่างน่าประหลาด!
ทุกคนกำลังสงสัยว่าเว่ยฉางอิ๋งกับเว่ยเกาฉานไม่มีความแค้นอะไรกัน แล้วทำไมได้ยินว่างานแต่งของน้องสาวถูกยกเลิกถึงได้ดีใจอย่างนี้ เห็นเว่ยฉางอิ๋งเหมือนจะรู้ตัว จึงพยายามระงับความดีใจไว้ ก้าวเข้าประตูไป เว่ยเกาฉานกับแม่นมต่วนเพิ่งจะกล่าวอย่างมีมารยาทไม่กี่คำ เว่ยฉางอิ๋งก็รับปากอย่างจริงใจและรับรองแล้วว่าตนเองจะต้องช่วยอย่างแน่นอน
ดังนั้น เมื่อส่งน้องสาวที่ซาบซึ้งออกไปแล้ว เว่ยฉางอิ๋งจึงไปอาบน้ำอย่างรีบร้อน นางเปลี่ยนเป็นชุดกระโปรงแล้วรีบไปหาฮูหยินผู้เฒ่าซ่ง จากนั้นก็กล่าวขออย่างตรงไปตรงมาว่าจะไปที่ห้องหนังสือของเว่ยฮ่วนด้วยกันกับเว่ยฉางเฟิงเพื่อฟังรายละเอียดการสงครามทางเหนือข้างๆ ด้วย คำขอนี้ก่อนหน้านี้วันหนึ่งนางกล่าวออกมาและถูกฮูหยินผู้เฒ่าซ่งกับฮูหยินซ่งแย้งกลับมาทันควันพร้อมกัน นางกำลังอึดอัด เว่ยเกาฉานก็หาเหตุผลมาให้นาง หากว่านางไม่มาตื๊ออีกก็แปลกแล้ว
ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งรู้ดีถึงแผนการอ้างเรื่องส่วนรวมเพื่อประโยชน์ส่วนตัวของนางดี นางจึงขมวดคิ้วแล้วจิ้มไปที่หน้าผากของนางว่า “ห้องหนังสือของท่านปู่ของพวกเจ้าแม้ว่าจะอยู่ที่เรือนหลัง แต่ว่าตอนนี้ผู้เดินเข้าออกกลับเป็นนายทหารและบ่าวผู้ชายเสียมาก เจ้าเป็นสตรีในห้องหอไปจะได้อย่างไรกันหา?”
เว่ยฉางอิ๋งหัวเราะแล้วกล่าว “คนที่เข้าออกที่เรือนท่านปู่เป็นทหารอายุมากและพวกบ่าวไพร่ ทั้งหมดต่างก็เป็นบ่าวของบ้านเราทั้งนั้นจะเป็นอะไรไป อีกอย่างท่านปู่กับฉางเฟิงก็อยู่ด้วย ไม่ได้พบกับพวกเขาตามลำพังเสียหน่อย”
ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าว “เจ้ามีเหตุผลอยู่เรื่อย แต่ว่าเจ้าจะต้องรีบร้อนทำไมกัน ท่านปู่เจ้าสืบเรื่องชัดเจนแล้ว หรือว่าฉางเฟิงจะไม่บอกเจ้าหรือ?”
“เมื่อคืนนี้ท่านปู่พาฉางเฟิงไปพบกับหลี่ว์จื๋อฝ่างคนนั้นแล้ว แต่ว่าหลี่จื๋อฝ่างนำป้ายเหล็กให้ฉางเฟิงอย่างไรตอนนี้ข้าก็ยังไม่รู้เลย…เมื่อคืนฉางเฟิงถูกท่านปู่เรียกไปที่ห้องหนังสือ ตลอดทั้งคืนก็ยังไม่ได้กลับไปที่เรือนหลิวหวาเลย” เว่ยฉางอิ๋งกล่าวอย่างน้อยใจและเสียใจ
ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งถอนหายใจ “เจ้าเด็กนี่ทำไมถึงได้วางใจไม่ได้อย่างนี้ เรื่องนี้ท่านปู่เจ้าเป็นคนจัดการ ทั้งยังมีฉางเฟิงไปเรียนรู้การรับมือ ไม่ให้เจ้าต้องวุ่นวายใจไม่ดีหรือ?”
น้ำเสียงของฮูหยินผู้เฒ่าซ่งแฝงไปด้วยความกลัดกลุ้มและทอดถอนใจอย่างจับได้ยาก เพียงแต่เว่ยฉางอิ๋งเป็นวัยกำลังผลิบาน เป็นช่วงที่มีกำลังมากแล้วจะรู้ถึงความปลงอนิจจังของฮูหยินผู้เฒ่าซ่งที่ผ่านมากกว่าครึ่งชีวิตได้อย่างไร นางทำเหมือนไม่ได้ยิน แล้วตื๊อไม่จบไม่สิ้น “ข้าไปฟังดู ห้องหนังสือของท่านปู่ใหญ่มาก ข้าไปยืนที่นั่นอีกคนก็ไม่ได้มากไป…ข้าไปฝนหมึกวางกระดาษให้ท่านปู่ดีไหม ท่านย่า ท่านย่า! ตอนนี้ทุกวันหากไม่ใช่ว่าฝึกวิชายุทธ์ก็ไปฟังท่านแม่สั่งสอน ข้าอึดอัดจะแย่แล้ว ยากจะมีเรื่องใหม่มา ให้ข้าไปฟังเถอะ!”
ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งทั้งรักใคร่นางแต่ก็รู้สึกว่าไม่ควรตามใจนาง จึงกล่าวอย่างปวดหัวว่า “เรื่องใหญ่อย่างนี้ เจ้าคิดว่าฟังนิทานหรือ ทำอย่างนั้นไม่ได้”
น้ำเสียงลังเลและสั่นคลอนของนางปิดบังเว่ยฉางอิ๋งที่กำลังออดอ้อนอย่างเต็มที่ไม่ได้ นางจึงรีบกล่าวว่า “ข้าคิดว่าไปฟังนิทานเสียที่ไหนกัน ท่านย่าคิดดู คราวนี้น้องหญิงสี่เตรียมตัวจะแต่งงานไปอย่างยินดี คิดไม่ถึงว่าเตรียมได้ไม่กี่วันกลับเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น! แม้ว่าบ้านเราต่างรู้ดีว่าเรื่องนี้โทษน้องหญิงสี่ไม่ได้ แต่ว่าอย่างไรน้องหญิงสี่ก็เป็นผู้ที่ได้รับความไม่เป็นธรรม เป็นเพราะพ่อลูกซ่งหานนั่นที่ไม่ดี ก่อนหน้านี้พวกเราต่างก็ไปอวยพรที่บ้านสามมา แล้วน้องหญิงสี่ตอนนี้จะลงอย่างไร ตอนนี้น้องหญิงสี่ก็ไม่ได้กล่าวอะไร เพียงแต่อยากรู้สาเหตุเท่านั้น…ท่านย่าหากว่าเรื่องนี้ยังไม่บอกนาง ไม่ใช่ว่าน่าเสียใจเกินไปหรือ อย่างไรคนที่จะแต่งงานและไม่ได้แต่งก็เป็นนาง!”
เว่ยเกาฉานแม้ว่าใจจะไม่มีความสุข แต่ว่างานแต่งงานพ่อแม่เป็นผู้จัดการ หากว่าให้นางแต่งงานกับซ่งตวนไปตามที่ท่านพ่อผู้เหลวไหลของนางอย่างเว่ยเซิ่งเหนียนจัดการ ถึงตอนนั้นถึงจะเรียกว่ากล้ำกลืนอย่างแท้จริง!
ในใจของฮูหยินผู้เฒ่าซ่งคิดว่าการขวางการแต่งงานครั้งนี้ให้นางถือว่าเป็นการช่วยนาง แล้วหลานสาวคนนี้ยังจะมีอะไรให้โกรธเคืองอีก ไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของนางเสียหน่อย นางไม่มีอารมณ์จะไปปลอบให้นางมีความสุขโดยเฉพาะหรอก เพียงแต่ว่าฮูหยินผู้เฒ่าซ่งก็รู้ดีว่าเว่ยฉางอิ๋งก็ใช่ว่าจะทำเพื่อน้องสาวทั้งหมด เป็นนางเองมากกว่าที่อยากรู้เรื่องการสงครามทางตอนเหนือ แค่ยกเอาเว่ยเกาฉานมาเป็นข้ออ้างเท่านั้น
ดังนั้นฮูหยินผู้เฒ่าซ่งจึงกล่าวอย่างเรียบเฉยว่า “งั้นหรือ หากเป็นอย่างที่เจ้ากล่าว ตอนนี้ในใจเกาฉานคงกำลังโมโหสินะ?”
“ไม่มีเรื่องนี้เลย!” เว่ยฉางอิ๋งก็ใช่จะเลอะเลือน นางรู้ว่าท่านย่ารักใคร่นางกับน้องชายนางมาตลอด แต่กับน้องชายน้องสาวต่างก็ไร้อารมณ์ ลูกหญิงชายบ้านสามแม้ว่าจะไม่ได้ทำให้ท่านย่าแค้นเคืองอย่างบ้านสอง แต่ว่าหากจะกล่าวว่ารักใคร่ก็จะเกินไป จิตใจทั้งหมดของฮูหยินผู้เฒ่าซ่งต่างก็อยู่ที่บ้านใหญ่ กระทั่งเว่ยเจิ้งอินบุตรสาวแท้ๆ ที่แต่งงานไปไกลถึงเมืองหลวงยังได้รับไม่มาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหลานของอนุภรรยาทั้งหลายเลย
หากว่าให้ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งคิดว่าเว่ยเกาฉานมีใจคิดแค้นเพราะงานแต่งครั้งนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งไม่มีทางเห็นใจหรอกว่าหลานสาวคนนี้จะได้รับความไม่เป็นธรรมอย่างไร มีแต่แค้นใจที่นางไม่รู้ความ…บุตรสาวคนโตจากอนุภรรยา ถูกท่านย่าใหญ่แค้นเคืองเข้า ยังจะมีอนาคตอะไรอีก
เว่ยฉางอิ๋งอยากจะใช้น้องสาวเป็นเบาะรอง แต่กลับไม่คิดจะทำร้ายเว่ยเกาฉาน เห็นฮูหยินผู้เฒ่าซ่งกล่าวมาอย่างนี้จึงรีบอธิบายแทนเว่ยเกาฉานทันที “น้องหญิงสี่เป็นคนอย่างไรท่านย่ายังไม่รู้หรือ นางเป็นคนอบอุ่นนุ่มนวลและสงบมาตลอด อย่างไรก็เป็นอาสะใภ้สามที่สั่งสอนมา แล้วจะกล่าวโทษผู้ใหญ่ได้อย่างไร ไม่ว่าอย่างไร เรื่องคราวนี้ก็เป็นเรื่องของนาง นางอยากจะถามให้เข้าใจ ไม่ใช่ว่ามีเหตุผลหรือ?”
ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งส่ายหัวแล้วกล่าว “เจ้านี่นะ! น้องสาวพี่สาวให้เจ้ามา ในบ้านของตนเอง มีข้าอยู่ มีแม่เจ้าอยู่ เจ้าก่อเรื่องอะไรขึ้นก็ยังไม่เป็นไร แต่หากว่าทำจนเป็นนิสัย วันหลังไปบ้านสามี ผู้ใหญ่ตระกูลเสิ่นยังจะคิดแทนเจ้าอย่างที่ข้ากับแม่เจ้าทำหรือ?”
“เพราะข้ารู้ว่ามีท่านย่ากับท่านแม่อยู่! ถึงได้กล้าทำตามใจตนเองอย่างนี้” เว่ยฉางอิ๋งหัวเราะแล้วกล่าวว่า “เมื่อแต่งงานไปแล้ว ข้ายังจะเป็นอิสระอย่างนี้ได้ที่ไหนกัน ดังนั้นต้องอาศัยตอนที่ยังไม่แต่งงานไปนี้เสพสุขที่มีท่านย่าและท่านแม่คอยคุ้มครองให้มาก! ตอนนี้หากว่าไม่เสพสุขให้มาก แต่งงานไปเป็นภรรยาแล้ว ข้ายังจะมีโอกาสอีกหรือ?”
คำพูดอย่างนี้ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งพลันปวดใจขึ้นมา บุตรสาวบุตรชายนางเสียไปมากมาย เดิมคิดว่าทั้งชีวิตนี้คงไม่มีหลานแท้ๆ ของตนเองแล้ว คิดไม่ถึงว่าสวรรค์จะเมตตาและส่งเว่ยฉางอิ๋งและเว่ยฉางเฟิงสองพี่น้องให้ เพื่อแลกกับชีวิตที่สงบและสุขสบายของหลานทั้งสอง ให้นางตายทันทีนางก็ยินดี ตอนนี้หลานสาวที่นางรักใคร่ทะนุถนอมอายุได้สิบเจ็ดปีแล้ว ปีหน้าก็จะต้องไปเป็นคนของตระกูลเสิ่น
ตลอดสิบเจ็ดปีที่ผ่านมาฮูหยินผู้เฒ่าซ่งมองหลานสาวเหมือนแก้วตาดวงใจ ไม่ว่าจะรักใคร่อย่างไรก็ยังรู้สึกว่าไม่เพียงพอ เลือดเนื้อเชื้อไข ต่อให้เอาแต่ใจอย่างไรหรือขออะไรเกินไปเท่าไหร่ในสายตาของฮูหยินผู้เฒ่าซ่งก็ยังคงมองว่าน่ารัก แต่ว่าตระกูลเสิ่นจะปฏิบัติกับเว่ยฉางอิ๋งอย่างนี้ไหม
ไม่โทษเด็กนี่ที่กระตืนรือร้นอยากจะสืบข่าวของทางตอนเหนืออย่างนี้…ในใจของฮูหยินผู้เฒ่าถอนหายใจ เดิมแล้ว เว่ยฉางอิ๋งสนใจเรื่องสงครามทางตอนเหนือมากอย่างนี้ที่ไหนกัน เกรงว่าเด็กนี่คำนวณว่าวันแต่งงานใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แล้ว แม้ว่าต่อหน้าผู้ใหญ่จะร้องกล่าวอยู่ตลอดว่าวิชาที่นางฝึกซ้อมมาตลอดเป็นระยะเวลาสิบสองปีจะต้องสามารถตีจนสามีหมอบลงไปไม่กล้าขัดใจได้แน่ แต่จริงๆ แล้วในใจนางเองก็ไม่มั่นใจ…
จะมั่นใจได้อย่างไร พูดไปแล้ว แม้ว่าเว่ยฉางอิ๋งจะเกิดที่เมืองหลวง แต่ว่าตอนที่กลับมาเฟิ่งโจวนางก็เพิ่งจะอายุได้หนึ่งสัปดาห์ไม่นาน พูดถึงเสิ่นเซวียน เสิ่นจั้งเฟิงและซูซิ่วมั่นแล้ว นางต่างก็เคยเห็น ทว่าเด็กอายุขนาดนั้นจะจำอะไรได้กัน คนเหล่านี้ต่างก็เป็นคนแปลกหน้าของนางทั้งนั้น ไม่เพียงแค่คน สถานที่ก็ต่างออกไป ที่เมืองหลวงที่ห่างไกล อารองในราชสำนักก็มีความขัดแย้งกับท่านย่าใหญ่และบ้านใหญ่อย่างหนัก อย่าว่าแต่จะพึ่งพิงเลย นางยังต้องคอยระวังว่าจะถูกเหล่าอาและอาสะใภ้จัดการอีกด้วย!
ส่วนท่านอาหญิงแท้ๆ ของนางแน่นอนว่าต้องเข้าข้างนาง แต่ว่าเว่ยเจิ้งอินเองก็เป็นภรรยาคนหนึ่ง พูดถึงศักดิ์ฐานะแล้วก็เป็นน้องสะใภ้ของฮูหยินซูไม่ใช่พี่สะใภ้ อีกอย่างตระกูลที่เว่ยเจิ้งอินแต่งงานไป ตระกูลซูแห่งชิงโจวเองก็เป็นตระกูลใหญ่ มีภรรยาพี่ชายพี่สะใภ้และท่านลุงท่านอาต้องดูแล ตัวนางเองก็มีบุตรสาวแท้ๆ หากว่าต้องมาสนใจหลานสาวอีก จะดูแลนางได้เท่าไหร่กัน?
เว่ยฉางเฟิงกล่าวว่าหญิงจากภรรยาเอกของตระกูลเว่ยแห่งเฟิงโจวแต่งงานไปแล้วใครจะกล้ารังแก ใช่แล้ว โดยผิวเผินใครจะกล้าทำให้หนึ่งในตระกูลใหญ่ทั้งหกของแผ่นดินอย่างหญิงตระกูลเว่ยต้องเสียหน้า แต่ว่าความขัดแย้งลับหลังจะมีสักเท่าไหร่ที่กล้าออกนอกหน้ากัน ฝีมือลับๆ เว่ยฉางอิ๋งที่ถูกคุ้มครองดีอย่างไร อย่างไรก็เกิดในตระกูลใหญ่ ได้เห็นได้ยินมานางจะไม่รู้หรือว่าอยากจะให้คนไม่มีความสุขไม่แน่ว่าจะต้องฉีกหน้ากันและทะเลาะกันใหญ่โต
แต่งงานไปอย่างนี้ ทั้งชีวิตของเว่ยฉางอิ๋งยังจะได้กลับมาที่เฟิ่งโจวหรือไม่ก็ยังพูดไม่ได้ การสนับสนุนจากบ้านแม่ก็เป็นเพียงแค่การคุ้มกันหากว่านางไม่ได้ทำเรื่องที่น่ารังเกียจมากออกมา ตำแหน่งภรรยาเอกของนางก็จะไม่สั่นคลอนเท่านั้น…
เรื่องอื่นๆ ยังต้องดูตัวนางเอง
ไข่มุกบนฝ่ามือที่เติบโตมาด้วยความทะนุถนอมและตามใจ ทำอะไรตามใจและอิสระเสรีมาตลอดสิบเจ็ดปี เวลาที่งดงามอย่างนี้กลับราวกับความงดงามในบทกลอน ต้องจากไปจากที่คุ้นเคยและสภาพแวดล้อมที่สบายใจไปยังเมืองหลวงที่ห่างไกล ไปยังบ้านสามีตระกูลเสิ่น ต้องจากไปจากผู้ใหญ่ที่มองตนเองจนเติบใหญ่ ไปเป็นคนของบ้านคนอื่น!
เว่ยฉางอิ๋งดูเหมือนไม่ใส่ใจ แต่ว่าในใจนางจะไม่มีความกังวลและหวาดกลัวหรือ
ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งนึกย้อนกลับไปในหนึ่งปีมานี้ที่หลานสาวร่ำร้องว่าจะตีเสิ่นจั้งเฟิงมากขึ้นเรื่อยๆ ตลอดมานางกัดฟันฝึกซ้อมอย่างยากลำบากก็ยังไม่เคยพูดบ่อยอย่างนี้ ฮูหยินซ่งยุ่งกับการดูแลบ้าน และยังต้องกังวลกับอาการป่วยของสามี รวมกับที่เว่ยฉางอิ๋งเป็นคนกระตืนรืนร้นสดใสมาตลอด และเป็นพวกเอาแต่ใจเย่อหยิ่งเสมอมา กระทั่งฮูหยินซ่งเองก็ยังละเลยการเปลี่ยนแปลงในหนึ่งปีที่ผ่านมานี้ของบุตรสาว ที่นางดุดันขึ้นเรื่อยๆ คิดว่าคงเป็นเพราะในใจของนางที่รู้สึกกังวลขึ้นเรื่อยๆ
หากว่าไม่ได้กังวลว่าเมื่อแต่งงานไปแล้วจะต้องเจอกับอะไร เว่ยฉางอิ๋งจะฝืนตนเองไปฝึกฝนวิชายุทธ์ที่นับว่าไม่เลวแล้ว และคิดตลอดว่าจะต้องตีเสิ่นจั้งเฟิงจนไร้ทางตอบโต้ เพราะว่าหวาดกลัว ถึงได้ต้องดุดันมากขึ้น
ความดุดันนี้ไม่ได้อยากให้คนอื่นเห็น แต่ว่าส่วนมากคือการปลอบประโลมตนเอง ต้องจากไปจากบ้านที่คุ้นเคยมาตลอดสิบเจ็ดปี จากไปจากผู้ใหญ่ทั้งหลายที่คุ้นเคย จากไปจากพี่น้องที่เติบโตมาด้วยกัน…แม้ว่าจะต้องไปยังตระกูลที่แปลกหน้า ไปยังสถานที่แปลกหน้าที่ไม่รู้จักเลย แต่ว่าข้าไม่กลัว ข้ามีวิชายุทธ์ ข้าร้ายกาจมาก แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในเฟิ่งโจว แม้ว่าจะไม่มีท่านย่ากับท่านแม่คอยอยู่ข้างกายแล้ว แม้ว่าฉางเฟิงกับท่านพี่ซ่งจะไม่อยู่ แต่ว่าข้าก็ยังมีความสามารถที่จะปกป้องตนเองได้
ข้าไม่กลัวว่าเสิ่นจั้งเฟิงจะปฏิบัติกับข้าไม่ดี หากว่าทำกับข้าไม่ดี ข้าก็จะตีเจ้า!
ข้าไม่กลัวว่าแม่สามีฮูหยินซูจะปฏิบัติกับข้าไม่ดี หากว่าไม่ดีกับข้า ข้าเป็นวิชายุทธ์ ข้าสามารถตีเสิ่นจั้งเฟิงทำให้นางปวดใจได้!
คำพูดอย่างเด็กๆ นี้ เบื้องหลังที่ปกปิดไว้ คือดวงใจที่ลังเลและรู้สึกไวต่อความหวาดกลัวไร้หนทางของหญิงสาวที่จะต้องแต่งงานจากไปไกล!
คำพูดเมื่อครู่นี้ ดูเหมือนจะออดอ้อน แต่จริงๆ แล้วกลับเป็นการพูดอารมณ์ในใจของเว่ยฉางอิ๋งที่แท้จริงออกมาอย่างไม่รู้ตัว ต่อไป เมื่อนางแต่งงานไปแล้ว ยังจะมีปีกของท่านย่าและท่านแม่ปกป้องอย่างนี้ ไม่ต้องกังวลใจกับเรื่องใดๆ สามารถทำเรื่องที่ตนอยากจะทำ ยิ้มหัวเราะและซุกซนได้เต็มที่ สามารถพูดสิ่งที่ตนต้องการได้อีกหรือ?
ดังนั้นอาศัยตอนที่ตนเองยังเป็นคุณหนูใหญ่ตระกูลเว่ย ยังไม่ใช่ฮูหยินตระกูลเสิ่น เสพสุขให้เต็มที่เถอะ!
มีความสุขได้ระยะหนึ่งก็ระยะหนึ่ง เพราะเมื่อแต่งงานไปแล้ว เมื่อจากไปจากเฟิ่งโจวแล้ว เพราะเมื่อเป็นภรรยาคนอื่นแล้ว ก็จะไม่มีโอกาสอีกแล้ว!
สิ่งที่เว่ยฉางอิ๋งสนใจจริงๆ ไม่ใช่เรื่องการสงครามของทางตอนเหนือ และไม่ใช่สนใจอยากรู้อยากจะไปห้องหนังสือของเว่ยฮ่วนจริงๆ แต่ว่านางเพียงอยากจะออดอ้อนอย่างนี้ อยากจะมาตื๊ออย่างนี้ อยากจะไร้เหตุผลอย่างนี้ เพื่อพยายามที่จะซึมซับแสงสว่างของการเป็นไข่มุกบนฝ่ามือสุดท้ายของนาง
เพราะปีหน้านางก็จะไม่ใช่คุณหนูใหญ่ตระกูลเว่ยอีก แต่ว่าเป็นฮูหยินน้อย…
ตอนเป็นคุณหนูใหญ่ นางมีท่านย่า มีท่านแม่ มีพี่สาว มีน้องชาย ความคิดของนางเป็นอิสระ ไร้การผูกมัด ในฐานะฮูหยินน้อย พ่อแม่สามี พี่สะใภ้น้องสะใภ้ มีน้องหญิงน้องชายของสามี…ทั้งยังมีสามีที่มีแต่ฟ้าดินถึงจะรู้ว่าจะอยู่ร่วมกันอย่างไรอีก
ภายหลัง ใครจะรู้ว่ายังจะมีอนุภรรยามาแบ่งสามีกับนางไหม ยังจะมีบุตรหญิงชายจากอนุภรรยาที่มาแบ่งคนคนนั้นกับเลือดเนื้อเชื้อไขของนางไหม
และทุกอย่างนี้ นางจะต้องไปเผชิญหน้าด้วยตนเองทั้งนั้น เฟิ่งโจวกับเมืองหลวง ห่างกันนับพันลี้ ต่อให้รายงานด่วนของฝ่ายการทหาร ไปมาก็ยังต้องใช้เวลาหลายวัน…เป็นภรรยาคนพบเรื่องลำบาก ไม่ได้มีเพียงเรื่องเดียว หรือว่าจะต้องกลับมาขอความช่วยเหลือจากบ้านแม่เสียทุกครั้งหรือ?
เว่ยฉางอิ๋งที่นิสัยแข็งจะยอมเสียหน้าอย่างนี้ได้หรือ?
ตระกูลเว่ยเองก็ขายหน้าอย่างนี้ที่ไม่ได้สั่งสอนบุตรสาวที่อาศัยแต่บ้านแม่ตนเอง…
ดังนั้นวันเวลาทุกวันนี้ผ่านไปหนึ่งวันก็น้อยลงไปหนึ่งวัน อาศัยที่ยังสามารถออดอ้อนในอ้อมอกของท่านย่าได้อย่างเต็มที่ อาศัยที่ยังมีคนคอยคุ้มหัวให้นางอย่างในอดีต อาศัยที่ตนเองยังเป็นคุณหนูใหญ่ที่ได้รับความรักใคร่จากผู้ใหญ่และได้รับความเคารพจากคนรุ่นเดียวกัน คว้าโอกาสทั้งหมดอยู่ท่ามกลางความรักการปกป้องและการได้รับการตามใจอย่างนี้เถอะ…
เพราะว่า อีกไม่กี่เดือน ก็จะไม่มีแล้ว
…………………………………………..