ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง - ตอนที่ 36.1
แม้เว่ยฉางอิ๋งจะมีเจตนาไม่ดี จนทำให้ญาติผู้พี่เกิดความระแวงสงสัยขึ้นมา แต่ทั้งหมดก็เพื่อให้นางมีท่าทีผ่อนปรนและยอมให้ตนร่ำเรียนพิธีเข้าพบผู้ใหญ่แต่เพียงพอผ่าน ทว่าเว่ยฉางอิ๋งเองก็ตระหนักดีว่าเรื่องการแต่งเข้าวังนั้นเป็นความคับแค้นใจอันใหญ่หลวงของซ่งไจ้สุ่ย มิรู้ว่าที่สุดแล้วซ่งไจ้สุ่ยจะเตรียมการตอบโต้อย่างเจ้าตายข้าม้วยเอาไว้หรือไม่ หากเป็นเช่นนั้น เกรงว่าเมื่อลวงนางได้สำเร็จ ก็อาจเกิดเรื่องเกิดราวตามมาได้
ดังนั้น ถัดไปสองสามวัน นางจึงได้บอกกับซ่งไจ้สุ่ยว่า “ข้าให้ท่านลุงเจียงไปสอบความแล้ว พวกองครักษ์ของท่านพี่ยังเป็นปกติเช่นเดิม ยิ่งไปกว่านั้นท่านลุงเจียงยังบอกอีกว่าแม้จะมีคนมาที่เรือน แต่ในระยะนี้นอกจากจะมีรายงานว่าราชทูตกำลังจะมาถึงเมืองเฟิ่งโจวแล้ว ก็มิได้มีสาส์นอื่นใดมาจากเมืองหลวงอีกเลย”
แม้นนางจะเอ่ยไปเช่นนั้น แต่หากซ่งไจ้สุ่ยเกิดความระแวงขึ้นมา ก็คงจะกำจัดไปไม่ได้ง่ายๆ จึงยังมิอาจวางใจลงได้
เว่ยฉางอิ๋งจึงต้องพยายามทำตนให้เป็นปกติ แล้วค่อยๆ ปะเหลาะนาง “ความจริงแล้ว ท่านพี่ลองคิดดูเอาเถิด พวกองครักษ์ก็ไม่อาจเข้ามาในสวนหลังบ้านได้ตามใจชอบ หากได้รับสาส์นจากท่านน้า ก็จักต้องแจ้งต่อท่านย่าและท่านแม่ก่อนมิเช่นนั้นแล้วจะมารับท่านพี่ได้อย่างไร? จนยามนี้ทั้งท่านย่าและท่านแม่ก็ไม่ได้มีความเคลื่อนไหวใดๆ เห็นชัดว่าเรื่องนี้คงจะไม่จริง”
“คงเป็นเช่นนั้น” หากนางไม่เอ่ยเช่นนี้ มีหรือซ่งไจ้สุ่ยจะปลุกปลอบตัวเองออกมาแบบนี้ เมื่อนางเอ่ยไปดังนั้น ซ่งไจ้สุ่ยก็นิ่งคิดไปอีกพักหนึ่ง นางเองก็อยู่เฉยๆ ในบ้านตระกูลเว่ยมาพักใหญ่แล้ว มีหรือท่านย่าซ่งและท่านป้าซ่งจะไม่เข้าใจความคิดอ่านของนางแม้สักน้อย? แม้จะเห็นได้ชัดว่าท่านย่าและท่านป้ามีใจอยากช่วยเหลือแต่ก็หาช่วยได้ไม่…..ดังนั้นหากซ่งอวี่วั่งเขียนจดหมายลับให้ท่านย่าและท่านป้าส่งตนเองออกไปจากเฟิ่งโจวจริงๆ แล้วท่านย่าซ่งและฮูหยินซ่งเกลี่ยกล่อมเขาไม่สำเร็จ ก็คงไม่แคล้วต้องทำตามนั้น ก็ใครใช้ให้ซ่งไจ้สุ่ยเกิดเป็นลูกของซ่งอวี่วั่งเล่า?
เช่นนั้น หากซ่งอวี่วั่งได้ส่งจดหมายลับมาแล้วจริงๆ ว่าจะต้องพานางไปที่เมืองหลวงให้จงได้ ต่อให้ท่านย่าซ่งและฮูหยินซ่งรู้ เกรงว่าคงจะไม่ยอมให้เรื่องนี้แพร่งพรายออกมาแน่ๆ หากแต่จะรอจนกว่าจะออกเดินทาง ให้นางตั้งตัวไม่ทัน! เพื่อไม่ให้เกิดเหตุไม่คาดคิดใดๆ หากนางเกิดหุนหันพลันแล่นขึ้นมา….
แววตาของซ่งไจ้สุ่ยส่องประกาย ไม่อาจเอ่ยได้ว่าภายในใจนั้นคือความโศก ความสิ้นหวัง หรือคือความเดือดดาล ทั้งที่ตระหนักดีว่าท่านย่าซ่งและฮูหยินซ่งหาได้ไม่ต้องการจะช่วยเหลือตน ทว่าท่าทีของซ่งอวี่วั่งช่างแน่วแน่นัก ทั้งท่านย่าและท่านป้าก็คงจะทำอะไรไม่ได้ เมื่อคิดว่าตนเองเหลือตัวคนเดียวไร้ที่พึ่งถึงเพียงนี้ แล้วญาติทั้งสองคนกลับยังแสร้งดูดายไม่รู้ไม่เห็น ความเศร้าโศกที่ท่วมอยู่ภายในใจก็อดจะพรั่งพรูออกมาไม่ได้
ลูกศิษย์ลูกหาและญาติพี่น้องของตระกูลซ่งแห่งเจียงหนานมีมากมายเพียงใด? ทว่ายามเมื่อตนเองซึ่งเป็นคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลซ่งตกอยู่ในที่นั่งลำบาก กลับไม่มีผู้ใดยอมยื่นมือเข้าช่วย!
นางปรายตาไปยังเว่ยฉางอิ๋งที่อยู่ข้างๆ ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความห่วงใย ซ่งไจ้สุ่ยนิ่งเงียบอยู่เป็นนานถึงเอ่ยว่า “ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ที่สุดแล้วข้าก็ต้องกลับไปเมืองหลวงอยู่ดี คงไม่อาจจะอยู่ที่บ้านตระกูลเว่ยไปชั่วชีวิต”
น้ำเสียงของนางเปลี่ยนไปในฉับพลัน จนทำให้เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกประหลาดใจเป็นอันมาก พลางเอ่ยถามอย่างสงสัยว่า “ท่านพี่?”
ซ่งไจ้สุ่ยกำผ้าเช็ดหน้าแน่น เอ่ยอย่างราบเรียบว่า “จะว่าไป ข้าก็มาอยู่ที่เฟิ่งโจวหลายเดือนแล้ว นอกจากที่รุ่ยอวี่ถังนี่ ก็ยังไม่เคยได้ไปที่ใดเลย…. ถือโอกาสในยามที่ท่านพ่อยังไม่ได้เร่งรัดให้ข้าไป ข้าก็อยากจะไปเยี่ยมชมบริเวณใกล้ๆ เฟิ่งโจวบ้าง อย่างไรข้ากลับเมืองหลวงครานี้ก็ใกล้จะต้องออกเรือนแล้ว ภายภาคหน้าหรือจะมีโอกาสออกไปเที่ยวเล่นตามใจ?”
เว่ยฉางอิ๋งนิ่งเหม่อไปชั่วครู่จึงเอ่ยอย่างเนิบนาบไปว่า “ท่านพี่หญิง หลังจากที่ท่านมาถึงเฟิ่งโจวก็ไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องเหล่านี้เลยนี่? แล้วไยวันนี้จึง…?” นางขมวดคิ้ว แล้วเอ่ยเตือนด้วยความหวังดีว่า “เรื่องก็ยังไม่ได้เลวร้ายถึงที่สุด ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้ท่านพี่ตกแต่งเข้าวัง และองค์รัชทายาทก็เป็นคนเจ้าชู้มากรักดังว่า แต่นั่นก็แสดงว่าเขาเลอะเลือนไร้ความสามารถ! ด้วยกลวิธีของท่านพี่ มีหรือจะไม่สามารถกำราบเขาให้เชื่อฟังได้? ต่อให้มีลูกของพวกนางเล็กๆ อีกสักกี่คน แต่ก็เป็นลูกที่ไม่ได้เกิดจากภรรยาที่ตกแต่งอย่างออกหน้าออกตา แล้วจะเทียบกับเลือดเนื้อเชื้อไขที่จะเกิดจากท่านพี่ในวันหน้าได้อย่างไร?”
“เจ้าพูดเสียเป็นเรื่องง่าย!” ซ่งไจ้สุ่ยเอ่ยพร้อมรอยยิ้มเย็นชา “หากเป็นเสิ่นจั้งเฟิงยามเจ้าเอ่ยถึงพวกอนุและลูกๆ ของเขาเจ้าจะรู้สึกเช่นใด?”
เมื่อได้ยินดังนั้นสีหน้าของเว่ยฉางอิ๋งก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป พลางเอ่ยเรียบๆ ว่า “ข้าหารู้ไม่ว่าเขาจะมีใครอื่นอีกหรือไม่?”
“…” ด้วยความเอ็นดูของแม่เฒ่าซ่งที่มีต่อหลานสาวของนาง ก็เป็นธรรมดาที่จะไม่ไปใส่ใจเรื่องราวหลังบ้านของเสิ่นจั้งเฟิง ทว่าเมื่อลองถามไถ่ก็ได้ความจากจากบ้านหลังใหญ่โตนั้นแต่เพียงว่า เสิ่นจั้งเฟิงไม่มีลูกๆ ของอนุซุกซ่อนไว้ ซึ่งเรื่องนี้ก็ไม่ได้ผิดคาดใดๆ ตระกูลใหญ่เลื่องชื่อก็ต้องรักษาชื่อเสียงของตนเป็นที่สุด เมื่อภริยาเอกยังไม่ได้แต่งเข้าบ้าน แต่กลับมีลูกของอนุรออยู่เสียแล้ว ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ยิ่งไปกว่านั้นแม้ยามนี้เสิ่นจั้งเฟิงจะมีอนุอยู่แล้ว แต่หากพวกนางยังไม่ได้ยกน้ำชาคำนับภริยาเอกเสียก่อน พวกนางก็หาได้มีตำแหน่งใดไม่
เท่าที่รู้เสิ่นจั้งเฟิงแก่กว่าเว่ยฉางอิ๋งสองปี ตอนนี้ก็อายุสิบเก้า…ชายหนุ่มในวัยนี้ โดยทั่วไปก็นับว่าเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้ว…
หากไม่มีลูกของอนุ ก็ไม่แน่ว่าจะไม่ได้รับอนุเอาไว้แล้ว ปีหน้าเมื่อเว่ยฉางอิ๋งก้าวเข้าประตูบ้าน สถานการณ์ของนางอาจไม่ต่างจากของซ่งไจ้สุ่ย ที่จู่ๆ ก็มีคนมาเรียกว่าแม่ใหญ่เสียแล้ว หรือหลังพิธีแต่งงานจะมีหญิงงามนางสองนางมานั่งคุกเข่ายกน้ำชาคำนับ…ก็ไม่แน่
เว่ยฉางอิ๋งมองโลกในแง่ดีมาโดยตลอด แต่หากถึงยามที่เสิ่นโจ้วใกล้จักมาถึง แม่เฒ่าซ่งและฮูหยินซ่งต่างก็พากันเร่งรัดให้นางเตรียมตัว เพื่อจะได้ทำให้ผู้อาวุโสตระกูลเสิ่นประทับใจ หากต้องตกอยู่ภายใต้ความกดดันเช่นนี้ เว่ยฉางอิ๋งพลันรู้สึกหวั่นไหวขึ้นมาเช่นกัน
ซ่งไจ้สุ่ยนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยปากว่า “ไม่ว่าหัวหรือก้อยต่างก็เป็นเรื่องในภายภาคหน้า พวกเราอย่าได้เอ่ยถึงเรื่องที่ทำให้ไม่สบายใจเหล่านี้เลย ข้าอยากจะออกไปเดินเล่นจริงๆ ก่อนนี้ ข้ายังคงแอบเพ้อฝันอยู่ในใจ แต่ยามนี้เมื่อคิดว่าผู้ที่ให้ข้าต้องทำตามสัญญาด้วยการตกแต่งเข้าวังคือท่านพ่อของข้า…หรือบางทีก็อาจไม่ใช่เพียงท่านพ่อของข้าคนเดียว อาจเป็นความต้องการของทั้งฮองเฮาและองค์รัชทายาทเองด้วย? แม้ว่าฮ่องเต้จะกำลังโปรดปรานพระสนมเมี่ยว ทว่าฮองเฮาก็ดูแลตำหนักหลังมาหลายปี จึงไม่ใช่บอกว่าจะล้มก็ล้มลงได้ ภายใต้การควบคุมของฮองเฮา ท่านพ่อก็ใช่ว่าจะทานไหว ในยามที่อยู่ต่อหน้าพระนาง ความหวังนานาของข้าในวันก่อน จะนับว่าเป็นเรื่องตลกยังไม่ได้เลย ประการต่อมา เรื่องนี้ก็เป็นคำมั่นที่ได้ให้ไว้เมื่อครั้งอดีต และเมื่อพินิจดู ราชสำนักนั้นสูงส่งกว่าตระกูลซ่ง ในวันนี้ราชสำนักก็ไม่ได้ล้มเลิกคำสัญญา กลับเป็นข้าเสียอีกที่ไม่ต้องการองค์รัชทายาท หากเรื่องนี้เล่าลือออกไป ไม่ว่าผู้ใดก็ต้องว่าข้าไร้เหตุผล! ในเมื่อไม่มีความหวังอื่นใดแล้ว อย่างนั้นเรื่องที่ไม่อาจทำได้ในวันหน้า ข้าก็จักขอชดเชยในตอนนี้…วันหน้า บางครายามเมื่ออยู่ในเขตราชฐานและหวนนึกถึงขึ้นมา ก็จะได้ไม่ต้องรู้สึกเสียใจมากมายนัก”
จะว่าไปแล้วสัญญามั่นหมายของลูกพี่ลูกน้องทั้งสองคนนี้ต่างก็เป็นเรื่องที่น่าคับข้องใจ ทว่าเมื่อมองย้อนกลับมา จักมีหญิงสาวสักกี่คนเล่าที่ไม่วาดหวังถึงชีวิตแต่งงานที่สามารถอยู่คู่กันไปตราบชั่วชีวิต? ทว่านับแต่โบราณจนตอนนี้มีสักกี่คนกันที่ได้มีความสุขเช่นนั้น?
เว่ยฉางอิ๋งขบริมฝีปาก แล้วเอ่ยอย่างราบเรียบว่า “ข้าจะลองถามท่านแม่ดู”
ข่าวคราวที่สองสาวลูกพี่ลูกน้องแยกจากกันอย่างไม่สู้ดีนักนี้ เอาไปเอามากลับมาถึงหูของฮูหยินซ่งเสียก่อนแล้ว กว่าเว่ยฉางอิ๋งจะเล่าเรื่องด้วยท่าทีไร้ชีวิตชีวาว่าซ่งไจ่สุ่ยอยากจะออกไปเที่ยว ฮูหยินซ่งก็ปรึกษากับพวกคนตระกูลซือไปล่วงหน้าเรียบร้อยแล้ว นางพยักหน้าอย่างอ่อนโยน “ไจ้สุ่ยมาอยู่ที่เฟิ่งโจวได้ระยะหนึ่งแล้ว ก็ไม่เคยได้ออกไปไหนเลย แต่วันนี้นางกลับคิดอยากจะออกไปเที่ยว เช่นนั้นก็ให้เจ้าไปเป็นเพื่อนนางก็แล้วกัน…อีกสักเดี๋ยวข้าจะส่งคนไปลองสอบถามเกาฉานและฉางเยียนดู เพียงแต่ว่ายามนี้อากาศยังร้อนอยู่ จะให้ดีก็น่าจะล่องเรือตามน้ำชมทิวทัศน์ อย่าไปที่ที่มีผู้คนพลุกพล่าน จะได้หลีกเลี่ยงการเกิดเรื่องกระทบกระทั่งกัน”
ยามนั้นเว่ยฉางอิ๋งเอาแต่รีบรน พอตกปากรับคำแล้วก็จะไป ฮูหยินซ่งต้องรีบเรียกนางเอาไว้เพื่อคุยเล่นแก้เหงา นางเอ่ยเสียงเบาว่า “เจ้าลูกคนนี้…วันนี้เจ้าเป็นอะไรไป? ทำไมถึงดูไร้ชีวิตชีวาเช่นนี้?”
………………………..