ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง - ตอนที่ 33
แม้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าซ่งจะตัดสินใจแล้วว่าจะต้องดึงตัวโม่ปินเว่ยมาให้หลานชายสุดที่รักให้ได้ ทว่าเรื่องกลับไม่ได้ราบรื่นอย่างที่นางคิด จากความระวังของหลี่ว์จื๋อฝ่างทำให้ไม่มีใครรู้ว่าโม่ปินเว่ยเป็นหรือตาย และยิ่งไม่รู้ด้วยว่าเขาอยู่ที่ไหน นอกจากนี้การจัดการซ่งหานและซ่งตวนก็มีเรื่องเปลี่ยนแปลงไปด้วย
“แม้ว่าซินผิงจะเป็นเพียงแค่น้องชายของข้า แต่กับตระกูลสาขาเพียงสองคน ข้าเขียนจดหมายไป ต่อให้เขาอายุมากแล้วแต่ก็คงไม่ถึงกับเลอะเลือนปกป้องพวกเขาถึงขนาดนั้น หลอกให้แต่งงานมาถึงหลานสาวสายตรงของแซ่เว่ย หากว่าซินผิงยังพูดแทนพวกเขา แล้วเห็นไจ้สุ่ยเป็นอะไร?” ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งกล่าวอย่างประหลาดใจว่า “ทำไมถึงไม่สามารถทำอะไรพวกเขาได้ล่ะ?”
สีหน้าของเว่ยฮ่วนดูไม่ได้ขึ้นมา แล้วกล่าวออกมาเบาๆ สามคำว่า “จือเปิ่นถัง!”
ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งพลันมีสีหน้าเคร่งเครียดทันที “พวกเขาทำอะไรอีก?”
“เว่ยฉีนำข่าวชัยชนะรายงานไปเบื้องบน” เว่ยฮ่วนกล่าวด้วยท่าทีเคร่งขรึม “หลายปีมานี้ต้าเว่ยไม่เคยมีชัยชนะเหมือนอย่างในครั้งนี้มาก่อน เป็นการเปิดราชสำนักภายใต้ความยินดีของฮ่องเต้ ไม่เพียงแต่จะให้รางวัลข้ากับเซิ่งเหนียนเท่านั้น กระทั่งรางวัลของซ่งหานซ่งตวนก็ยังมีราชโองการมา…ตอนนี้เกรงว่าคงอยู่ระหว่างทางแล้ว”
ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งโมโหมาก แล้วตบไปที่โต๊ะข้างตัวอย่างแรง “ซ่งหาน ซ่งตวนช่างบังอาจนัก! คิดจริงๆ หรือว่าเว่ยฉีที่อยู่ไกลถึงราชสำนัก อาศัยเพียงราชโองการไม่กี่อันจะสามารถปกป้องพวกเขาได้?” แล้วพลันนึกขึ้นได้ “มิน่ากระทั่งหลานสาวของพวกเราพวกเขาก็ยังกล้ามาหลอกให้แต่งงาน! ที่แท้ ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพราะเจ้าเฒ่าเว่ยฉีนั่นที่อยู่เบื้องหลัง?!”
เว่ยฮ่วนกลับยังสงบแล้วกล่าวช้าๆ ว่า “ตอนนี้ซ่งหานกับซ่งตวนถูก ‘ปี้อู๋’ พาตัวกลับมาแล้ว เพราะมีราชโองการให้รางวัลกับพวกเขาตอนนี้จึงไม่สามารถจัดการลงโทษได้ พวกเขายังไม่ยอมรับว่ามีสัญญากับเว่ยฉีอีก…”
“ยังต้องยอมรับอีกหรือ?” ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งยิ้มเย็นแล้วกล่าวว่า “ท่านคิดจะทำอย่างไร เพื่อไม่ให้ทางราชสำนักไม่พอใจ จะยอมรับการกระทำครั้งนี้ และกลืนความไม่พอใจนี้ลงไปหรือ?”
“หลายปีมานี้ฮ่องเต้ยิ่งไม่พอใจการถูกขัดราชโองการมากขึ้นแล้ว” เว่ยฮ่วนถอนหายใจแล้วกล่าวช้าๆ ว่า “ในเมื่อราชโองการได้ให้รางวัลซ่งหานกับซ่งตวนแล้ว การที่พวกเขาชิงผลงานก็ให้เป็นอย่างนี้เถอะ ไม่อย่างนั้นฮ่องเต้เสียหน้า แล้วจะไม่เคืองตระกูลของพวกเราหรือ?”
ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งขมวดคิ้ว “แต่ว่าเรื่องนี้เป็นเว่ยฉีที่รายงานขึ้นไป ท่านไม่ใช่ว่าเอาผลการรายงานกลับมาแล้วหรือ หากว่าฮ่องเต้เสียหน้า ไม่ใช่ว่าเป็นเว่ยฉีหรือที่ทำให้ฮ่องเต้เข้าใจผิด!”
เว่ยฮ่วนส่ายหน้า “ในเมื่อเว่ยฉีได้แอบลอบติดต่อกับซ่งตวนและซ่งหาน ทั้งยังกล้ารายงานข่าวขึ้นไปก่อนหน้าข้า แล้วเขาจะไม่ป้องกันไว้หรือ ข้าเดาว่าตอนที่เขารายงานเรื่องนี้ขึ้นไป เกรงว่าคงได้เตรียมกับดักรอให้ข้าลงไปแล้ว อย่างเช่นกล่าวว่าซ่งตวนกับซ่งหานไม่ใช่คนของตระกูลเว่ย ข้าจะไม่พอใจพวกเขา และชิงเอาผลงานของพวกเขาไป หรืออาจจะกล่าวว่าก่อนหน้านี้ตระกูลของพวกเราคิดจะยกเว่ยเกาฉานให้แต่งงานกับซ่งตวน แต่ตอนนี้แต่งงานไม่สำเร็จ จึงจงใจใส่ร้ายพวกเขา”
“สถานการณ์อย่างนี้…นี่มันกลับดำขาวกันเลยเลยจริงๆ!” ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งชะงักไปแล้วจึงยิ้มเย็นพลางกล่าวว่า “ทั้งๆ ที่ประชาชนแซ่โม่คนนั้นถูกชิงเอาผลงานไป ส่วนพ่อลูกใจดำทั้งคู่ก็เป็นผู้อยากจะหลอกให้เกาฉานแต่งงานด้วย…เว่ยฉี! เจ้าเฒ่านี่รังแกกันขนาดนี้ ไม่กลัวถูกเอาคืนบ้างหรืออย่างไร!”
อย่างไรเว่ยฮ่วนก็เป็นหัวหน้าตระกูลเว่ย แม้ว่าจะถูกจือเปิ่นถังวางแผนใส่ซ้ำแล้วซ้ำอีก ตอนนี้กลับไม่ได้โมโหอย่างฮูหยินผู้เฒ่าซ่งในตอนนี้ เขายังคงกล่าวด้วยใจสงบราบเรียบ “เรื่องเหล่านี้ต่างก็เป็นเรื่องเล็ก ตอนนี้ในราชสำนักพวกเรารุ่ยอวี่ถังมีเพียงเซิ่งอี้เพียงคนเดียว ยังไม่ต้องก่อเรื่องให้ฮ่องเต้ไม่พอใจจะดีกว่า! ก็แค่ราชโองการแต่งตั้งและรางวัลเท่านั้น ต่อให้ภายหลังซ่งหานกับซ่งตวนถูกโยกย้ายไปรับหน้าที่ตำแหน่งที่เมืองหลวงก็ยังไม่เป็นไรกระมัง?”
เขากล่าวช้าๆ ว่า “เทียบกันกับการหาโม่ปินเว่ย พ่อลูกซ่งหานยังจะมีความหมายอะไรอีก?” รู้ดีว่าฆ่าไม่ได้ มี ‘ปี้อู๋’ อยู่ ยังต้องกลัวว่าจะถูกลอบฆ่าหรือ ซ่งหานกับซ่งตวนล้วนแต่ไม่ใช่คนที่มีความสามารถมากมาย ต่อให้เว่ยฉีใช้พวกเขามาจัดการงัดข้อกับรุ่ยอวี่ถังได้ครั้งหนึ่ง แต่ว่ายังจะสามารถคิดหาวิธีอื่นมาปกป้องพวกเขาไปได้ทั้งชีวิตหรือ?
ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งขมวดคิ้วแล้วกล่าว “แน่นอนว่าต้องหาโม่ปินเว่ย คนคนนี้แม้ว่าจะเป็นเพียงประชาชน แต่กลับมีความสามารถมาก ฉางเฟิงยังอายุน้อย ข้ากับท่านต่างก็แก่แล้ว ตอนนี้แผ่นดินไม่สงบสุข เป็นช่วงเวลาที่ผู้มีความสามารถอย่างเขาจะมีประโยชน์มาก หากว่าคนคนนี้ช่วยฉางเฟิง ภายหลังพวกเราจากไปแล้วก็ยังพอจะวางใจได้บ้าง…แต่ว่าเว่ยฉีล่ะ ครั้งที่แล้วเขาเล่นงานฉางอิ๋ง ครั้งนี้กระทั่งพวกเราต่างก็ถูกเขาเล่นงานหมด! หรือว่าจะปล่อยให้เป็นไปอย่างนี้?”
เว่ยฮ่วนฟังความหมายของภรรยาออก อย่างไรก็ยังไม่วางใจคำรับปากของเขา ไม่ยอมให้ตระกูลเว่ยเรียกโม่ปินเว่ยเข้ามา แต่ว่าจะให้โม่ปินเว่ยเป็นคนของเว่ยฉางเฟิงเพียงคนเดียวถึงจะวางใจ ในฐานะหัวหน้าตระกูล แน่นอนว่าเว่ยฮ่วนโน้มเอียงไปแบบแรกมากกว่า แต่ว่าตอนนี้ยังไม่รู้ว่าโม่ปินเว่ยเป็นหรือตาย เขาเองก็ไม่มีอารมณ์มาทะเลาะกับฮูหยินผู้เฒ่าซ่งด้วยเรื่องนี้จึงกล่าวว่า “ทางฝั่งเว่ยฉีข้ามีแผนการ ตอนนี้กำลังร้อนระอุ…เขาถือว่าข้าไม่อยู่ที่เมืองหลวง เหอะๆ!”
คำกล่าวนี้แม้ว่าจะดูไม่มีหัวไม่มีหาง แต่ว่าฮูหยินผู้เฒ่าซ่งอยู่กับเขามาทั้งชีวิต เข้าใจเขามาก เมื่อได้ยินในใจพลันนึกได้และเข้าใจได้ทันที ถึงได้เผยรอยยิ้มออกมาแล้วกล่าวว่า “ต้องแบบนี้! ข้าอยากจะรู้เสียหน่อยว่าเขายังจะภูมิใจอะไรอีก?”
“ไม่แน่ว่าจะใช้ได้ อย่างไรหลายปีมานี้เขาเองก็ได้รับการโปรดปรานจากฮ่องเต้มาก” เว่ยฮ่วนยิ้มบางๆ แล้วกล่าว “แต่ว่าก็ไม่มีอะไร หากว่ายังไม่สำเร็จค่อยหาวิธีอื่นก็ได้”
เว่ยฮ่วนมีความคิดลึกล้ำ แผนการของเว่ยฉีที่คิดมาและยังสำเร็จอย่างนี้กลับไม่สามารถทำให้เขาสับสนในใจได้เลย เขายังคงวาดแผนการต่อไปอย่างไม่สะทกสะท้าน “ราชโองการเกรงว่าตอนนี้คงออกมาจากเมืองหลวงแล้ว พวกเราต้องเตรียมการต้อนรับให้ดีถึงจะได้”
“ตอนที่อวี่เวยอยู่ที่เมืองหลวงก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยเจอกับดักอย่างนี้มาก่อน กลับไปกล่าวกับนางสักหน่อยก็ได้แล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งไม่สนใจ คนทั่วไปหรือขุนนางทั่วไปเมื่อได้ยินว่ารับราชโองการแน่นอนว่าต้องเกรงกลัว แต่ว่าในตระกูลมีชื่อทั้งหลาย โดยเฉพาะหกตระกูลใหญ่ของแผ่นดินอย่างนี้ด้วยแล้ว ตลอดทั้งชีวิตได้พบหน้าคนมากความสามารถและสถานการณ์อย่างนี้อยู่บ่อยครั้ง จึงไม่ต้องเกรงกลัวเรื่องอย่างนี้
แต่ในเมื่อเว่ยฮ่วนกำชับมาโดยเฉพาะแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งจึงกล่าวถามมากหน่อย “ทูตในครั้งนี้คือใคร?”
เว่ยฮ่วนลูบไปที่เคราใต้คางแล้วยิ้มออกมาพลางกล่าวว่า “เสิ่นโจ้ว ไม่อย่างนั้นข้าจะกำชับเจ้าทำไม?”
“เป็นเขารึ?!” ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งชะงักไป ไม่ใช่ว่าเสิ่นโจ้วคนนี้มีอะไรน่าประหลาดใจมากมายตรงไหน หรือว่ามีตำแหน่งหน้าที่อำนาจสูงส่งอย่างไรจึงทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งฟังแล้วสีหน้าเปลี่ยนไปได้ กระทั่งราชโองการฮูหยินผู้เฒ่าซ่งยังไม่ค่อยจะสนใจนักเลย คนมากความสามารถหน้าตาดีในแผ่นดินนี้ไม่มีใครสามารถทำให้นางตกตะลึงได้เลยจริงๆ
ดังนั้นสิ่งที่ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งตกใจที่ทูตผู้มาคือเสิ่นโจ้วได้มีเพียงสาเหตุเดียว เสิ่นโจ้ว ลูกหลานสายตรงตระกูลเสิ่นแห่งซีเหลียง น้องชายแท้ๆ ของเสิ่นเซวียนราชครูของราชสำนัก!
นับแล้วหากว่าเว่ยฉางอิ๋งแต่งงานไปแล้ว ก็ต้องเปลี่ยนไปเรียกตามเสิ่นจั้งเฟิงและเรียกเขาว่าท่านอา
ปีหน้าเว่ยฉางอิ๋งจะต้องแต่งงานออกไปแล้ว เสิ่นโจ้วมาถ่ายทอดราชโองการที่เฟิ่งโจว ไม่ถามก็รู้ว่าทำทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวไปพร้อมกัน ด้านหนึ่งก็มาถ่ายทอดราชโองการชมเชยและรางวัล อีกด้านก็มาปรึกษากับตระกูลเว่ยเรื่องการแต่งงานไปตระกูลเสิ่นปีหน้าอย่างละเอียด
ในเมื่อเกี่ยวกับหลานสาวสุดที่รัก ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งจึงให้ความสำคัญขึ้นมาทันที แล้วกล่าวอย่างเคร่งเครียดว่า “ข้ารู้แล้ว การรับราชโองการครั้งนี้ ข้าจะจัดการควบคุมด้วยตนเอง!”
เว่ยฮ่วนกล่าวต่อว่า “งานแต่งงานของฉางอิ๋งกับเสิ่นจั้งเฟิงหมั้นไว้นานแล้ว ชาติตระกูลเหมาะสมกัน ตอนนี้มาปรึกษาหารือก็เพียงแค่รายละเอียดเท่านั้น ขอแค่ต้องป้องกันไม่ให้เว่ยฉีมาขวาง อย่างอื่นก็ไม่มีอะไร แต่ว่า…” เขาขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “ครั้งนี้ซ่งไจ้เถียนเองก็มาด้วย”
ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งคิดแล้วจึงนึกขึ้นได้ว่าซ่งไจ้เถียนก็คือหลานชายของตนเอง บุตรชายคนโตของซ่งอวี่วั่ง หลานชายแท้ๆ ของสะใภ้ใหญ่อย่างฮูหยินซ่ง พี่ชายแท้ๆ ของซ่งไจ้สุ่ย!
ซ่งไจ้เถียนมาที่นี่เพื่ออะไร แน่นอนว่าฮูหยินผู้เฒ่าซ่งเองก็รู้ดี จึงอดที่จะถอนหายใจออกมาไม่ได้ “จริงๆ แล้ววังตะวันออกไม่ใช่สถานที่ดีที่จะแต่งงาน หากว่านางเว่ยยังอยู่ แน่นอนว่าไม่มีทางยอมให้ไจ้สุ่ยต้องแต่งไปในวังหลวงแน่ อวี่วั่งเด็กคนนี้ทำไปเพราะอะไรกัน!”
“ตระกูลซ่งเป็นพวกให้ความสำคัญกับอารมณ์ แม้ว่านางเว่ยจะจากไปแล้ว แต่ว่าซ่งอวี่วั่งยังคงจดจำคำสัญญาที่รับปากนางไว้ตั้งแต่ก่อนที่จะเสียไปได้ก็ไม่แปลก…” เว่ยฮ่วนกล่าวออกมาธรรมดา แล้วพลันรู้สึกได้ว่าไม่ถูกต้อง แล้วก็เห็นใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าซ่งเข้มและเย็น ตระกูลซ่งรุ่นนี้ผู้ที่ให้ความสำคัญกับอารมณ์คือซ่งอวี่วั่ง แต่รุ่นก่อนหน้านี้…ไม่ใช่บิดาของฮูหยินผู้เฒ่าซ่ง ซ่งตันหรือ และเพราะเหตุนี้ยังทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งต้องลำบากมาไม่น้อย จนทำให้น้องสาวจากอนุภรรยาอย่างซ่งเหมียนเหอ ซึ่งแต่งงานไปกับจิ่งเฉิงโหวเว่ยฉี ยังคงมีปัญหาขัดแย้งกับรุ่ยอวี่ถังมาจนถึงตอนนี้!
เว่ยฮ่วนรู้สึกได้ว่ากล่าวผิดไปจึงรีบเปลี่ยนหัวข้อว่า “อย่างไรทั้งหมดนี้ก็เป็นเรื่องของตระกูลซ่ง ยิ่งไปกว่านั้นผู้ที่จับคู่ให้ยังเป็นคนของราชวงศ์อีก ก่อนหน้านี้ซ่งอวี่วั่งเขียนจดหมายมา ไม่ให้บุตรสาวเขาต้องไปไหน พวกเราเองก็ไม่ได้ถามอะไร แต่ว่าคราวนี้ซ่งไจ้เถียนมาด้วยตนเอง งานแต่งงานพ่อแม่เป็นผู้จัดการ เขาคือพี่ชายคนโตที่ได้รับคำสั่งจากบิดา หากว่าเขาต้องการจะพาซ่งไจ้สุ่ยกลับไปที่เมืองหลวงเพื่อแต่งงานจริงๆ พวกเราก็อย่าเข้าไปยุ่งมาก ซ่งอวี่วั่งต้องการให้บุตรสาวรักษาคำมั่นที่ได้ให้ไว้เพื่อรักษาเกียรติของตระกูลก็เป็นเรื่องตระกูลของพวกเขา แม้ว่าพวกเราจะเป็นญาติกันแต่ก็เข้าไปยุ่งไม่ได้”
ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งถอนหายใจแล้วขมวดคิ้วพลางกล่าวว่า “หากว่าต้องยุ่ง ข้าจะยอมให้เด็กนี่อยู่นานขนาดนี้หรือ ข้าถึงกับแสร้งทำเลอะเลือนแล้ว” แม้ว่าจะเห็นด้วยกับคำของสามี คิดว่าเรื่องนี้ตระกูลเว่ยไม่ควรเข้าไปยุ่ง หนึ่งเพราะมีสัญญาก่อนหน้านี้ ตระกูลมีชื่อก็เห็นกันอยู่ หากว่าทำลายสัญญาเรื่องอย่างนั้นเป็นการทำลายเกียรติของตระกูล! สำหรับตระกูลใหญ่แล้วเป็นข้อห้ามและเป็นที่รังเกียจมาก สองก็เพราะผู้ที่จับคู่ให้คือราชวงศ์ แม้ว่าฮ่องเต้จะไม่ได้คิดถึงราชสำนัก แม้ว่าวังตะวันออกจะเหลวแหลกอย่างไร แต่ว่าก็ยังเป็นราชวงศ์! โดยเฉพาะรุ่ยอวี่ถังตอนนี้ที่กำลังโรยรา ในราชสำนักมีเพียงเว่ยเซิ่งอี้เพียงคนเดียวที่ยังอยู่ เว่ยฮ่วนลาเกษียณกลับมา…กระทั่งการโจมตีจากจือเปิ่นถังยังมากขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้ยังต้องไปล่วงเกินราชสำนักเพื่อซ่งไจ้สุ่ยอีก เป็นการกระทำที่ไม่ฉลาดเลย
แม้ว่าซ่งไจ้สุ่ยจะน่าเห็นใจ แต่อย่างไรเว่ยฮ่วนกับฮูหยินผู้เฒ่าซ่งก็ต้องคิดถึงบุตรหลานของตนเองก่อน
นอกจากนี้ผู้ที่ยืนกรานจะให้ซ่งไจ้สุ่ยแต่งงานไปในวังก็เป็นบิดาของนางอย่างซ่งอวี่วั่ง อย่าว่าแต่ซ่งอวี่วั่งอยากจะให้นางแต่งงานกับรัชทายาทเพื่อทำตามสัญญาที่เคยให้ไว้เลย ต่อให้เขายกบุตรสาวให้กับขอทานคนหนึ่ง นั่นก็เป็นบุตรสาวของเขา ซ่งซินผิงไม่กล่าวอะไร แล้วจะให้คนอื่นไปวางแผนบอกปฏิเสธการแต่งงานให้ซ่งไจ้สุ่ยได้หรือ?
เพียงแต่ว่าหลายเดือนมานี้ที่ซ่งไจ้สุ่ยอยู่ที่ตระกูลเว่ย ทั้งนิสัยและอารมณ์ความสามารถต่างก็ดีเยี่ยม เจ้านายบ่าวไพร่ต่างก็เห็นกันอยู่ นางเป็นคุณหนูตระกูลสูงที่มีความสามารถมากจริงๆ แต่กลับต้องแต่งงานไปกับรัชทายาทที่ตำแหน่งไม่มั่นคงและไม่เอาไหนเหลวแหลกอย่างนั้น แม้ว่าจะไร้กำลังช่วยนางได้ แต่ใครก็ต่างอดที่จะเสียดายแทนนางไม่ได้
เว่ยฮ่วนเองก็รู้ว่าแม้ภรรยาเฒ่าจะดุดัน แต่กลับไม่ใช่คนที่ไม่มีแผนการ โดยเฉพาะหากว่าฮูหยินผู้เฒ่าซ่งไม่มีหลานแท้ๆ ของตน บางทีอาจจะสนใจช่วยเหลือซ่งไจ้สุ่ยสักครั้ง ตอนนี้ในใจของฮูหยินผู้เฒ่าซ่งเต็มไปด้วยแผนการปูทางให้กับเว่ยฉางเฟิง และวาดแผนการให้กับเว่ยฉางอิ๋ง แล้วนางจะยังมีพลังที่ไหนไปสนใจหลานสาวไม่แท้อีกล่ะ ต่อให้สนใจ แต่เพื่อไม่เป็นการสร้างเรื่องให้กับเลือดเนื้อเชื้อไขของตน อย่างไรฮูหยินผู้เฒ่าซ่งก็ต้องแสร้งทำเลอะเลือน
ดังนั้นที่เขาพูดถึงซ่งไจ้สุ่ยนั้นยังมีจุดประสงค์อื่นอีก “เด็กคนนี้อยู่ที่บ้านเรามาหลายเดือน ดึงเวลาไม่ยอมไปเมืองหลวงเพื่อไปแต่งงาน ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้หวังให้เจ้าหรือสะใภ้ใหญ่ช่วยนาง แต่ว่าเรื่องนี้พวกเราไม่สามารถแทรกมือเข้าไปได้จริงๆ อย่าให้เด็กนี่คิดแค้นในใจ แม้ว่าช่วงนี้ฮ่องเต้จะโปรดปรานสนมขั้นสี่แซ่เมี่ยว แต่ฮองเฮาองค์ปัจจุบันคือผู้ที่ชนะฮองเฮาทั้งสองก่อนหน้านี้ รัชทายาทถึงได้เข้าไปครองวังตะวันออก เป็นผู้ที่ครองตราหงส์ได้นานที่สุดของราชวงศ์นี้ ภายในวังหลังมีความแค้นมากมาย จิตใจล้ำลึก ตัวของสนมขั้นสี่แซ่เมี่ยวเองไร้บุตร แม้ว่าจะรับเลี้ยงองค์ชายสิบหกและองค์ชายสิบเจ็ด แต่ว่าองค์ชายทั้งสองก็ยังอายุน้อยมาก ฮ่องเต้มีอายุมากแล้ว…ตอนนี้แผ่นดินไม่สงบสุข ผู้ปกครองประเทศในอนาคต…ก็ยังพูดไม่ได้”
พูดถึงขนาดนี้แน่นอนว่าฮูหยินผู้เฒ่าซ่งเองก็เข้าใจความหมายของเขา ฮ่องเต้ปัจจุบันชราแล้ว แม้ว่าจะโปรดปรานสนมใหม่อย่างสนมแซ่เมี่ยว สถานการณ์ของฮองเฮาก็ยังไม่ดีนัก แต่ว่ารากฐานของสนมแซ่เมี่ยวเบาบาง หากว่าก่อนที่ฮ่องเต้จะสวรรคตไม่สามารถวางแผนการทั้งหมดให้กับองค์ชายสิบหกและองค์ชายสิบเจ็ดได้ ต่อให้เหลือองค์ชายทั้งสองเอาไว้ขึ้นครองบัลลังก์และแต่งตั้งสนมแซ่เมี่ยวเป็นฮองเฮา แต่ว่าสถานการณ์ของต้าเว่ยในตอนนี้…ในราชสำนักไม่มีทางสนับสนุนให้องค์ชายอายุน้อยขึ้นครองราชย์แน่
ดังนั้นจึงพูดว่าผู้ปกครองคนใหม่ยากจะคาดได้ หากว่าซ่งไจ้สุ่ยมีวันที่ได้เป็นมารดาแห่งแผ่นดินวันใด แต่กลับแค้นใจที่วันนี้ตระกูลเว่ยไม่ช่วยเหลือนาง ก็เท่ากับเป็นการสร้างความแค้นต่อฮองเฮาไป เรื่องนี้จะต้องป้องกันไว้ ฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้าแล้วกล่าว “ไจ้สุ่ยคือเด็กที่ฉลาดคนหนึ่ง นางรู้สาเหตุที่ข้ากับอวี่เวยไม่สามารถช่วยนางได้ ตลอดระยะเวลาที่อยู่มาหลายเดือนต่างก็ไม่เคยกล่าวถึง กลับไปข้าจะไปพูดกับนางให้ชัดเจน อย่างไรก็ให้นางแค้นเคืองตระกูลของพวกเราว่าไม่สนใจช่วยเหลือนางไม่ได้”
“ทางฝั่งซ่งไจ้เถียนเองก็ให้สะใภ้ใหญ่ไปพูด” เว่ยฮ่วนกล่าวเตือน “น้องสาวแท้ๆ ของเขาไม่ยอมฟังคำสั่งของบิดาและอยู่ที่บ้านของพวกเรามาหลายเดือน เกรงว่าในใจของซ่งไจ้เถียนเองก็คงไม่สบอารมณ์นัก คิดว่าพวกเราจงใจตามใจนาง อย่างไรก็ต้องอธิบายให้ชัดเจน เพื่อไม่ให้วันหลังต้องเสียใจที่ญาติกันต้องกลายเป็นศัตรู”
ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งเสียดายซ่งไจ้สุ่ยอย่างไร ตอนนี้ที่สำคัญที่สุดก็ยังเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเอง ได้ยินเว่ยฮ่วนกำชับไม่จบไม่สิ้น ก็กล่าวอย่างหมดความอดทนว่า “เรื่องพวกนี้ข้ารู้ดี ท่านรีบส่งคนไปหาโม่ปินเว่ยเถอะ! หากว่าได้คนคนนี้มา และเป็นผู้ที่มีความสามารถจริงๆ อย่างที่ทุกคนกล่าวมา การที่พวกเราถูกจือเปิ่นถังวางแผนครั้งนี้ก็ไม่นับว่าเสียเปรียบไปทั้งหมดแล้ว”
……………………………………………