ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง - ตอนที่ 36.2
“ข้าพูดคุยกับท่านพี่มาพักใหญ่ รู้สึกเหนื่อย” แต่ไรมาเว่ยฉางอิ๋งเป็นคนเข้มแข็ง หากแต่ภายในใจรู้สึกเป็นกังวลถึงเรื่องที่ซ่งไจ้สุ่ยเอ่ย ว่าเมื่อนางก้าวเข้าประตูบ้านตระกูลเสิ่นไปแล้ว อาจพบว่าเสิ่นจั้งเฟิงรับอนุจำนวนหนึ่งเอาไว้ก่อนหน้าแล้ว แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยเรื่องนี้กับฮูหยินซ่ง จึงพูดกลบเกลื่อนไปว่า “ท่านพี่ปลงตกแล้ว นางบอกว่าเมื่อกลับไปเมืองหลวงแล้ว เกรงจะไม่ได้มีโอกาสออกไปข้างนอกอีก จึงอยากจะไปเดินเล่น ข้าจะเชื่อฟังท่านแม่ ไม่ให้นางไปที่ที่มีผู้คนพลุกพล่าน”
ทว่าฮูหยินซ่งทราบเรื่องที่พี่น้องได้คุยกันก่อนหน้านี้หมดแล้ว มีหรือจะไม่ล่วงรู้ว่ายามนี้บุตรสาวเป็นกังวลเรื่องใด? นางทอดถอนใจ พลางยื่นนิ้วชี้ไปยังหน้าผากของเว่ยฉางอิ๋ง แล้วเอ่ยอย่างแผ่วเบาว่า “เสิ่นจั้งเฟิงจะรับใครเข้าบ้านแล้วหรือไม่…ต่อให้ยามนี้ยังไม่มี แล้ววันหน้าเล่า? เจ้าควบคุมได้หรือ? ยิ่งไปกว่านั้นหากวันหน้าเกิดรับคนเข้ามาจริงๆ…จะมีใครอยู่เหนือกว่าภริยาเอกเช่นเจ้า?”
เว่ยฉางอิ๋งตกตะลึงขึ้นมาทันใด แล้วจึงมีน้ำโหตามมา “ข้าก็แค่ไปคุยเล่นกับท่านพี่ประโยคสองประโยค ใครนะช่างปากมากเสียจริง? เอามาเล่าให้ท่านแม่ฟังเสียแล้ว!”
“เช่นนั้นเจ้าก็ได้รู้แล้ว เรื่องราวภายในบ้าน หาได้มีความลับไม่! วันหน้า ไม่ว่าจะพูดหรือทำการใดก็จะต้องพึงระวังให้ดี! ครานี้อยู่ในบ้านตนเอง มีท่านย่า มีข้าซึ่งเป็นแม่ของเจ้าอยู่ เจ้าทำเรื่องผิดพลาดอันใด ผู้ใดก็ไม่กล้าทำอะไรเจ้า! ทว่ายามอยู่ที่บ้านสามี หาได้มีเรื่องง่ายดายเช่นนี้ไม่!” ฮูหยินซ่งให้บทเรียนแก่ลูกสาวด้วยรอยยิ้มเยือกเย็น จากนั้นก็เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เจ้าอย่าได้สับสนกับคำที่ไจ้สุ่ยเอ่ยออกมาลอยๆ! แต่โบราณมา นอกจากชาวบ้านทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นคู่สามีภรรยาที่รักกันปานใด บ้านไหนบ้างที่ไม่ได้มีอนุรออยู่แล้ว?!”
“บ้านเราอย่างไรเล่าที่ไม่มี!” อาการที่เก็บเอาไว้พลันถูกมารดาปลดปล่อยออกมาสิ้นเว่ยฉางอิ๋งเองก็หาได้มีอารมณ์จะแสร้งทำเป็นว่าไม่มีเรื่องใดในใจอีกต่อไป ใบหน้าของนางพลันหม่นหมองขึ้นมาทันใด พลางเอ่ยออกมาด้วยความรู้สึกคับแค้นใจ
ฮูหยินซ่งสูดหายใจลึก แล้วเอ่ยว่า “นั่นเป็นเพราะร่างกายท่านพ่อของเจ้าไม่สู้ดี…มิเช่นนั้น เจ้านึกว่าเขาจะมีแม่เจ้าเพียงคนเดียวเช่นนั้นรึ?”
“ทำไมจะไม่ได้?” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยออกไปอย่างเต็มปากเต็มคำ “จะมีอนุใดคู่ควรกับท่านพ่อ?”
“ได้ยินว่าคราก่อน ตอนที่ท่านย่าและท่านปู่กำลังถกเถียงกัน เจ้าก็มาเห็นเข้าโดยบังเอิญมิใช่รึ?” ฮูหยินซ่งจ้องบุตรสาวอย่างตำหนิ แล้วเอ่ยอย่างราบเรียบว่า “เจ้าลองว่ามาซิ ขนาดท่านย่าคอยควบคุมท่านปู่เข้มงวดปานนั้น เหตุใดนอกจากท่านพ่อและอาหญิงรองของเจ้าแล้ว ท่านอารอง ท่านอาสาม ท่านอาเล็ก และอาหญิงคนอื่นๆ จึงไม่ใช่ลูกของท่านย่าเจ้า?”
เว่ยฉางอิ๋งตอบว่า “นั่นเป็นเพราะเรื่องผู้สืบสกุล…”
“ถูกต้อง!” ฮูหยินซ่งส่งเสียงหึออกมาอย่างดูแคลน “สกุลใดไม่คาดหวังจะมีผู้สืบสกุล?! ก่อนที่ท่านย่าของเจ้าจะออกเรือน ฐานะในตระกูลซ่งก็พอๆ กับเจ้าในยามนี้ ครานั้นท่านย่าของท่านย่าเจ้าก็ไม่ได้รักนางน้อยกว่าที่ท่านย่าของเจ้ารักเจ้า! ดังนั้นยามออกเรือนท่านย่าจึงมีความคิดเช่นเดียวกับเจ้า คือตั้งใจว่าจะไม่ยอมให้ท่านปู่ของเจ้ามีโอกาสได้มีอนุ! แรกเริ่มนั้น ท่านปู่และท่านย่าของเจ้าก็อยู่กันมาด้วยดี…ทว่าหลังจากที่ท่านอารองที่แท้จริงของเจ้า…ท่านอาที่มีนามว่าเจิ้งเหย่เสียไปตั้งแต่อายุยังไม่ครบขวบ ท่านปู่ทวดและท่านย่าทวดของเจ้าคร่ำครวญออกมาว่าลูกชายในไส้ต้องมาจากไปตั้งแต่ยังเล็กช่างเป็นเรื่องที่เจ็บปวดแสนสาหัส ลูกชายคนโตก็มีร่างกายที่ไม่แข็งแรง…ยามนั้นท่านย่าจึงจำต้องฝืนใจตนเองและรับอนุให้แก่สามี! แล้วเจ้าคิดหรือว่าท่านย่าของเจ้าจะไม่เจ็บปวด?!”
ฮูหยินซ่งจดจ้องไปยังบุตรสาว ค่อยๆ เอ่ยออกมาทีละคำ “ใต้หล้านี้ เว้นเสียแต่คนโฉดเขลาที่ไม่เข้าใจความเป็นไปของโลก ผู้ใดเลยจักไม่มีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจไปชั่วชีวิต?!”
นับแต่เกิดมาเว่ยฉางอิ๋งเคยเห็นแต่เพียงท่าทีเคร่งขรึมของท่านย่า ที่เพียงแค่ขมวดคิ้วหรือแย้มยิ้มก็สามารถทำให้ทั้งนอกและในบ้านสงบเงียบขึ้นมาทันใด…หลังจากที่แอบเห็นแม่เฒ่าซ่งทุบตีเว่ยฮ่วนก็รู้สึกว่านี่ต่างหากคือความน่าเกรงขามที่แท้จริงของท่านย่า แต่นี่กลับเป็นคราแรกที่ได้ยินว่าแม่เฒ่าซ่งก็เคยต้องผ่านเรื่องราวที่คับแค้นใจเช่นนี้มาด้วยเช่นกัน นางนิ่งเหม่อไปในทันใด พักใหญ่จึงเอ่ยออกมาว่า “ท่านย่า…ยอมได้อย่างไร?”
“แล้วไม่ยอมได้หรือ?” ฮูหยินซ่งส่งเสียงฮึออกมา แล้วเอ่ยว่า “ท่านพ่อของเจ้าสุขภาพไม่สู้ดี ยามนั้นหากไม่สามารถเชิญจี้ชวี่ปิ้ง หมอเลื่องชื่อในใต้หล้ามาอยู่ที่บ้านและคอยบำรุงรักษาร่างกายกว่าสองปี จะมีชีวิตอยู่จนบัดนี้หรือไม่ก็ไม่อาจ… ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องที่จะมีเจ้ากับฉางเฟิงเลยด้วยซ้ำ!”
แม้ว่าจะกำลังสั่งสอนบุตรสาว แต่ยามเมื่อฮูหยินซ่งเอ่ยถึงเรื่องเหล่านี้ ดวงตาของนางก็ยังมีสีแดงระเรื่อ น้ำเสียงสั่นเครือ “เสียดายก็แต่เชิญจี้ชวี่ปิ้งมาสายเกินไป! เพราะตอนนั้นล่วงเลยช่วงเวลาที่สามารถเยียวยาได้ดีที่สุดไปเสียแล้ว ท่านพ่อของเจ้า…เรื่องนี้ข้าจะไม่พูดอีก ท่านย่าของพวกเจ้ามีท่านพ่อของเจ้าเป็นผู้สืบสกุลเพียงคนเดียวจนกระทั่งเขาเติบใหญ่ ทั้งยังอ่อนแอขี้โรค ท่านปู่ของพวกเจ้าต้องสืบทอดรุ่ยอวี่ถัง เจ้าลองว่ามาซิ ครานั้นพวกผู้อาวุโสต้องการให้ท่านย่าของเจ้าคำนึงถึงเรื่องผู้สืบสกุล…คำกล่าวนี้ผิดหรือไม่? ไม่ผิดเลย แล้วจะไม่ยอมทำตามได้หรือ?”
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยอย่างร้อนรน “แต่ว่า…ตอนที่ท่านอารองของข้าเสียไปตั้งแต่ยังเล็ก…แล้วท่านย่าทวดเอ่ยเช่นนั้น…ช่างไม่มีน้ำใจเอาเสียเลย!”
“ด้วยเหตุนี้ท่านยายและแม่จึงไม่ทำเช่นนั้น” ฮูหยินซ่งนิ่งเงียบ พลางอาศัยการจิบชาให้สีหน้าสงบลง จนกลับมามีสีหน้าเช่นปกติ แล้วเอ่ยอย่างราบเรียบว่า “เช่นเดียวกัน ไม่ว่าวันหน้าภรรยาของฉางเฟิงจะกตัญญูเชื่อฟังหรือทำให้ข้าพอใจเพียงใด นางก็ไม่มีวันอยู่เหนือเจ้า ต่อให้เจ้าหัวรั้นเอาแต่ใจหรือไม่เห็นหัวใคร แต่เจ้าก็เป็นลูกแม่ เด็กสาวทั่วไปในใต้หล้า ในสายตาข้าแล้ว ไม่มีแม้สักคนที่จะเทียบเจ้าได้! ด้วยเหตุผลเดียวกัน ในสายตาของท่านย่าพวกเจ้า ข้าก็ไม่มีวันเทียบกับท่านพ่อของพวกเจ้าได้! เช่นนั้น หากท่านพ่อเจ้าร่างกายแข็งแรง แล้วท่านย่าของพวกเจ้าก็มีผู้สืบสกุลเพียงคนเดียว จะไม่รับอนุมาให้เขา เพื่อให้มีโอกาสสืบสายเลือดต่อไปได้อย่างไร?
ไม่เพียงแค่ท่านย่าของเจ้าเท่านั้น แม่เฒ่าสกุลใดจะไม่เคยต้องทนเจ็บช้ำน้ำใจเช่นนี้ในยามสาว? ไม่เช่นนั้น มีหรือจะกลายเป็นคนที่ไม่สะทกสะท้านกับสิ่งใดเช่นในยามนี้? คนเราล้วนต้องผ่านการฝึกฝนกันทั้งนั้น” ฮูหยินซ่งปรายนิ้วชี้ไปยังบุตรสาวแล้วส่ายหัว “เจ้าเผชิญโลกมาน้อยเกินไป ทึกทักเอาเองว่าทุกสิ่งต้องเป็นอย่างที่คิดไปเสียหมด! เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าชั่วชีวิตจะง่ายดายดังเจ้าว่า?”
เว่ยฉางอิ๋งขบริมฝีปากแล้วเอ่ยว่า “กรณีของท่านย่าถือเป็นข้อยกเว้นกระมัง? หากท่านพ่อมีร่างกายแข็งแรง และท่านอาทั้งหลายมีสุขภาพดี…”
“ใช่สิ แล้วใครจะรับประกันได้” ฮูหยินซ่งเอ่ยอย่างราบเรียบว่า “ทว่าเจ้าก็ลองพิจารณาดูสิ ท่านอารอง ท่านอาสามของเจ้า และท่านอาเล็กที่ยกให้ท่านปู่เล็กของเจ้าไป… แล้วก็ยังมีท่านป้าท่านอาหญิงสองสามคนของเจ้า มารดาของพวกเขาต่างหาใช่คนเดียวกันไม่ ยามนั้นในบรรดาอนุของท่านปู่ของเจ้าไม่ใช่ทุกคนที่มีลูก ที่มีลูกก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะอยู่จนเติบใหญ่ แล้วตอนนี้พวกเขาไปอยู่เสียที่ใด?”
เว่ยฉางอิ๋งตกตะลึง…ฮูหยินซ่งจ้องลึกลงไปยังดวงตาของบุตรสาว แล้วกล่าวเตือนสติอย่างแข็งกร้าวว่า “เรื่องผู้สืบสกุลเป็นเรื่องสำคัญของวงศ์ตระกูล ส่วนเรื่องการรับอนุ เป็นแค่สิ่งบันเทิงเริงรมย์ก็เท่านั้น เมื่อตนเป็นภริยาเอก การดูแลบรรดาอนุนั้นเป็นเรื่องที่เจ้าต้องทำอยู่แล้ว หากไปเป็นทุกข์ร้อนใจเพราะพวกนาง ถือเป็นการเสียสง่าราศี!
ไม่ว่าวันนี้มารดาของพวกท่านอารองและท่านอาคนอื่นๆ ของเจ้าจะเป็นผู้ใด ทว่าคนที่พวกเขาต้องเรียกขานว่าท่านแม่ และต้องคอยสำรวมเกรงกริ่ง ก็มิใช่มีเพียงท่านย่าของเจ้าผู้เดียวหรอกรึ?” ฮูหยินซ่งเอ่ยอย่างราบเรียบว่า “ไม่ว่าที่บ้านของเสิ่นจั้งเฟิงจะรับหรือยังไม่รับอนุเอาไว้แล้ว ไยเจ้าต้องร้อนใจ? หากเจ้าไม่ถูกใจคนไหน ก็ไล่ไปเสีย มิสิ้นเรื่องแล้วรึ? หากมัวแต่กังวลว่าเขาจะรับใครเข้ามา ต่อให้ตอนนี้ไม่ได้รับ แล้ววันหน้าเล่า? เจ้าจดจ่ออยู่แต่เพียงเรื่องนี้ แล้วไม่ต้องทำการอื่นใดเลยรึ? คิดแต่เรื่องอนุ เจ้าเป็นภริยาเอกหาใช่อนุไม่ การทุ่มเทจิตใจทั้งหมดไว้ที่ตัวผู้ชายนั้นเป็นเรื่องที่อนุทำ เพราะหากวันใดไม่มีผู้ชายแล้ว ทั้งความสุขสบายและเงินทองของพวกนางก็จะสลายไปสิ้น! แล้วเจ้าเป็นเช่นนั้นรึ?”
____________________________________________