ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง - ตอนที่ 37.2
แม้จะยังอยู่ในวัยเยาว์ ทั้งยังไม่เคยประสบกับเรื่องสิ้นหวัง แล้วกลับมามีความหวังอีกครั้ง แต่แล้วก็ต้องผิดหวังซ้ำอีกเช่นนี้ บุตรสาวของนางก็ยังรู้สึกได้ถึงหัวใจที่เต้นรัวไม่ยอมหยุด ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงแม่เฒ่าซ่งที่อยู่ในวัยชราทั้งยังเป็นมารดาแท้ๆ ของเว่ยเจิ้งหงเลยว่านางจะรู้สึกเช่นใด
…และแม่เฒ่าซ่งก็มีลูกชายที่มีชีวิตอยู่จนเติบใหญ่แค่เพียงคนเดียว
แต่ชีวิตทั้งชีวิตของลูกชายคนนี้กลับต้องพังทลายลงเพราะอคติและคำเล่าลือ และยังเท่ากับเป็นการทำลายชีวิตของเว่ยฉางอิ๋งและเว่ยฉางเฟิงด้วย… นั่นเพราะหากเว่ยเจิ้งหงได้รับการรักษาจากจี้ชวี่ปิ้งก่อนหน้านั้นสองสามปีจนหายดีและกลับมาเป็นปกติ บางทีตอนนี้ตระกูลเว่ยก็อาจไม่ได้มีผู้สืบสกุลเพียงสองคน บางทีเว่ยเจิ้งหงอาจจะรับอนุ และเช่นเดียวกัน เว่ยฉางเฟิงก็ไม่จำเป็นต้องแบกรับความกดดันอย่างเช่นทุกวันนี้
ด้วยท่าทีที่สง่างามของเว่ยเจิ้งหง และฐานะบุตรชายคนโตของตระกูลใหญ่ ทุกสิ่งที่เว่ยฮ่วนมีก็จะต้องตกเป็นของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย ทว่าเมื่อไม่สามารถรักษาเว่ยเจิ้งหงให้หายดีได้ ความรับผิดชอบและความกดดันทั้งหมดในการดูแลหอเจิ้นซิ่งก็ต้องตกอยู่กับเว่ยฉางเฟิงที่เพิ่งจะได้ ‘เกล้าผม’ ไปไม่นานนี้นั่นเอง!
มิใช่เพียงแค่เท่านี้… เว่ยฉางอิ๋งที่ยามนี้ใกล้จะออกเรือนเต็มทน ก็จะต้องได้เผชิญกับชีวิตที่ไร้ซึ่งบิดาคอยปกป้องคุ้มครอง ได้แต่เพียงหวังว่าในภายภาคหน้าน้องชายจะเก่งกล้าสามารถและเป็นที่ยอมรับนับถือ!
แม้เรื่องนี้จะไม่สามารถกล่าวโทษว่าเป็นความผิดของแม่เฒ่าซ่ง แต่ในฐานะปู่และย่า แม่เฒ่าซ่งจึงอดไม่ได้ที่จะถือว่าทุกสิ่งเป็นความผิดของตน! ดังนั้นแล้วตลอดหลายปีมานี้แม่เฒ่าซ่งจึงได้รักใคร่เอาอกเอาใจหลานสาวและหลานชายในไส้ทั้งสองคนมากมายเหลือเกิน นอกจากจะเป็นเพราะนางทั้งรักทั้งเอ็นดูสายเลือดแท้ๆ ที่มิใช่ได้มาง่ายๆ นี้อย่างสุดขั้วหัวใจแล้ว ก็ยังเป็นการชดเชยความรู้สึกผิดในใจที่ทำให้ลูกชายคนโตต้องพลาดโอกาสรักษาตัวให้หายดี จนทำให้หลานในไส้ทั้งสองคนต้องไร้บิดาคอยปกป้องคุ้มครอง
ด้วยเหตุนี้จึงเห็นได้ว่า แม่เฒ่าซ่งยังคงเก็บเรื่องนี้เอาไว้ในใจลึกล้ำปานใด? เว่ยฉางอิ๋งคาดคะเนเอาว่า กระทั่งเรื่องที่ท่านปู่ลาออกจากราชการและเดินทางกลับบ้านเดิมนั้น ที่แท้แล้วเป็นเพราะไม่ต้องการจะไปจากเฟิ่งโจวหรือเป็นเพราะท่านย่าไม่อาจจะอยู่ที่เมืองเมืองหลวง เพื่อจักมิต้องได้ยินชื่อของจี้ชวี่ปิ้งหรือสกุลจี้อีกต่อไปกันแน่?
ทว่าในเมื่อเป็นตระกูลมีอำนาจปานนั้น เรื่องที่แม่เฒ่าซ่งไม่ต้องการจะได้ยิน แล้วจะมีผู้ใดกล้านำมาบอกกับนางกัน? บางทีอาจไม่ได้เป็นเพราะเรื่องนี้?
ในขณะที่เว่ยฉางอิ๋งกำลังคิดฟุ้งซ่านไปเองอยู่นั้น ฮูหยินซ่งก็เรียกสติตนกลับมาแล้วกลับเข้าประเด็นเดิม “หญิงชาวบ้านในป่าในเขาไม่ต้องกังวลว่าสามีจะมีอนุ นั่นเพราะชาวบ้านทั่วไปหาได้มีคุณสมบัติจะมีอนุไม่! ยิ่งไปกว่านั้นคนพวกนี้ลำพังจะเติมท้องให้อิ่มยังยาก แล้วจักมีเงินทองใดเหลือพอไปเลี้ยงคน? แต่พวกเขาก็มีบางคนที่เดินทางไปทำการค้า พอจะมีเงินทอง แม้ไม่อาจเอ่ยถึงเรื่องอนุ แต่จะไม่เคยไปหาซื้อนางโลมเลื่องชื่อนางสองนางมา ‘ปรนนิบัติ’ ข้างกายบ้างเชียวหรือ?”
“…ข้าทราบแล้ว” เว่ยฉางอิ๋งรีบเอ่ยออกมาอย่างรวดเร็วพลางถอนหายใจอีกคราหนึ่ง
ท่าทีที่นางพยายามกลบเกลื่อนนั้นหาได้ปิดบังฮูหยินซ่งได้ไม่ และฮูหยินซ่งก็ไม่ได้คิดจะยุติหัวข้อสนทนานี้แต่เพียงเท่านี้ “เจ้าหาได้รู้สิ่งใดไม่! ภาษิตว่าผู้รู้ต้องเคยลงแรง ในเมื่อเจ้าเคยมีแต่วันคืนที่มีแต่คนรองมือรองเท้า มีอาภรณ์อาหารชั้นเลิศ แล้วจะมีความทุกข์ใดกับชีวิตเช่นนี้! เรื่องที่เจ้าเป็นกังวลในยามนี้ ต่อให้ทั้งท่านย่าและข้าจะจัดการให้เจ้าเรียบร้อยก่อนเจ้าออกเรือน แต่ก็ไม่อาจจะปกป้องเจ้าไปได้ชั่วชีวิต! ต่อไปเจ้าก็จักต้องรู้จักเรียนรู้ที่จะจัดการสิ่งต่างๆ ด้วยตนเอง….ใช่ลำพังแต่เพียงตัวเจ้า วันหน้าเจ้าก็จะต้องมีลูก วันใดที่เจ้าได้เป็นแม่คน อนาคตของลูกๆ ของเจ้าครึ่งหนึ่งนั้นกำอยู่ในมือเจ้า… เจ้าจะเป็นแม่แบบใด? เหมือนท่านย่าเจ้า เหมือนข้าที่สามารถปกป้องพวกเจ้าได้ หรือจะเป็นเหมือนอาสะใภ้สามของเจ้า ที่ต้องทนดูฉางเยียนต้องทนทุกข์อยู่ในบ้านของฉางเสียน?”
ฮูหยินซ่งกุมมือของบุตรสาว ค่อยๆ เอ่ยที่ละคำว่า “เมื่อออกเรือน เจ้าก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว เรื่องสนุกของเด็กเล็ก ก็ควรจะเก็บไปได้แล้ว!”
หลังจากที่สีหน้าของเว่ยฉางอิ๋งเปลี่ยนไปหนแล้วก็หนเล่า นางจึงกัดริมฝีปากแล้วเอ่ยออกมาว่า “เจ้าค่ะ”
นางหลับตาลง พลางเอ่ยเสียงเบาว่า “แต่ตอนนี้ข้ายังไม่ได้ออกเรือน”
“จวนจะออกเรือนเต็มทนแล้ว ในยามที่แม่ยังมีชีวิตอยู่ อย่างไรเจ้าก็ยังเป็นลูกอยู่ดี” จิตใจที่ไม่อยากจะโตเช่นนี้ มีหรือที่ฮูหยินซ่งจะไม่เข้าใจ? แต่นางก็ไม่อาจไม่พูดต่อไปว่า “แต่บ้านสามีเจ้าจะไม่คิดเห็นเช่นนี้… ดังนั้น เหตุใดใครๆ ต่างรู้กันดีว่าที่เสิ่นโจ้วมาครานี้ แม้เจ้าจะได้พบนางเพียงครู่ และได้พูดคุยด้วยเพียงสองสามประโยค แต่ข้าก็ยังต้องให้ไจ้สุ่ยไปชี้แนะเจ้าเสียก่อน? เพราะบ้านตระกูลเสิ่นเห็นเจ้าเป็นนายหญิงคนใหม่ ไม่เพียงแค่เป็นนายหญิงใหม่เท่านั้น…. เสิ้นจั้งเฟิงได้ถูกกำหนดเอาไว้แล้วว่าจะต้องรับตำแหน่งผู้นำตระกูลคนต่อไป ในยามนี้ สิ่งที่บ้านสกุลเสิ่นต้องการให้เจ้าเป็นก็คือนายหญิงใหญ่แห่งตระกูลเสิ่น! เช่นนั้น แม้จะเป็นเพียงงานพิธีเล็กน้อยใดๆ ก็ตาม เจ้าก็จักต้องแสดงเห็นว่าเจ้ามีความสามารถจะรับตำแหน่งนี้ได้!”
ฮูหยินซ่งถอนหายใจแล้วว่า “ยิ่งไปกว่านั้นที่ให้ไจ้สุ่ยไปชี้แนะเจ้า ก็ยังมีอีกสาเหตุหนึ่ง นั่นก็เพื่อไม่ให้ในยามที่เจ้าร่ำเรียนกฎเกณฑ์ต่างๆ อยู่ แล้วนางไม่สะดวกที่จะมาเล่นหัวกับเจ้า อีกทั้งนางเองก็ไม่ใคร่จะอยากไปมาหาสู่กับกาวฉาน และฉางเยียน หากนางจะต้องเหงาอยู่ในเรือนหมิงเซ่อ[1]เพียงลำพังก็จะคิดฟุ้งซ่านไปเรื่อย”
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยถามถึงเรื่องอ่อนไหวว่า “ท่านแม่ ทางท่านลุงเล่า?”
“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องยุ่ง และห้ามไต่ถามใดๆ ด้วย” ฮูหยินซ่งรู้ว่าหลานสาวซ่งไจ้สุ่ยเป็นคนฉลาดเฉลียวทั้งละเอียดอ่อน และเว่ยฉางอิ๋งก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกผู้พี่คนนี้ หากเว่ยฉางอิ๋งรู้เรื่องที่ซ่งไจ้เถียนจะมาพร้อมกับเสิ่นโจ้ว แล้วนางเกิดถูกซ่งไจ้สุ่ยใส่ความคิดแผลงๆ ลงในหัวขึ้นมา อย่าต้องให้ซ่งไจ้สุ่ยคิดหาวิธีเหลวไหลมาช่วยนางให้ทำเรื่องที่ไม่ควรทำเลย มิเช่นนั้นบ้านสกุลเว่ยคงมีหวังต้องอยู่ไม่สุข ด้วยข้อหาช่วยว่าที่พระชายาองค์รัชทายาทหนีงานแต่งเป็นแน่
แม้ซ่งไจ้สุ่ยจะเป็นหลานสาวแท้ ๆ ของฮูหยินซ่ง แต่หากเทียบกับลูกสาวและลูกชายแท้ๆ แล้ว หลานสาวก็ไม่อาจจะเทียบได้อยู่นั่นเอง
แม้ฮูหยินซ่งจะสงสารซ่งไจ้สุ่ยเพียงใด แต่นอกเสียจากว่าซ่งอวี่วั่งจะออกหน้าล้มเลิกเรื่องงานแต่งครั้งนี้ มิเช่นนั้นนางก็จะไม่มีทางไม่แยแสตระกูลของตัวเองและอนาคตของลูกสาวด้วยการช่วยซ่งไจ้สุ่ยหนีงานแต่งเป็นเด็ดขาด
ดังนั้นนางจึงเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงเย็นชาในทันใด “นับแต่ไจ้สุ่ยมาอยู่ที่ฟ่งโจวหลายเพลา ไม่เคยเห็นเอ่ยถึงเรื่องจะออกไปข้างนอก แล้ววันนี้จู่ๆ ก็อยากจะออกไปเที่ยว…เจ้าจงพึ่งระวัง อย่าปล่อยให้นางทำเรื่องนอกลูกนอกทางได้ เพราะนอกจากจะสร้างความเดือดร้อนให้ตัวนางเอง ก็ยังพลอยสร้างความเดือดร้อนให้บ้านเราด้วย!”
เว่ยฉางอิ๋งมองนางอย่างเคลือบแคลง เนิ่นนานจึงได้เอ่ยว่า “ในเมื่อท่านแม่เป็นกังวลเรื่องท่านพี่ แล้วไยรับคำให้ท่านพี่ออกไปข้างนอก?” เพราะความจริงแล้วเมื่อยามที่นางมาขอ ก็คาดเอาไว้ว่าฮูหยินซ่งจะไม่ตกปากรับคำ และการเปลี่ยนแปลงของซ่งไจ้สุ่ยก็เกิดขึ้นฉับพลันเกินไป ประการต่อมา เวลาที่เสิ่นโจ้วจะมาถึงก็จวนเจียนเข้ามาแล้ว… ยามนี้ เว่ยฉางอิ๋งจงใจอย่างมากที่จะอยู่บ้านและฝึกฝนกริยามารยาทในการเข้าพบเสิ่นโจ้วแต่โดยดี เว่ยฉางอิ๋งไม่สะดวกที่จะออกจากบ้าน เมื่อไม่มีคนที่เหมาะสมจะออกไปเป็นเพื่อนซ่งไจ้สุ่ย ก็จักไม่อาจปล่อยให้ซ่งไจ้สุ่ยพาคนสองสามคนออกไปเที่ยวเล่นตามลำพังกระมัง?
ซึ่งนี่ก็คือสาเหตุหลักๆ ที่จะปฏิเสธ และไม่ทำให้เกิดเรื่องยุ่งยากได้มากที่สุด
จากนั้นฮูหยินซ่งเอ่ยออกมาอย่างราบเรียบว่า “เรื่องของนาง บ้านเราช่วยอะไรไม่ได้อยู่แล้ว เรื่องสำคัญในชีวิตเช่นนี้ ไม่ว่าไจ้สุ่ยจะหยิบยกเหตุผลใดมาก็ตาม เพราะ ภายใต้ความสิ้นหวังของนางนั้น จะยังความผิดหวังมาสู่บ้านเราด้วยเช่นกัน ในยามนี้หากไม่ยอมให้นางออกไปข้างนอกเพราะเกรงจะเกิดเรื่องเกิดราว…หาใช่สิ่งที่ญาติสนิทจะพึ่งทำไม่ และยิ่งจะทำให้นางขัดเคืองด้วย แล้วไยต้องห้ามนาง? ประการต่อมา สิ่งที่นางเอ่ยก็มิผิด ครานั้นสกุลเว่ยและฮองเฮาตกลงกันไว้ว่าเมื่อไจ่สุ่ยได้ปักปิ่น[2]แล้วก็จะให้นางออกเรือน จนยามนี้ก็ล่วงเลยมาสามปีแล้ว เกรงว่าเมื่อนางกลับถึงเมืองหลวงก็จะต้องแต่งเข้าวังหลวงในทันใด วันหน้าหากคิดจะออกมาเที่ยวเล่น…มีหรือจะเป็นเรื่องง่ายดาย?
“ยามนี้เมื่อนางต้องการทำสิ่งใด ขอเพียงมิใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรงของบ้านเรา หากสามารถทำตามนางได้ ก็ทำไปเถิด” ฮูหยินซ่งเอ่ยอย่างเจ็บปวดว่า “ผู้เป็นอาเช่นข้า สามารถผ่อนปรนเพื่อนางได้เพียงเรื่องเล็กน้อยนี้แล้ว”
เว่ยฉางอิ๋งนิ่งเงียบลง…ไม่ว่าในฐานะอาหรือฐานะแม่ สิ่งที่ฮูหยินซ่งสามารถผ่อนปรนให้หลานสาวและบุตรสาว ที่สุดแล้วก็มีเพียงช่วงเวลาก่อนออกเรื่องเช่นนี้เท่านั้น…
หลังออกเรือนแล้ว ก็เป็นคนของบ้านสกุลอื่นไปแล้ว
_____________________________________
[1] เซ่อ เป็นเครื่องดนตรีจีนชนิดหนึ่งคล้ายฉิน ‘หมิงเซ่อ’ แปลว่า เสียงเซ่อกังวาน
[2] เมื่อหญิงสาวอายุ 15 ปี จะถึงเวลาได้เกล้าผมและปักปิ่นใส่ผม แสดงว่าเป็นสาว และถึงวัยแต่งงาน มีเหย้ามีเรือน