ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง - ตอนที่ 34
ฮูหยินซ่งได้ยินว่าท่านอาในอนาคตของบุตรสาวจะมาที่เฟิ่งโจวก็ตกใจไป แล้วจัดการโยนเรื่องทั้งเล็กใหญ่ในมือทั้งหมดทิ้งทันที นางมาที่เรือนเสียนซวงด้วยตนเอง แล้วจัดการดึงบุตรสาวที่กำลังจะไปฝึกวิชายุทธ์เอาไว้ “ชัยชนะทางตอนเหนือ ราชโองการชื่นชมและรางวัลของทางราชสำนักอีกไม่กี่วันก็จะมาถึงเฟิ่งโจวแล้ว! และผู้ที่เป็นทูตนำราชโองการมาประกาศครั้งนี้ก็คือเสิ่นโจ้ว ดังนั้นเจ้ารีบจัดการเก็บพวกวุ่นวายนี้เสีย แล้วไปเรียนรู้พิธีการอย่างคุณหนูตระกูลใหญ่ควรจะมีให้ดี! หากว่าถึงตอนนั้นเสียหน้า ดูว่าข้าจะจัดการเจ้าอย่างไร!”
เว่ยฉางอิ๋งถูกจับหมั้นเป็นสะใภ้ของตระกูลเสิ่นตั้งแต่ยังเป็นทารก จึงได้ยินเรื่องราวคนของตระกูลมาบ้าง แน่นอนว่ารู้ว่าเสิ่นโจ้วคือใคร ได้ยินดังนี้ก็ตกใจจนหน้าเปลี่ยนสีแล้วกล่าวว่า “ทำไมถึงได้เป็นเขา?!”
“นับเวลาแล้ว หากว่าวันนี้ตระกูลเสิ่นยังไม่ส่งคนมา ผ่านไปอีกเดือนสองเดือนก็ต้องมีคนมา หรือว่าไม่ให้มาทักทายกันแล้วพอปีหน้าก็ให้คนกลุ่มหนึ่งมารับเจ้าไปเลยล่ะ?” ฮูหยินซ่งจิกตามองใส่นางแล้วกล่าวว่า “เจ้าคิดว่าตระกูลเสิ่นกับตระกูลเว่ยเป็นตระกูลเล็กๆ หรือ แค่เกี้ยวหนึ่งอันก็สามารถแต่งได้แล้วหรือ?”
“หากว่าเป็นอย่างนั้นก็ดี จะได้ไม่ต้องวุ่นวายกับขั้นตอนพวกนั้น!” เว่ยฉางอิ๋งทอดถอนใจ ทำให้ฮูหยินซ่งโมโหจนยกมือขึ้นไปตบหัวนางทันทีแล้วกล่าวอย่างแค้นใจว่า “ทั้งชีวิตมีงานแต่งงานเพียงครั้งเดียว มีตั้งกี่คนที่แค้นใจที่ตนเองไร้วาสนาไม่ได้เกิดในตระกูลใหญ่ จึงได้แต่ต้องแต่งงานไปอย่างเงียบเหงาและน้อยใจ แต่ว่าเจ้า! กลับยังรังเกียจพิธีเหล่านั้นอีก?! ซานเหมยลิ่วเจิ้ง[1]อย่างภรรยาเอกอย่างไรก็ต้องแต่งงานไปอย่างซับซ้อนหรูหรา หากไม่ซับซ้อนก็ต้องเป็นอนุภรรยา ประตูยังไม่ต้องเข้า! เจ้าคิดจะทำอะไร?!”
เว่ยฉางอิ๋งรีบยิ้มออกมา แล้วดึงแขนนางไว้พลางกล่าวเสียงหวานว่า “ข้าเพียงคิดว่าตอนนี้ท่านแม่เป็นนายหญิง ข้าแต่งงานออกไปพิธีการซับซ้อน ไม่ใช่ว่าทำให้ท่านแม่เหนื่อยหรือ คิดแล้วข้าก็ปวดใจ! จึงคิดว่าพิธีการนี้ง่ายหน่อยก็ดี เดิมท่านแม่จัดการในบ้านทั้งบนล่างก็เหนื่อยมากแล้ว แล้วข้าจะทนเห็นการที่ข้าต้องแต่งงานออกไปทำให้ท่านแม่ต้องเหนื่อยเพิ่มขึ้นได้หรือ?”
ฮูหยินซ่งได้ยินเข้าใบหน้าก็แทบจะเปล่งประกายออกมา มองไปยังบุตรสาวด้วยแววตาอบอุ่นนุ่มนวลราวกับจะกลั่นเป็นน้ำได้ เสียงยิ่งเบาและอ่อนนุ่มราวกับกำลังปลอบประโลมทารกอย่างนั้น “ลูกข้า! ได้ยินเจ้าพูดอยากนี้ ต่อให้แม่ต้องเหนื่อยตายแม่ก็ยินดี!”
ไม่รอให้เว่ยฉางอิ๋งพูดอะไรเหลวไหลอีก ฮูหยินซ่งกล่าวต่อว่า “แม้ว่าเจ้าจะมีใจกตัญญู แต่ว่าแม่จะไม่คิดแทนเจ้าได้หรือ ยังไม่ต้องพูดถึงฐานะของเจ้า อย่างไรพิธีมากมายก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ อีกอย่างตระกูลเสิ่นเองก็ไม่ได้ต่ำต้อยไปกว่าพวกเรา สะใภ้ใหญ่สะใภ้รองของตระกูลเสิ่นนั่น ใครบ้างไม่ได้แต่งงานเข้าไปอย่างหรูหรายิ่งใหญ่ บ้านแม่ของพวกนางหากว่ามาเทียบกับเจ้า หากว่าพวกเราจัดกันอย่างง่ายๆ ข่าวแพร่ไปเมืองหลวงคงคิดว่าคุณหนูใหญ่อย่างเจ้าไม่ได้รับความรักความเอ็นดูน่ะสิ! ดังนั้นคราวนี้อย่างไรก็จะลดไม่ได้เด็ดขาด!”
ใบหน้าของเว่ยฉางอิ๋งยิ้มน้อยๆ แล้วพยักหน้าฟัง ในใจก็อดที่จะคร่ำครวญออกมาไม่ได้ ‘ข้ารู้อยู่แล้วว่าแต่งงานไปตระกูลเสิ่นอย่างไรก็ต้องมีพิธีการมากอยู่แล้ว เดิมคิดว่าอย่างไรงานแต่งงานก็ยังอยู่ตั้งเดือนสี่ ก่อนปีหน้าอย่างไรก็ยังว่างได้บ้าง…แล้วทำไมได้รับชัยชนะมาจากตอนเหนือกลับทำให้ได้รับราชโองการ ตระกูลไหนก็เป็นทูตนำมาได้แต่ต้องเป็นคนของตระกูลเสิ่นที่นำมา! ดูจากท่านแม่แล้ว เกรงว่านับจากวันนี้ไปคงต้องคุมข้าฝึกซ้อมแน่…’
สิ่งที่นางคร่ำครวญนั่นไม่ผิดเลย ฮูหยินซ่งถูกคำหวานของบุตรสาวทำให้ซาบซึ้งใจมาก จึงยิ่งยืนกรานว่าก่อนที่เสิ่นโจ้วจะมาถึงนางจะต้องพยายามทำให้บุตรสาวกลายเป็นคนที่ไม่ว่าใครพบใครก็รักสักหน่อย ไม่ผิด อยากจะให้ผู้ใหญ่มีความสุข เดินไปตามเส้นทางมีเมตตาคุณธรรมเก่งการเรือนไม่มีทางมีปัญหาแน่!
โดยเฉพาะตระกูลสืบทอดบรรดาศักดิ์เช่นเดียวกับตระกูลเว่ย…
จริงๆ แล้วเว่ยฉางอิ๋งนั้นแม้ว่าจะฝึกฝนวิชายุทธ์ตลอด แต่ว่าพิธีมารยาทที่บุตรสาวตระกูลใหญ่ต้องมีก็ใช่ว่าจะไม่เคยฝึกซ้อม พิธีการเหล่านี้คือรากฐานที่ลูกหลานตระกูลสูงศักดิ์ต้องมี เป็นสัญลักษณ์แสดงฐานะ ยิ่งเป็นบุตรภรรยาเอกที่ได้รับความสำคัญยิ่งต้องเข้มงวดมากขึ้น ไม่ว่าความชอบจะคิดอะไรก็ไม่สามารถไม่เรียนได้
เพียงแต่ใจนางไม่ได้อยู่ตรงนี้ ยังห่างจากความต้องการของฮูหยินซ่งที่ ‘ต่อให้มีลูกหลานตระกูลสูงอยู่เต็มโถงก็ยังสามารถมีมารยาทโดดเด่นจนเหนือทุกคนได้’ แบบนี้คือความจริง…
ยังดีที่เมื่อเว่ยฉางอิ๋งไปหาฮูหยินผู้เฒ่าซ่งและไปฟ้องทั้งน้ำตาแล้ว แม้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าซ่งจะรู้สึกยิ้มไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ แต่ก็ยังมีความคิดอื่น ดังนั้นภายหลังจึงรีบไปหาฮูหยินซ่งที่กำลังจะพาเว่ยฉางอิ๋งไป ฝึกพิธีมารยาทแล้วกล่าวว่า “มารยาทของฉางอิ๋งตอนนี้ไม่ได้เสียหน้าตระกูลใหญ่ หากจะบอกว่าต้องโดดเด่นเหนือทุกคนนั้น อย่างไรก็ไม่ใช่อะไรที่จะฝึกได้ในเวลาสั้นๆ…” พูดถึงเรื่องนี้แล้วฮูหยินผู้เฒ่าซ่งกับฮูหยินซ่งต่างก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ตระกูลใหญ่เน้นเรื่องพิธีมารยาท แต่หากว่าพูดถึงพิธีการมารยาทแล้ว ตระกูลใหญ่ทั้งหกต่างก็มีผู้มีชื่อถือกำเนิดมากมาย กระทั่งมารยาทของเว่ยเจิ้งหงก็ยังนับได้ว่าเป็นอันดับต้นๆ
หากว่าเว่ยเจิ้งหงดี เขาจะไม่อบรมบุตรสาวตั้งแต่ยังเล็กได้หรือ แล้วตอนนี้เว่ยฉางอิ๋งยังจะต้องกังวลอะไรอีก
ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งกดอารมณ์ปวดใจลงไปแล้วกล่าวต่อว่า “ตอนนี้ที่สำคัญคือการที่สามารถสนทนากับเสิ่นโจ้วได้ ข้าว่าพวกเราไม่ต้องกังวลใจไปหรอก…ตอนนี้พวกเรามีเรื่องต้องยุ่งอีกมาก ให้ไจ้สุ่ยสอนนางเถอะ ไจ้สุ่ยเด็กคนนี้ใครเห็นจะไม่รักใคร่นาง ฉางอิ๋งได้เรียนรู้ความสามารถจากนางบ้าง ในตระกูลมีชื่อก็ไม่มีใครว่าอะไรนางได้แล้ว”
ฮูหยินซ่งฟังความหมายของฮูหยินผู้เฒ่าซ่งออกทันที ข่าวที่ซ่งไจ้เถียนเองก็ตามมาด้วย เพื่อมารับน้องสาวแท้ๆของตนกลับไปเมืองหลวงนั้น ตอนนี้คนในตระกูลเว่ยยังไม่ได้บอกกล่าวซ่งไจ้สุ่ย
หนึ่งเพราะรู้ว่าซ่งไจ้สุ่ยนั้นต่อต้านการแต่งงานไปในราชวงศ์มาก แต่ว่าทั้งบิดาและพี่ชายใหญ่กลับยืนกรานแน่วแน่ ตระกูลเว่ยนั้นไม่ว่าจะเป็นความสามารถหรือเหตุผลอย่างไรก็ช่วยนางไม่ได้ เรื่องนี้นางรู้ดี แต่ว่าหากจะให้ซ่งไจ้สุ่ยต้องทุกข์ขึ้นมาก่อน สู้ให้นางไม่รู้ดีกว่า ให้นางได้มีความสุขไปอีกหลายวัน! อย่างที่สองคือกังวลว่าซ่งไจ้สุ่ยเป็นคนมีแผนการ เมื่อถูกบีบคั้นมากๆ เข้าจะทำอะไรขึ้นมา…ซ่งไจ้เถียนยังมาไม่ถึง หากว่าเด็กสาวคนนี้เกิดอะไรขึ้น ตระกูลเว่ยก็ต้องรับผิดชอบ จึงปิดบังนางเสีย รอให้ซ่งไจ้เถียนมาถึงก่อน แล้วให้พี่น้องทั้งสองไปจัดการกันเอง…ถึงตอนนั้นหากว่ามีอะไรเกิดขึ้นก็ต้องให้ซ่งไจ้เถียนเป็นคนจัดการ
แต่ว่าพี่ชายคนรองของซ่งไจ้สุ่ยอย่างซ่งไจ้เจี้ยงกลับคัดค้านการที่จะส่งน้องสาวเข้าวังมาตลอด แม้ว่าคราวนี้ซ่งอวี่วั่งจะส่งบุตรชายคนโตมาที่เฟิ่งโจวเอง และต้องคอยจับจ้องซ่งไจ้เจี้ยงให้ดี แต่ว่าเรื่องราวก็มีเหนือความคาดหมาย หากว่าซ่งไจ้เจี้ยงยังมีวิธีส่งข่าวให้ซ่งไจ้สุ่ยรู้ก่อนล่ะ?
แขกคนนี้ จิตใจทั้งละเอียดและรู้สึกเร็ว การจะจับจ้องนางก็ไม่ให้นางรู้สึกสงสัยได้นั้นไม่ง่ายเลย ดังนั้นจึงสู้ให้เว่ยฉางอิ๋งไปเรียนรู้จากซ่งไจ้สุ่ยดีกว่า ทั้งสั่งสอนเว่ยฉางอิ๋ง ทั้งสามารถจับจ้องซ่งไจ้สุ่ยได้
แม้ว่าซ่งไจ้สุ่ยจะอายุมากกว่าเว่ยฉางอิ๋งเพียงหนึ่งปี แต่ว่าคุณหนูคนนี้ถูกอบรมเป็นมารดาแห่งแผ่นดินตั้งแต่ยังเล็ก ดังนั้นการเลี้ยงดูที่ได้รับและวิธีการที่ได้รับการสั่งสอนจึงมีจุดประสงค์เพื่อควบคุมสามวังหกตำหนัก การจะสั่งสอนเว่ยฉางอิ๋งนั้นมีความสามารถมากพอ
ฮูหยินซ่งถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “น่าเสียดายเด็กคนนี้ พี่ชายไม่อยู่ที่เฟิ่งโจว ตอนนี้ข้าเองก็ไปเมืองหลวงไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะต้องช่วยเตือนพี่ชายแทนนางบ้าง…”
“ตอนนี้เขาทำตัวแปลกไป” ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งกล่าวเสียงเรียบ “ต่อให้เจ้าไปเตือนเขาต่อหน้าก็ไม่มีประโยชน์”
ฮูหยินซ่งเองก็รู้ว่าการกระทำของท่านปู่ บิดาของฮูหยินผู้เฒ่าซ่งนั้น ยังคงทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งและซ่งเหมียนเหอเป็นปรปักษ์ต่อกันจนถึงตอนนี้ และยังส่งต่อไปถึงบุตรสาวของตนเองด้วย…แม้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าซ่งจะไม่ได้ไร้เหตุผลด่าทอทุบตีกับฮูหยินซ่งอย่างที่ทำกับเว่ยฮ่วน แต่ว่าฮูหยินซ่งเองก็รู้ว่าตระกูลซ่งเป็นพวกเน้นความรู้สึก หากยังนำหัวข้อที่ทำร้ายบุตรสาวอย่างนี้มาพูดต่อไปก็จะไม่ดีนัก จึงกล่าวลาว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าไปพูดกับไจ้สุ่ยก่อนไหม?”
ผู้ที่มีความนุ่มนวลมีเมตตาเก่งการเรือนเฉลียวฉลาดในสายตาของผู้ใหญ่ทั้งหลาย และถูกเรียกว่าเป็นแบบอย่างของหญิงตระกูลสูงอย่างซ่งไจ้สุ่ยแน่นอนว่ารับปากการฝากฝังของท่านอาอย่างเต็มใจ และยังรับรองว่าจะต้องถ่ายทอดความสามาถทุกอย่างให้เสิ่นโจ้วชื่นชมเว่ยฉางอิ๋งไม่หยุดปากแน่
ฮูหยินซ่งไม่มั่นใจในตัวของบุตรสาว แต่ว่ากับหลานสาวแล้วนางมั่นใจมาก จึงจากไปอย่างพึงพอใจ
นางจากไป เว่ยฉางอิ๋งที่ซ่อนอยู่หลังม่านก็กระโดดออกมาด้วยท่าทางเหมือนรอดพ้นอันตราย นางตบไปที่อกแล้วกล่าวว่า “อันตราย อันตราย ยังดีว่าตอนที่ท่านแม่มาไม่ได้ยินว่าพวกเรากำลังพูดอะไรกันอยู่”
“ท่านอาถือกำเนิดมาจากตระกูลใหญ่ เจ้าคิดว่าใครก็เหมือนกับเจ้าที่เห็นห้องก็บุกเข้าไปหรือ?” ซ่งไจ้สุ่ยเห็นนางก็รีบโยนท่าทีใจดีมีเมตตาต่อหน้าท่านอาทิ้งทันทีแล้วยิ้มเย็นพลางกล่าวออกมา หลายเดือนมานี้นางมองชัดแล้วว่า พูดด้วยเหตุผล พูดด้วยกฎเกณฑ์กับน้องสาวนางคนนี้ นั่นไม่ต่างอะไรกับสีซอให้ควายฟัง!
เว่ยฉางอิ๋งผู้ที่ไม่ต้องมีใครสอนก็สามารถใช้ความรักใคร่เอ็นดูมาทำตัวเอาแต่ใจเย่อหยิ่งได้และยังสามารถทำได้อย่างเก่งกาจอีกอย่างนี้ นางเชี่ยวชาญการใช้ประโยชน์จากทุกอย่างเป็นที่สุด แล้วนางจะเป็นคนที่ยอมหยุดนิ่งเพราะคำพูดไม่กี่คำ หรือยอมอยู่ในกรอบเพียงเพื่อศักดิ์ศรีหรือน้ำใจคนหรือ!
ดังนั้นอยากจะจัดการน้องสาวคนนี้ให้ได้…ซ่งไจ้สุ่ยเข้าใจจากประสบการณ์ที่น่าอนาถของตนเองรับรู้ว่าหนทางที่เร็วที่สุดก็คือต่อหน้าเว่ยฉางอิ๋งอย่าได้ไปคิดถึงเรื่องหน้าตา ฐานะหรือน้ำใจอะไรทั้งสิ้น…
และจัดการยกเอาคำพูดเสียดสีในฐานะของฮองเฮาในอนาคตที่เตรียมไว้เพื่อใช้กับเหล่าสนมที่ไม่รู้เบื้องต่ำเบื้องสูงออกมา นางปรายตามองไปที่เว่ยฉางอิ๋งแล้วยิ้มเย็น “ท่านอาที่น่าสงสารของข้า! นางเป็นถึงฮูหยินนายหญิงของบ้าน เดิมก็มีเรื่องยุ่งยากมากมายอยู่แล้วแต่กลับยังมีบุตรสาวที่วางใจไม่ได้อย่างเจ้าอีก! เพื่ออบรมพิธีมารยาทของเจ้าเหล่านี้ ยังต้องมาหาข้าผู้ซึ่งเป็นหลานสาวที่มาขออาศัยอยู่ด้วยตนเอง…กลับไม่รู้เลยว่าบุตรสาวที่อกตัญญูและไม่เอาไหนอย่างเจ้า กลับรีบวิ่งมาหาข้าก่อนแล้วเพื่อขอว่าเมื่อต้องเรียนจะเกียจคร้านอย่างไร! ไม่รู้จริงๆ ว่าชาติที่แล้วท่านอาของข้าไปทำบาปกรรมอะไรเอาไว้ถึงได้มีบุตรสาวอกตัญญูอย่างเจ้า!”
คำพูดเหล่านี้นับว่าแรงมากแล้ว หากว่าเป้นซ่งไจ้สุ่ยเอง ได้ยินอย่างนี้จะต้องโมโหแน่ ทว่าเว่ยฉางอิ๋งกลับไม่แม้แต่จะกะพริบตา แล้วกล่าวด้วยท่าทีจริงใจและแก้ไขให้ว่า “ท่านพี่พูดอย่างนี้ก็ไม่ถูก! นับตั้งแต่ข้ายังเล็ก ท่านย่ากับท่านแม่ต่างก็พูดว่าข้าเป็นหลานสาวที่ขยันขันแข็ง พวกนางขอต่อสวรรค์อยู่ทุกวันคืน ถึงได้รับความเมตตาจากสวรรค์และได้ข้ากับฉางเฟิงมา! หากว่าท่านย่ากับท่านแม่ทำบาปมา…แล้วจะมีพวกข้าสองพี่น้องได้หรือ?”
“…” ซ่งไจ้สุ่ยสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วกล่าวว่า “ก็ได้ ข้าจะไม่พูดกับเจ้าเรื่องกตัญญูหรือไม่แล้ว ข้า…”
“ท่านพี่ท่านผิดอีกแล้ว!” เว่ยฉางอิ๋งกล่าวอย่างทรมานใจ “ข้าอกตัญญูตรงไหนกัน ท่านแม่ก็กล่าวแล้วว่า ขอแค่ข้ามีความสุข นางก็มีความสุข! สองวันนี้เอาแต่เรียนกฎระเบียบตลอดเวลา เรียนจนข้าใกล้จะตายแล้ว! ข้าจะมีความสุขได้หรือ หากว่าข้าไม่มีความสุข แล้วท่านแม่จะมีความสุขได้อย่างไร ดังนั้นข้าจึงมาหาท่านเพื่อปรึกษา นี่ไม่ใช่ว่าเพื่อท่านแม่หรือ?”
ซ่งไจ้สุ่ยแทบจะไม่อยากเชื่อว่านางจะหน้าไม่อายได้ถึงขั้นนี้!!!
ว่าที่ฮองเฮาในอนาคตที่น่าสงสารนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวอย่างเชื่องช้าว่า “พูดอย่างนี้ เจ้ายังเป็นบุตรสาวกตัญญูหรือ?”
“นั่นมันแน่นอน!” ใบหน้าของเว่ยฉางอิ๋งไม่แม้แต่จะแดงแล้วกล่าวอย่างยินดีว่า “ท่านแม่รักใคร่ข้าอย่างนี้ แน่นอนว่าข้าก็ต้องคิดเผื่อท่านแม่! ข้าไม่กตัญญูท่านแม่ แล้วนางจะเอาบุตรสาวคนที่สองจากไหนมากตัญญูนางล่ะ ดังนั้นข้า…”
ซ่งไจ้สุ่ยกุมหน้าอกแล้วถลึงตาใส่นาง ผ่านไปครู่หนึ่งจึงยื่นนิ้วออกไปบิดหูของเว่ยฉางอิ๋งแล้วกล่าวลอดไรฟันว่า “ข้ารู้อยู่แล้วว่าพูดกับเจ้าไปไม่มีทางมีเรื่องดี!! เจ้า…หากว่าไม่ยั่วคนให้โมโหตายเจ้าไม่มีความสุขใช่ไหม เจ้าไม่ยอมพูดดีๆ พูดแล้วจะตายใช่ไหม?! เจ้า! ข้าเสียใจจริงๆ ทำไมข้าถึงไม่ได้เรียนวิชายุทธ์แต่เล็ก ข้าจะต้องฝึกวิชาหมัด หากว่าไม่ทุบเจ้าสักพันครั้งห้าพันครั้ง ความโมโหนี้ของข้าจะระบายออกไปได้อย่างไรกัน?!”
…………………………………..
[1] ซานเหมยลิ่วเจิ้ง : ซานเหมย หมายถึงพิธีการแต่งงานที่จัดโดยพ่อแม่และต้องมีแม่สื่อเป็นผู้แนะนำเพื่อเป็นการแสดงว่าให้ความสำคัญ ฝ่ายชายเชิญแม่สื่อ ฝ่ายหญิงเชิญแม่สื่อ และการที่ทั้งสองฝ่ายเชิญแม่สื่อเพื่อผูกสัมพันธ์ทั้งสองฝ่ายให้ ลิ่วเจิ้ง หมายถึงการจัดโต๊ะบูชาฟ้าดินโดยวางถ้วยข้าวสารหนึ่งอัน ไม้บรรทัดหนึ่งอัน ตาชั่งหนึ่งอัน กรรไกรหนึ่งอัน กระจกหนึ่งอัน และลูกคิดหนึ่งอัน