ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง - ตอนที่ 35
ซ่งไจ้สุ่ยคือผู้ที่นิ่งคนหนึ่ง แม้ว่านางจะบิดหูเว่ยฉางอิ๋งด่าทออย่างดุดัน จริงๆ แล้วนางลงมืออย่างรู้ตัวดี ก็แค่บิดไปอย่างไม่หนักไม่เบาเท่านั้น อย่างไรก็ทำร้ายเว่ยฉางอิ๋งไม่ได้ แต่ว่าเห็นได้ชัดว่าซ่งไจ้สุ่ยจะดูถูกความหน้าไม่อายของเว่ยฉางอิ๋งมากไป โอกาสดีอย่างนี้ เว่ยฉางอิ๋งจะยอมปล่อยไปได้อย่างไร นางไม่กล่าวอะไรแล้วอาศัยตอนที่ซ่งไจ้สุ่ยลงมือมุดเข้าไปซบในอกนางทันที!
ล้มลงไปอย่างนี้ทำเอาซ่งไจ้สุ่ยตกใจจนรีบผุดลุกขึ้นทันที ชะงักไปครู่หนึ่งแล้วร้องออกมาหนึ่งครั้ง รีบปล่อยมือที่บิดหูนางทันทีแล้วประคองเว่ยฉางอิ๋งอย่างตกใจพลางกล่าวว่า “เจ้า เจ้า เจ้าเป็นอะไรไป?!
“คุณหนูเว่ย!” สาวใช้ซ้ายขวารีบประคองไข่มุกบนฝ่ามือของตระกูลเว่ยไปนั่งลงที่เบาะ และทุบขาทุบหลังทั้งยังรินน้ำปรนนิบัติให้นอนลง กำลังคิดจะเตือนซ่งไจ้สุ่ยว่าต้องไปตามหมอมาไหม ก็เห็นว่าเว่ยฉางอิ๋งที่แสร้างทำท่าทีหมดสติมาตลอดนั้นกลับเปิดตาขึ้นมาเล็กน้อย ซ่งไจ้สุ่ยตกใจและทำอะไรไม่ถูกพร้อมประคองนางขึ้นมาแล้วกล่าวเสียงนุ่มว่า “ฉางอิ๋งคนดี เจ้า…เจ้าเป็นอะไรหรือ?”
นางไม่ได้ลงมือแรงเลยจริงๆ นะ! ตนเองกับน้องสาวคนนี้ไร้ความแค้นกัน นางยังไม่ใช่คนหยาบกระด้างอย่างเว่ยฉางอิ๋ง หยิกหูกันไม่กี่ทีระหว่างเด็กหญิง…นี่…ทำไมล้มลงไปได้ล่ะ?
ซ่งไจ้สุ่ยทำอะไรไม่ถูก ก็เห็นเว่ยฉางอิ๋งทำท่าหายใจรวยริน แทบจะสลักคำว่า ‘ข้าใกล้ตายแล้ว’ เอาไว้บนใบหน้า แล้วยื่นมือสั่นระริกมาคว้ามือของตนเองไว้พลางกล่าวต่อไปว่า “ท่าน ท่านพี่! ข้า…ข้าไม่ไหวแล้ว…ข้า…”
แค่พริบตาเดียวกลับหนักหนาถึงขั้นจะต้องตายจากกัน หญิงรับใช้ทั้งหลายตกใจราวกับอยู่ในฝันตั้งสติไม่ได้ แต่ว่าซ่งไจ้สุ่ยกลับเข้าใจแล้ว ว่าที่ฮองเฮาที่เข้าใจเรื่องราวพลันมีสีหน้าเย็นชาทันที!
นิ้วมือที่เพิ่งจะทาน้ำยาทาเล็บจากดอกเฟิ่งเซียน[1]สั่นระริก ปลายนิ้วทั้งสิบแทบอยากจะให้มีเลือดหยดออกมา แล้วบีบไปที่คอของเว่ยฉางอิ๋ง “ใครใช้ให้เจ้าทำให้ตกใจ!!!”
ตอนนี้คุณหนูซ่งที่น่าสงสารนั้นรู้สึกเสียใจมาก! ตอนแรกนางไม่ยินดีจะจากเจียงหนานไปเมืองหลวง เพื่อลากเวลาไปเมืองหลวงให้นานขึ้น ระหว่างทางอย่างไรก็ต้องมาหาฮูหยินซ่งที่เป็นท่านอาให้ได้ เพิ่งจะมาถึงตระกูลเว่ย ฮูหยินซ่งได้เห็นหลานสาวของตนเองก็ดีใจมาก แต่ว่าเมื่อพูดถึงน้องชายน้องสาวที่อยู่รุ่นเดียวกันแล้ว กลับถอนหายใจออกมาแล้วกล่าวว่าบุตรสาวบุตรชายสองนางทั้งคู่นี้ น้องชายอย่างเว่ยฉางเฟิงยังดี แต่ว่าน้องสาวอย่างเว่ยฉางอิ๋งกลับมีนิสัยบ้าอำนาจเอาแต่ใจ อยู่กันไม่ได้ง่ายๆ ขอให้นางอภัยให้มากๆ…
ตอนแรกเริ่มซ่งไจ้สุ่ยยังระวังตัวเวลาที่อยู่ด้วยกันกับน้องสาว แต่เมื่อหลายครั้งเข้าก็รู้สึกว่านางจะร่าเริงไปหน่อย ทั้งยังชอบวิชายุทธ์มากไป นิสัยเองก็ตรงไปตรงมาเปิดเผย ทำไมท่านอาถึงได้กล่าวถึงนางอย่างนั้นล่ะ นางคิดดูแล้วบางทีท่านอาอาจจะไม่ชอบใจที่น้องสาวสนใจวิชาต่อสู้ เวลากล่าวถึงนางถึงได้ถ่อมตนไปบ้าง ดังนั้นถึงได้พูดถึงน้องสาวที่ดีของนางเสียเกินไปอย่างนั้น
ตอนนี้คิดแล้วเป็นตัวนางเองที่ตาบอด! ฮูหยินซ่งคือท่านอาแท้ๆ ของตนชัดๆ! แล้วนางจะมาหลอกตนได้อย่างไร?!
ที่เสแสร้างถูกมองออกแล้ว เว่ยฉางอิ๋งก็กลับมามีพลังดั่งเดิม เมินสายตาของเหล่าสาวใช้ทั้งหลายที่มองมาไป แล้วดึงมือซ่งไจ้สุ่ยออกราวกับไม่มีเรื่องอะไรพร้อมลุกขึ้นไปนั่งเอนบนเบาะ ขาข้างหนึ่งตกไปข้างเตียงแล้วส่ายไปมาอย่างสบายใจ พลางหัวเราะแล้วทำหน้าผีกล่าวว่า “ไอหยา! ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านพี่ฉลาดอย่างนี้ข้าจะต้องปิดบังท่านไม่ได้แน่…”
“เจ้าออกไป! ออกไปเดี๋ยวนี้!” ซ่งไจ้สุ่ยถูกนางทำให้โมโหจริงๆ แล้ว นางคิดว่าหลายปีมานี้นางถูกท่านย่าสั่งสอนมาเป็นว่าที่ฮองเฮาในอนาคตนั้นทำให้ตนเองภายหลังเมื่อไปควบคุมสามวังหกตำหนักแล้วจะสามารถมีใจกว้างยอมรับเหล่านางสนมทั้งหลายได้ การจะยอมเว่ยฉางอิ๋งสักคนจะเป็นอะไรไป แต่ว่าตอนนี้นางพบว่าตนเองผิดไปแล้ว เหล่านางสนมเหล่านั้นจะสามารถเทียบกับเว่ยฉางอิ๋งได้อย่างไร น้องสาวคนนี้มีวิธีการมีพรสวรรค์ในการยั่วโมโหคนเหนือคนอื่นมาก!
“ไม่ได้ไม่ได้ ข้าออกไปไม่ได้!” เว่ยฉางอิ๋งได้ยินกลับล้มตัวลงไปบนที่นอนต่ออย่างหน้าไม่อาย พลางกล่าวอย่างมีพลังว่า “เมื่อครู่ท่านพี่บิดหูข้า ตอนนี้ข้ายังเจ็บอยู่เลย! ข้าว่าข้าต้องนอนพักสักสามวันห้าวันถึงจะฟื้นฟูกลับมาได้ ระหว่างนี้ พิธีมารยาทการสนทนาอะไร ข้าแค่นอนฟังไปก็พอแล้ว!”
ซ่งไจ้สุ่ยแทบจะอยากเอาเหยือกผลไม้แช่เย็นข้างเตียงราดไปบนร่างของนาง!
“ก็แค่บิดเท่านี้…เจ้าว่า เจ้าจะต้องพักผ่อนสามวันห้าวันหรือ?” ซ่งไจ้สุ่ยกำพัดทรงกลมไว้ในมือ แล้วพัดไปมา สายตาก็จับจ้องไปที่ร่างของเว่ยฉางอิ๋งราวกับมีด น้ำเสียงราวกับลอดมาจากไรฟัน “เจ้า…เจ้าคิดว่าเจ้าทำมาจากเต้าหู้หรือ หรือว่าทำมาจากกระจก?!”
เว่ยฉางอิ๋งถอนหายใจน้อยๆ “ไข่มุกบนฝ่ามือที่ได้รับความรักความเอ็นดูอย่างพวกเรานี้ แม้ว่าจะไม่ได้ทำมาจากเต้าหู้หรือกระจก แต่ว่าจะต้องเป็นเต้าหู้อย่างไหนหรือกระจกอย่างไหนถึงจะมีค่าเท่ากับพวกเราได้กัน บุตรสาวตระกูลสูง ห้ามทำตนตกอยู่ในอันตราย ข้าจะต้องไม่ทำให้ชะตาชีวิตที่ลิขิตให้ถูกรักใคร่เอ็นดูจกสวรรค์ของข้าต้องเสียเปล่าแน่! ข้าจะต้องรักษาตนเองดีๆ! ดังนั้น ท่านพี่…การสนทนาพิธีมารยาทนี่ หลายวันนี้ก็พักไว้ก่อนเถอะ รอให้ร่างข้าหายดีแล้ว พวกเราค่อยมาปรึกษากันใหม่…”
“ใช่แล้วๆ เจ้าคือไข่มุกบนฝ่ามือที่ได้รับความรักใคร่เอ็นดู แต่ว่าข้าคืออะไร?” สีหน้าของซ่งไจ้สุ่ยเข้มขึ้นทันที เข้มจนราวกับท้องฟ้าที่กำลังจะมีฝนตกลงมา น้ำเสียงเย็นจนทำให้คนฟังต้องตัวสั่น นางโมโหจริงๆ แล้ว พัดก็ไม่พัดแล้ว และนำมาเท้าคางไว้ ดวงตาสั่นระริก แล้วกล่าวทีละคำออกมาว่า “ข้าที่ไม่มีท่านแม่คอยรักใคร่มาตั้งแต่เล็ก ผู้ที่อนาคตเลือนราง ถือว่าเป็นไข่มุกบนฝ่ามือตรงไหนกัน เจ้าเคยเห็นไข่มุกบนฝ่ามือคนไหนบ้างที่ยังไม่ทันจะแต่งงานไปก็ต้องมีบุตรสาวบุตรชายเป็นฝูงคอยมารุมเรียกว่าแม่ใหญ่แล้ว บ้านแม่ไม่มีการปรึกษาก็คิดจะบีบเจ้าให้แต่งงานไปน่ะ?!”
ความแค้นเคืองในการแต่งงานของซ่งไจ้สุ่ย มากถึงขนาดทำให้เว่ยฉางอิ๋งไม่กล้าหาเรื่องนางต่อหน้า นางรีบเก็บท่าทีเสแสร้งทันทีแล้วกล่าวอย่างเอาใจว่า “ท่านพี่ทำไมต้องทุกข์ขนาดนี้ด้วย ข้าว่านับจากจดหมายครั้งที่แล้ว หลายวันนี้ท่านลุงก็ไม่ได้ทำอะไรอีก ไม่แน่ว่าท่านลุงอาจจะเปลี่ยนใจแล้วก็ได้ ใช่ไหม?”
คำพูดของนางพวกนี้ก็เพียงแค่ปลอบประโลมซ่งไจ้สุ่ยเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าซ่งไจ้สุ่ยกลับละเอียดลออมาก และเหมือนถูกกล่าวเตือน พลันตกใจขึ้นมาทันทีจนเกือบจะทำพัดตกลงไปแล้วกล่าวอย่างใจลอยว่า “ใช่แล้ว ก่อนหน้านี้ท่านพ่อกล่าวในจดหมายว่า ชินเทียนหลัน[2]ได้กำหนดวันแล้ว กล่าวว่าไม่ว่าอย่างไรก็ต้องให้ข้าไปได้แล้ว! ข้าไม่ได้สนใจ ทั่วไปแล้วหากท่านพ่อรู้จะต้องรีบเขียนจดหมายมาอีกแน่! แล้วทำไมถึงได้ไม่มีการเคลื่อนไหวเลย?”
เว่ยฉางอิ๋งตบโต๊ะแล้วกล่าวว่า “ท่านดู ท่านว่าท่านลุงไม่รักใคร่ท่าน ไม่แน่ว่าก่อนหน้านี้จดหมายนั้นอาจเขียนให้คนอื่นอ่านก็ได้ อาจจะไม่ได้เขียนมาเพื่อเร่งให้ท่านไปเข้ากองไฟที่เมืองหลวงเร็วๆ หรอก!”
ซ่งไจ้สุ่ยขมวดคิ้วแน่นแล้วกล่าวเสียงเย็นว่า “เจ้าจะรู้อะไร ข้ากำลังคิดว่า หรือว่าท่านพ่อ…ท่านพ่อเห็นข้าไม่ยอมเชื่อฟังมาตลอด จึงแอบลอบเขียนจดหมายให้คนข้างกายข้า ให้พวกเขาบังคับข้ากลับไป ถึงได้ไม่มาเร่งข้าอีกแล้ว?”
“…คงไม่ถึงขนาดนั้นหรอก?” เรื่องที่ซ่งไจ้เถียนได้ตามเสิ่นโจ้วมาที่เฟิ่งโจวนั้น ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งและฮูหยินซ่งไม่ได้บอกเว่ยฉางอิ๋ง ดังนั้นเว่ยฉางอิ๋งจึงไม่รู้เรื่องนี้ แต่เมื่อได้ยินที่ซ่งไจ้สุ่ยคาดเดาก็รู้สึกว่าในเมื่อซ่งอวี่วั่งดื้อดึงต้องการให้ซ่งไจ้สุ่ยแต่งไปกับราชวงศ์ขนาดนั้น ตามหลักแล้วไม่น่าจะเปลี่ยนความคิดได้เร็วขนาดนั้น…ความคาดเดาของซ่งไจ้สุ่ยอาจจะเป็นไปได้จริงๆ เว่ยฉางอิ๋งลังเลไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “หลายวันมานี้คนข้างกายท่าน…”
แววตาของนางมองไปยังสาวใช้ข้างกายของซ่งไจ้สุ่ยอย่างชุนอิ่ง เซี่ยอิ่ง ชิวอิ่งและตงอิ่ง สาวใช้ทั้งสี่ต่างก็ร่ำร้องในใจ แล้วพากันคุกเข่าลงพลางกล่าวว่า “บ่าวไม่เคยได้รับจดหมายอะไรเลย บ่าวรับใช้คุณหนูแล้วจะทรยศคุณหนูได้อย่างไร?”
ยังดีว่าเจ้านายของพวกนางซ่งไจ้สุ่ยแววตาเฉียบคมฉลาดเฉลียว จึงถลึงตาใส่เว่ยฉางอิ๋งแล้วกล่าวว่า “อาศัยพวกนางทั้งสี่หากว่าอยากจะบังคับให้ข้าไปเมืองหลวง แม้ว่าจะมีจดหมายลับ หากจะให้ก็ต้องให้กับพวกทหารคุ้มกันข้าเหล่านั้น!”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไร้ทางเลือกแล้ว เหล่าทหารคุ้มกันพวกนั้นไม่อยู่เรือนหลัง ข้าไม่แม้แต่จะได้เจอด้วยซ้ำ” เว่ยฉางอิ๋งขมวดคิ้วแล้วกล่าว “หรือว่าให้ฉางเฟิงช่วยไปหาข่าวให้ท่านดี?”
ซ่งไจ้สุ่ยกัดริมฝีปาก แล้วครุ่นคิดไประยะหนึ่งแต่กลับส่ายหัวแล้วกล่าวว่า “ฉางเฟิงยังอายุน้อย และก่อนหน้านี้เขาก็ไม่เคยสนใจคนเหล่านั้นมาก่อน ตอนนี้กลับไปสืบข่าว แล้วจะไม่ให้คนสงสัยหรือ?”
ชะงักไปแล้วซ่งไจ้สุ่ยก็กล่าวช้าๆ ว่า “ตอนนี้อากาศยังร้อนมาก หากว่าพวกเขาต้องรายงานท่านย่ากับท่านอาว่าจะพาข้าไป ตลอดทางอย่างไรก็ต้องใช้น้ำแข็ง รถม้าที่ข้ามาก็ควรจะต้องจัดการแล้ว…ข้าว่าให้คนสังเกตสองอย่างนี้ดีกว่า”
เว่ยฉางอิ๋งลอบชื่นชมความละเอียดรอบคอบของซ่งไจ้สุ่ยแล้วพยักหน้าพลางกล่าวว่า “ได้!” แต่ว่านางคิดแล้วก็ยังรู้สึกว่า…
“แต่หากว่าท่านลุงเขียนจดหมายให้กับเหล่าทหารพวกนั้นจริงๆ พวกเขาก็ต้องรายงานท่านย่า อย่างไรก็เป็นความต้องการของท่านลุง ท่านย่าจะไปคัดค้านก็ไม่ดีนัก ท่านพี่แม้ว่าจะรู้ว่าพวกเขากำลังวางแผนอะไรแต่ว่าจะทำอย่างไรกัน?” เว่ยฉางอิ๋งกล่าวเตือนอย่างลังเล
ซ่งไจ้สุ่ยถลึงตาใส่นางครู่หนึ่ง แล้วจึงกล่าวด้วยใบหน้าเข้มว่า “รู้แล้วข้าก็ต้องคิดหาวิธีให้ได้?! เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าจะต้องคิดหาวิธีไม่ได้!”
“จริงๆ แล้วข้ามีวิธีหนึ่ง” เว่ยฉางอิ๋งกล่าวแผนการอย่างกระตือรือร้น “ข้าไปหาลุงเจียงให้ทำยาสลบมา ระหว่างทางท่านก็ทำให้เหล่าทหารพวกนั้นสลบไปเสีย จากนั้น…”
“เจ้ากลับไปที่เรือนเสียนซวงไม่ก็ไปหาลุงเจียงคนนั้นของเจ้าเถอะ!” ซ่งไจ้สุ่ยโยนพัดทรงกลมไปที่ร่างของนาง แล้วกล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “ยังไม่ต้องพูดว่าข้าจะใส่ยาสลบลงในอาหารของพวกเขาอย่างไร และยังไม่ต้องพูดถึงว่าเหล่าทหารพวกนั้นไม่แน่ว่าจะไม่มีใครรู้เรื่องยาสลบอีก ต่อให้พวกเขาสลบไปแล้ว…แต่ว่าใครจะมารับใช้ข้าปกป้องข้ากัน?!”
เว่ยฉางอิ๋งไม่ได้รู้สึกว่าความคิดของตนเองเหลวไหลเลยสักนิด ทั้งยังไม่ไร้สมองเลย “อ๋า ข้าก็แค่เห็นว่าท่านพี่ไม่อย่างไปอย่างนี้ วิธีที่คิดได้ก็แค่เรื่องยาสลบ แม้ว่าความคิดที่ข้าพูดออกมาจะไม่ดี แต่ว่าท่านพี่ฉลาดขนาดนี้ ข้าเตือนสักหน่อยบางทีท่านอาจจะคิดแผนการอะไรขึ้นมาได้ก็ได้?”
ซ่งไจ้สุ่ยโบกมืออย่างไร้เรี่ยวแรง “เจ้าไปเถอะเจ้าไปเถอะเจ้ารีบไปเร็วๆ เถอะ! ไม่ต้องมารบกวนข้า ตอนนี้ข้าอยากจะอยู่คนเดียวเงียบๆ!”
ถูกไล่ออกมาจากเรือนหมิงเซ่อแล้ว ลวี่ฉือถึงได้กล่าวอย่างระวังว่า “คุณหนูซ่งไม่ยอมกลับเมืองหลวง ทำไมคุณหนูใหญ่จะต้องไปกล่าวถึงเรื่องที่คุณหนูซ่งไม่สบายใจด้วย?” เมื่อครู่เว่ยฉางอิ๋งกล่าวถึงว่าหลายวันมานี้ซ่งอวี่วั่งไม่ได้เขียนจดหมายมา ดูเหมือนจะเป็นคำกล่าวปลอบโยน แต่ว่าลวี่ปิ้นและลวี่ฉือที่ปรนนิบัติรับใช้กันมาตั้งแต่เล็กจะไม่รู้หรือ เว่ยฉางอิ๋งจงใจกล่าวขึ้นมาชัดๆ!
ซ่งไจ้สุ่ยมีนิสัยนิ่งและละเอียดลออ รวมกับที่เดิมนางก็กังวลเรื่องนี้มากอยู่แล้ว เว่ยฉางอิ๋งกลับกล่าวมาอย่างไม่ระวังอย่างนี้ คุณหนูซ่งก็ติดกับจริงๆ แล้วเบี่ยงความสนใจไปยังเรื่องที่ตนจะถูกบังคับกลับไปที่เมืองหลวง คุณหนูซ่งยังไหว้วานให้เว่ยฉางอิ๋งไปสืบข่าวในเรือนหน้าจากทหารคุ้มกันของตระกูลซ่งอีก ไม่ต้องแม้แต่จะคิด ข่าวที่เว่ยฉางอิ๋งให้กลับไป ไม่เพียงแต่จะเป็นการพิสูจน์ความคาดเดาของซ่งไจ้สุ่ยเท่านั้น แต่ยังเป็นการทำให้ซ่งไจ้สุ่ยตกอยู่ในสภาวะหวาดกลัวด้วย
อย่างไรก็เป็นว่าที่ฮองเฮา แม้ว่าเจ้านายคนนี้จะไม่ยินดีที่จะต้องไปเป็นฮองเฮา ลวี่ปิ้นอดที่จะรู้สึกว่าเว่ยฉางอิ๋งวางแผนซ่งไจ้สุ่ยอย่างนี้ช่างทำให้คนกังวลจริงๆ
“พวกเจ้าจะเข้าใจอะไร?” เว่ยฉางอิ๋งเห็นรอบด้านไม่มีใคร ก็พลันเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาแล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “ไม่ได้ยินที่เมื่อครู่ท่านแม่ฝากฝังให้ท่านพี่มาสอนข้าในการสนทนาต่อหน้าท่านอาของตระกูลเสิ่นหรือ พวกเจ้าว่าตอนนี้ตัวท่านพี่ยังจัดการเรื่องตนเองไม่ได้เลย แล้วยังจะมีอารมณ์ที่ไหนมาจัดการข้า ยังไม่ต้องพูดถึงวังตะวันออก…หรือว่าข้าจะเกียจคร้านอย่างไรเลย?”
ได้ยินนางกล่าวออกมาอย่างนี้ เหล่าสาวใช้ก็พลันไร้คำพูดไป ลวี่ฝางกล่าวอย่างกระวนกระวายว่า “แต่ว่าหากคุณหนูใหญ่ไม่เรียน…หากว่าคนตระกูลเสิ่นมาแล้ว เห็นคุณหนูใหญ่…”
“แม้ว่าท่านอาของตระกูลเสิ่นจะเป็นผู้ใหญ่ แต่อย่างไรก็เป็นผู้ชาย” เว่ยฉางอิ๋งยิ้มมุมปากแล้วกล่าวอย่างมั่นใจว่า “อีกอย่างครั้งนี้ที่เขามา เขามาเพื่อถ่ายทอดราชโองการ และมาเพื่อปรึกษางานแต่งงาน เรื่องแรกเป็นเรื่องงาน ไม่ได้เกี่ยวกับข้าเลยสักนิด! เรื่องหลังนั้น ก็ไม่ได้มาปรึกษากับข้า อย่างไรก็ต้องคุยกับท่านปู่ท่านย่า เจ้าคิดว่าต่อให้ข้าไปคารวะเขา แต่จะได้คุยกับเขายาวหรือ?”
นางส่ายหัวแล้วกล่าวว่า “ข้าว่าอย่างมากเมื่อคุยกันเรื่องงานเสร็จแล้ว ท่านปู่กับท่านย่าก็คงเชิญท่านอาตระกูลเสิ่นมาห้องโถงด้านหลัง หาเหตุผลให้ข้าไปคารวะ ไม่แน่ก็เป็นเพียงคำพูดไม่กี่คำเท่านั้น จากนั้นข้าก็ไปยืนฟังพวกเขาคุยกันด้านหลังท่านย่า ก็แค่ยืนนิ่งๆ เวลาเท่านี้ยังรับมือไม่ได้หรือ ข้าก็ใช่ว่าจะไม่เคยเรียนวิขากฎเกณฑ์อะไรมาจริงๆ สักหน่อย!”
ลวี่ปิ้นกับลวี่ฝางได้ฟังก็รู้สึกว่ามีเหตุผล เพียงแต่ว่าคุณหนูใหญ่ที่ตนเองรับใช้คนนี้กลับมักไม่ทำให้คนวางใจ…
ดังนั้นลวี่ปิ้นจึงกล่าวต่อว่า “ครั้งนี้คนตระกูลเสิ่นมารับมือได้ง่าย แต่ว่า…หากว่าภายหลังที่คุณหนูแต่งงานออกไปแล้วล่ะ?”
“โง่! นั่นมันเรื่องของปีหน้า ไว้ปีหน้าค่อยว่ากันสิ!” เว่ยฉางอิ๋งกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ
“…” เหล่าสาวใช้ทั้งหลายนิ่งเงียบไป ก็ได้ เจ้านายวางใจขนาดนี้ พวกนางเป็นบ่าว…หรือว่ายังจะบังคับให้เจ้านายไปเรียนหรือ?
ต่อให้อยากจะทำอย่างนั้น ลองคิดถึงคุณหนูซ่งที่น่าสงสารดู ว่าที่ฮองเฮาคนนี้ เพราะว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลเว่ยไม่อยากเรียนกฎเกณฑ์ ถึงได้จงใจทำให้ซ่งไจ้สุ่ยเกิดความระแวงในใจขึ้นมา เกรงว่าตอนนี้คงกำลังกัดผ้าห่มทุบหมอนอยู่ในเรือนหมิงเซ่อจมอยู่กับความคิดว่าจะวางแผนอย่างไร…
นั่นน่ะคือญาติผู้พี่แท้ๆ ของคุณหนูใหญ่นะ!
หากว่าเปลี่ยนเป็นบ่าวอย่างพวกนาง คุณหนูใหญ่จะวางกับดักพวกนางอย่างไรเพื่อให้ตัวเองว่าง?!
เรื่องอย่างนี้อย่าไปคิดมากเลยดีกว่า
…………………………………
[1] ดอกเฟิ่งเซียน : ดอกเทียนบ้าน
[2] ชินเทียนหลัน : ขุนนางผู้คอบตรวจสอบปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์