ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง - ตอนที่ 38.2
ลวี่ฝางยกมุมปากยิ้มบางๆ “อาจเป็นเพราะคุณอยู่แต่เรือนหน้า ไม่เคยได้มาที่ลานหลังเรือนกระมังเจ้าคะ?”
“ในเมื่อเป็นคนที่ต้องตาท่านปู่ ทั้งยังเป็นเครือญาติ มิน่าเล่าเขาจึงไม่ถอยออกไป คงเป็นเพราะท่านปู่กำชับเขาว่าห้ามอยู่ห่าง” เว่ยฉางอิ๋งมองรอบทิศหนแล้วหนเล่า เห็นเพียงมวลไผ่เขียวชอุ่มและลมโบกพัดโชย แม้รู้สึกว่าที่แห่งนี้จักมีอันตรายใดได้ แต่บางทีเว่ยชิงอาจต้องการอาศัยโอกาสนี้แสดงความจงรักภักดีในหน้าที่องครักษ์เสียกระมัง?”
นางไม่ได้ซักไซ้เรื่องของเว่ยชิงอีก หากแต่ตั้งใจดื่มน้ำเฉิงเซียงในมือจอกนั้นให้หมด
แต่ในยามนั้นเองซ่งไจ้สุ่ยก็กลับมาอยู่ข้างกายนาง แล้วชี้ไปทางน้ำเฉินเซียงที่เอาออกมาจากห่ออาหารพลางว่า “ให้ข้าจอกหนึ่งสิ”
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยอย่างประหลาดใจว่า “ท่านที่ดูเสร็จแล้วหรือ?”
“ที่ข้าเรียนนั้นไม่ใช่การเขียนอักษรฉ่าวซู จึงตาไม่ถึง” ซ่งไจ้สุ่ยจิบน้ำเฉินเซียงอึกหนึ่ง จึงได้เอ่ยอย่างราบเรียบว่า “ดูเพียงเท่านั้นก็พอแล้ว ให้ดูต่อไปก็หาได้มีประโยชน์ใด หรือได้เรียนรู้อย่างก้าวกระโดดไม่”
จะอย่างไรฮูหยินซ่งก็เคยเอ่ยว่า ในสองสามวันที่ออกไปเที่ยว หากซ่งไจ้สุ่ยต้องการทำสิ่งใด ขอเพียงไม่ส่งผลร้ายต่อตัวนางและตระกูลเว่ย ก็ให้ว่าตามนางทั้งหมด เว่ยฉางอิ๋งจึงกล่าว่า “เช่นนั้นยามนี้ท่านพี่ยังอยากไปที่แห่งอื่นอีกหรือไม่? อย่างเช่นว่า…”
นางยังไม่ทันได้ยกตัวอย่างที่ท่องเที่ยวที่เตรียมเอาไว้ในลำดับต่อไป ซ่งไจ้สุ่ยกลับเอ่ยอย่างประหลาดใจว่า “ข้ายังไม่ได้ไปที่พำนักเดิมของท่านเขาไผ่เลย”
“กระท่อมก็อยู่ข้างบนนี้ แต่ว่าที่นั้นมีสิ่งใดน่าดูหรือ?” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยถามอย่างสงสัย “ก็เป็นเพียงกระท่อมธรรมดาหลังหนึ่ง แทบไม่ต่างอะไรกับที่อยู่ในสวนดอกไม้ของเรา”
ซ่งไจ้สุ่ยยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดข้างแก้ม แล้วกล่าวว่า “ก็ข้าอยากจะดูกระท่อมหลังนี้เสียหน่อย”
“…” เว่ยฉางอิ๋งมองนางแวบหนึ่งมิได้พูดจา…ร้อยปีมานี้ ผู้คนในใต้หล้ามาที่เขาไผ่น้อย แม้จะมีคนมาที่กระท่อมเพื่อรำลึกถึงเว่ยปั๋วอวี้อยู่ไม่ขาด แต่ที่ต้องการมาชมเป็นอันดับแรกก็คือป้าย ‘บันทึกเขาไผ่น้อย’ ซ่งไจ้สุ่ยกับเป็นไปในทางกลับกัน!
แต่ทว่า…
ฮูหยินซ่งเคยเอ่ยไว้ว่า สิ่งที่นางสามารถผ่อนปรนให้กับหลานสาวได้ ก็มีเพียงช่วงเวลาไม่กี่วันก่อนนางออกเรือนและยังอยู่ที่บ้านตระกูลเว่ยเท่านี้แล้ว
แม้คำขอของซ่งไจ้สุ่ยในยามนี้จะไร้เหตุผลเพียงใดก็พอจะเข้าใจได้
ยิ่งไปกว่านั้น อย่างไรยามนี้คนก็มาอยู่ที่เขาไผ่น้อยแล้ว
กระท่อมที่เว่ยปั๋วอวี้เคยอาศัยอยู่เมื่อครั้งอดีตนั้น สร้างไว้บริเวณเกือบถึงยอดเขา และเป็นเช่นเดียวกับคำของเว่ยฉางอิ๋งที่ว่ามันเป็นเพียงแค่กระท่อมธรรมดามากๆ หลังหนึ่งเท่านั้น กระท่อมดินสามห้องเรียงต่อกัน ซึ่งก็คือสถานที่เว่ยปั๋วอวี้ใช้ชีวิตอยู่เมื่อสมัยก่อน
ส่วนทางทิศใต้ของกระท่อมสามห้องนี้ มีเรือนแคบๆ อยู่หลังหนึ่ง เรือนนี้ทอดตัวในแนวตะวันตกไปตะวันออกและแยกออกจากตัวเรือนหลัก หากแต่ยังสามารถมองเห็นกันได้ โดยมีทางเดินแบบมีหลังคาเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน ซึ่งน่าจะเป็นที่ให้เด็กรับใช้อยู่อาศัย ด้านหน้าที่พักมีรั้วซึ่งมีดอกตำลึงขึ้นอยู่และพันเต็มไปหมด ในยามนี้ดอกตำลึงได้บานและหุบไปจนหมดแล้วจึงมีแต่ดอกที่ห้อยพับลงอยู่บนรั้ว
ข้างๆ ที่พักมีลำธารสายหนึ่ง ไหลเรื่อยลงมาพร้อมเสียงสาดซ่า และมีการผันน้ำออกไปยังแปลงผักที่อยู่ข้างๆ แปลงผักนั้นไม่ใหญ่โตนัก และยังปลูกผักต่างๆ อยู่บ้างจนทุกวันนี้ เว่ยฉางอิ๋ง ซ่งไจ้สุ่ยและเว่ยฉางเฟิงต่างก็มีชีวิตที่ไม่เคยได้แตะต้องดินโคลน แม้จะรู้สึกสนใจใคร่รู้เนื่องจากเพิ่งเคยเห็นแปลงผักเป็นครั้งแรก หลังจากพิจารณาอยู่เป็นนาน แต่กลับดูออกแต่ลูกมะเขือ ส่วนผักที่เหลือนั้นไม่แน่ใจ… สามลูกพี่ลูกน้องต่างพากันประหม่า เกรงว่าหากพูดขึ้นมาจะทำให้เกิดเรื่องน่าขันขึ้นได้ จึงพากันหันหน้าหนีโดยไม่ยอมเอ่ยสิ่งใดแม้แต่คำเดียว
คนกลุ่มใหญ่เดินขึ้นมาด้วยกันเช่นนี้ ก็เป็นธรรมดาที่คนดูแลบ้านพักจะสังเกตเห็น พวกเขาสองสามคนยังเดินมาไม่ถึงหน้ารั้ว ก็มองเห็นว่าที่ด้านหลังของกระท่อมมีคนรับใช้ชราสวมเสื้อแบบทิ้งท้องแขนกว้างผู้หนึ่ง พลางปัดฝุ่นบนตัว พลางเริ่งฝีเท้าเดินเข้ามาหา และเพราะเห็นว่าเป็นนายผู้หญิง แม้ซ่งไจ้สุ่ยและเว่ยฉางอิ๋งจะสวมหมวกคลุมหน้าแล้ว แต่คนใช้ชราก็ไม่กล้าจะเข้ามาใกล้ และหยุดฝีเท้าเมื่ออยู่ห่างออกไปเจ็ดแปดก้าว กำลังจะเอ่ยคำจากที่ไกลๆ นั้น แต่เว่ยฉางเฟิงก็ได้สั่งความไปก่อนว่า “ท่านพี่ทั้งสองชื่นชมชื่อเสียงของท่านเขาไผ่น้อย ตั้งใจมาเยี่ยมชม เจ้าไม่ต้องมากพิธี และจงถอยออกไปเสีย”
แม้คนใช้ชราจะเฝ้ากระท่อมนี้มาหลายปี แต่ก็ยังรู้จักเว่ยฉางฟงสองพี่น้องที่เคยมาที่นี่แล้ว และยังรู้ว่าเขาและนางคือดวงใจของประมุขและฮูหยินผู้เฒ่า จึงไม่กล้าชักช้าเลยแม้แต่น้อย พลันคำนับหนึ่งครั้งและเอ่ยด้วยความนบนอบว่า “ข้าน้อยน้อมรับคำสั่งคุณชายห้า เพียงแต่ว่า แม้จะปัดกวาดภายในกระท่อมไว้ตั้งแต่รุ่งสางแล้ว แต่ข้าน้อยต่ำต้อย หากคุณหนูทั้งสองและคุณชายห้าต้องการเข้าไป เกรงว่าจะต้องรบกวนให้ผู้ติดตามทุกท่านปัดกวาดให้อีกครั้งเสียก่อน”
“ข้ารู้แล้ว เจ้าไปเถอะ” เว่ยฉงเฟิงพยักหน้า พวกเขาทั้งสามคนออกเดิน พวกบ่าวไพร่ต่างพากันเดินตามมาตามคำสั่ง เป็นการบอกว่าไม่ให้คนรับใช้ชราผู้เฝ้าเรือนเข้าไปปรนนิบัตินั้นเอง เมื่อให้คนรับใช้ชราไปแล้ว เว่ยฉางฟงหันมาเอ่ยกับซ่งไจ้สุ่ยว่า “ท่านพี่อยากจะเข้าไปดูในกระท่อมหรือไม่?”
ซ่งไจ้สุ่ยเอื้อมมือออกไปประคองหมวกคลุมหน้า แล้วว่า “เข้าไปนั่งสักพักเถิด”
เสียงพูดของนางมีอาการหอบอยู่บ้าง…นั่นเพราะความจริงแล้ว นางเป็นคุณหนูใหญ่ตระกูลร่ำรวยที่ถูกเลี้ยงดูมาในคฤหาสน์ แม้เขาไผ่น้อยนี้ไม่สูงและไม่ชัน แต่กว่าจะเดินมาถึงตรงนี้ได้ก็ต้องเดินตามบันไดหินขึ้นมานับร้อยขั้น แม้เว่ยฉางเฟิงจะเป็นชายหนุ่ม แต่เว่ยฉางอิ๋งก็ฝึกวรยุทธ ตั้งแต่เล็ก จึงมีแรงดีกว่าน้องชายอยู่มาก…ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ซ่งไจ้สุ่ยดูเป็นคนที่อ่อนแรงที่สุด
เมื่อเว่ยฉางเฟิงสัมผัสได้ถึงบางสิ่ง จึงรีบสั่งความไปว่า “เข้าไปดูซิ”
เดิมทีที่สั่งคนใช้ชรามาเฝ้าอยู่ที่นี่ก็ได้มีการกำชับให้ทำความสะอาดทุกวัน ห้ามให้ในกระท่อมมีฝุ่นผงสะสม เมื่อครู่คนใช้ชราผู้นี้ก็บอกแล้วว่าเพิ่งจะปัดกวาดไปเมื่อรุ่งสาง แต่ซ่งไจ้สุ่ยและเว่ยฉางอิ๋งต่างก็เป็นผู้สูงศักดิ์ ให้คนใช้ชราปัดกวาดเพียงลำพังไม่อาจทำให้พวกนางวางใจได้ ดังนั้นสาวใช้สองสามนางจึงได้พาคนเข้าไปเช็ดถูกเครื่องเรือนต่างๆ อีกครั้งจึงได้เชิญให้ทั้งสามเข้าไปภายใน
___________________________________