ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง - ตอนที่ 39-1
เว่ยปั๋วอวี้เป็นผู้มีจิตใจฝักใฝ่แต่เพียงการเขียนอักษรแบบฉ่าวซูมาชั่วชีวิต จึงสามารถทนอาศัยอยู่บนเขาไผ่น้อยมาได้หลายสิบปี ทั้งที่ที่นี่ทั้งหนาวทั้งเปล่าเปลี่ยว และภายในกระท่อมก็หาได้มีการประดับตกแต่งใดมากมาย กระท่อมที่สร้างจากดินเหนียวขนาดสามห้องนี้สมถะเป็นที่สุด แน่ชัดว่าเขาหาใช่คนไร้การศึกษา ที่จงใจอาศัยบ้านช่องแสดงตัวตน แต่ภายในบ้านกลับปกปิดความหยาบกระด้างเอาไว้ไม่
เมื่อสิ้นเว่ยปั๋วอวี้ ตระกูลเว่ยได้รวบรวมสิ่งของและกระท่อมบนเขาไผ่น้อยแห่งนี้เข้าตระกูล และไม่ได้นำสิ่งใดเข้ามาเพิ่มเติม ทั้งต้นหญ้า ต้นไม้ โต๊ะเตี้ย แท่นฝนหมึก ล้วนจัดวางอยู่เช่นยามที่เว่ยปั๋วอวี้ยังมีชีวิต ร้อยปีมิได้เปลี่ยนแปลง
เมื่อทุกคนเข้าไปภายในกระท่อม ก็เห็นว่าพื้นบ้านเป็นดินและผนังห้องก่อจากดินเหนียว แต่ภายในห้องโถงที่ใช้เป็นที่รับรองแขก กลับพบว่าโต๊ะเขียนหนังสือตัวเล็กซึ่งมีเครื่องเขียนจัดเรียงอยู่นั้นทำจากไม้บุนนาค นับว่าเป็นของดีทีเดียว ทว่ารูปร่างหน้าตาของมันช่างเรียบง่ายเสี่ยนี่กระไร เห็นได้ชัดว่าช่างที่ทำขึ้นมามีฝีมือธรรมดายิ่ง ทว่าที่สุดก็ยังทำเสร็จออกมาได้อย่างเรียบง่ายเป็นที่สุดและไม่มีแม้ลวดลายใด
หลายแห่งสีซีดจางแล้วและมีร่องรอยการซ่อมแซมชัดเจน
เมื่อมองไปรอบๆ ผนังทั้งแถบภายในห้องบุไว้ด้วยกระดาษเยื่อไม้และมีภาพอักษรเขียนลายมืออีกจำนวนมากแขวนเอาไว้ รวมทั้งอักษร ‘บันทึกเขาไผ่น้อย’ ด้วย ทว่านี่เป็นเพียงแค่ของจำลอง ภาพจริงนั้นถูกเก็บรักษาเอาไว้ภายในคลังของตระกูลเว่ย เพราะไม่อาจวางส่งเดชไว้ในนี้
ห้องที่อยู่ทางด้านซ้ายและขวา ทางทิศตะวันออกคือห้องหนังสือ เมื่อเห็นว่าว่าซ่งไจ้สุ่ยส่งสายตาไปทางนั้น บรรดาสาวใช้จึงพากันรีบสาวเท้าไปดึงม่านไม้ไผ่ขึ้น หนังสือภายในห้องถูกจัดเรียงไว้ที่ผนัง มีโต๊ะอ่านหนังสือตัวยาวอยู่ข้างหน้าหน้าต่าง ตะเกียงบนโต๊ะถูกเช็ดถูมาใหม่จนแวววาว ใต้ตะเกียงมีม้วนหนังสือซี่ไม้ไผ่ถูกเปิดออกครึ่งหนึ่งและแผ่อยู่บนโต๊ะ ราวกับว่าเจ้าของบ้านยังอยู่ เพียงแต่ออกไปข้างนอกสักพัก ไม่นานก็จะกลับมาแล้วเช่นนั้น
เมื่อห้องทางทิศตะวันออกเป็นห้องหนังสือ ห้องทางทิศตะวันตกจึงเป็นห้องนอน
แม้เว่ยปั๋วอวี้จะเป็นญาติผู้ใหญ่เมื่อร้อยปีก่อนของทั้งสามคน ทั้งยังได้เสียไปแล้ว ทว่าซ๋งไจ้สุ่ยและเว่ยฉางอิ๋งเป็นเด็กสาวอายุน้อยช่างเหนียมอาย จึงไม่เข้าไปชมห้องนอนของญาติผู้ใหญ่
หลังจากนั่งอยู่ภายในห้องโถงได้เกือบเค่อ ซ่งไจ้สุ่ยดื่มน้ำชาและทานของว่างเล็กน้อยก็ได้กำลังวังชากลับมา แต่กลับมิได้เอ่ยถึงเรื่องจะลงเขา หากแต่กวาดตามองไปโดยรอบ แล้วพลันอุทานออกมาว่า “หากได้ความสงบบนเขาเช่นนี้ แม้จะเป็นกระท่อมสมถะ อาหารไร้ซึ่งเนื้อสัตว์ หักกิ่งไม้มาทำปิ่น ท่อผ้าใช้เอง ชีวิตเช่นนี้ จะมีสิ่งใดไม่ดีเล่า?”
เว่ยฉางอิ๋งได้รับคำกำชับจากฮูหยินซ่งว่าจะต้องจับตาดูซ่งไจ่สุ่ย เมื่อได้ยินดังนั้นสีหน้าของนางจึงค่อยๆ เปลี่ยนไป แล้วลองเอ่ยถามว่า “ที่แบบนี้ นานๆ มาสักครั้งหนึ่ง ท่านพี่ก็จะรู้สึกว่าแปลกใหม่ แต่หากอยู่นานไปก็เกรงว่าก็จะไม่น่าสนใจ”
ซ่งไจ้สุ่ยเอ่ยเบาๆ ว่า “ข้ากลับมีใจจะอยู่ที่นี่นานๆ สักหลายสิบปี ได้ฟังเสียงต้นไผ่โบกทุกวัน เสียดายก็เพียงแต่…”
“หลายสิบปีนานเกินไป หากท่านพี่ชอบจริงๆ พวกเราส่งคนกลับไปรายงานพวกผู้ใหญ่แล้วอยู่ที่นี่สักสองสามวัน คาดว่าท่านพี่ก็จะต้องเปลี่ยนใจแล้ว” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยพลางฝืนยิ้ม แต่เดิมนางก็รู้สึกว่าการที่จู่ๆ ซ่งไจ้สุ่ยมาเอ่ยปากเรื่องออกไปเที่ยวนั้นมีบางสิ่งไม่ชอบมาพากล แล้วยามนี้ยังมาได้ยินซ่งไจ้สุ่ยบอกว่ารู้สึกอิจฉาที่พำนักของเว่ยปั๋วอวี้อีก ยิ่งทำให้รู้สึกถึงความผิดปกติ…
ภายในกระท่อมพลันเงียบลงสักพัก ซ่งไจ้สุ่ยเอ่ยอย่างราบเรียบว่า “หากเพียงสองสามวันก็ช่างเถิด เมื่อนับๆ ดูเวลา ทูตก็ใกล้จะมาถึงเฟิ่งโจวแล้ว จะทำให้เจ้าเสียเวลาได้อย่างไร?” นางหลับตาอยู่เกือบเค่อแล้วสะบัดแขนเสื้อ ลุกขึ้นยืน “พวกเราออกไปเดินเล่นข้างนอกเถิด”
เว่ยฉางอิ๋งสองพี่น้องสบตากัน และทำตามคำนาง
กระท่อมดินสามห้อง แม้จะประกอบด้วยพี่พักของเด็กรับใช้ซึ่งเป็นเรือนแคบๆ สองห้อง แต่ก็ใหญ่เพียงเท่านี้ ซ่งไจ้สุ่ยเดินไปไม่กี่ก้าวก็เดินกลับมา แต่ก็ยังไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องกลับเข้าเมือง “เช่นนั้นลองขึ้นไปดูบนยอดก็แล้วกัน”
บนยอดเขาไผ่น้อยมีลำธารอยู่สายหนึ่ง พูดไม่ได้ว่าน้ำในลำธารดีมาก แต่ก็นับได้ว่าเย็นชื่นใจ
เว่ยฉางอิ๋งก้มหน้ามองภาพสะท้อนของตนเองในสระน้ำเล็กๆ ที่เกิดจากน้ำที่ไหลมาจากลำธาร… เพื่อไม่ให้เป็นที่สนใจของผู้คนที่สัญจรไปมา วันนี้นางและซ่งไจ้สุ่ยต่างพากันสวมเสื้อผ้าสีอ่อน เสื้อคอป้ายแขนกว้างสีม่วงอมชมพูที่เต็มไปด้วยลายปักกิ่งก้านและดอกโบตั๋นด้วยด้ายสีน้ำเงินเข้ม เพราะไอจากฤดูร้อนยังเหลืออยู่ ข้างในจึงสวมเพียงผ้าคาดอกสีฟ้าอมน้ำเงินปักดิ้นเชือกเป็นลายเมฆตัวเดียวเท่านั้น ส่วนท่อนล่างเป็นกระโปรงหลิวซานจีบรอบตัวไล่สีน้ำทะเล คาดเอวด้วยสายคาดเอวไหมปักลายสีผลท้อที่ใช้แผ่นโลหะประดับอัญมณีเกาะเอาไว้ และห้อยพู่ห้อยหยกมงคล
น้ำใสดังกระจก สะท้อนภาพใบหน้าที่หมดจดดุจหยกขาวของนาง ดวงตาดังหยดหมึกดำ ไรผมหน้าใบหูดังปีกกา นับเป็นหญิงงามนางหนึ่ง
…ลูกผู้พี่เอ่ยว่าเมื่อออกเรือนแล้ว ก็จักไม่ได้มีเวลาทำตามอำเภอใจเช่นนี้แล้ว…และไม่รู้ว่าเมื่อผ่านพ้นวัยสาวไป ยามตนเองก้มลงมองในน้ำ จะยังได้เห็นภาพสะท้อนในน้ำแล้วแอบภาคภูมิใจในภาพนั้นเช่นตอนนี้อีกหรือไม่?
ซ่งไจ้สุ่ยที่ยืนอยู่ห่างจากนางไปสองก้าว ก็เหม่อมองไปยังดงไผ่ที่อยู่ตรงข้ามกับสระน้ำประหนึ่งกำลังคิดถึงบางสิ่งอยู่เช่นกัน บุตรสาวสายเลือดโดยตรงของตระกูลซ่งผู้นี้ หากจะเอ่ยถึงไหวพริบทันคนแล้วยังห่างชั้นจากเว่ยฉางอิ๋งอยู่ชั้นหนึ่ง ทว่าหากเอ่ยถึงความงามสง่าเป็นหน้าเป็นตาของวงศ์ตระกูลแล้ว เว่ยฉางอิ๋งกลับไม่มีวันเทียบได้
แขนเสื้อพัดโบกยามต้องลมจากภูเขาที่พัดผ่านมาใต้แขน ทำให้ลูกพี่ลูกน้องทั้งสองนางดูราวกับนางสวรรค์ที่กำลังจะถูกลมพัดพากลับขึ้นฟ้า
บ่าวไพร่ที่แวดล้อมอยู่สี่ทิศอดจะปิดปากเงียบไม่ได้ เมื่อเห็นสีหน้าน่ากลัวของทั้งสองนาง
เว่ยฉางเฟิงและเว่ยฉางอิ๋งเติบโตมาด้วยกันทั้งยังเป็นพี่น้องแท้ๆ และเขาก็นอบน้อมต่อซ่งไจ้สุ่ยผู้เป็นลูกผู้พี่มาโดยตลอด…ปีนี้เขาเพิ่งจะได้เกล้าผม ตลอดมาก็ถูกผู้ใหญ่คอยกวดขันเรื่องการเรียน ต้องร่ำเรียนอย่างยากลำบากมาหลายปี ยังไม่เคยครุ่นคิดถึงชีวิตเมื่อยามแก่เฒ่ามาก่อน จึงหาได้มีความรู้สึกใดกับความเจ็บปวดของการแต่งงานที่สะท้อนอยู่บนผิวน้ำของพี่สาวทั้งสองคนไม่ กลายเป็นปลาที่กำลังว่ายโบกหางอยู่ในสระเสียอีกที่กระตุ้นความสนใจของเขา…ไม่ว่าจะพยายามวางท่าว่าเป็นบัณฑิตสูงส่งเพียงใด แต่ความจริงแล้วตอนนี้เว่ยฉางเฟิงก็เป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุสิบห้าปีคนหนึ่ง แม้จะหมั่นเพียรเล่าเรียน แต่เมื่อยามออกมาท่องเที่ยว ก็ยากจะปกปิดความเป็นเด็กในตัวได้ เมื่อเห็นพี่สาวทั้งสองขึ้นมาถึงยอดเขาก็เอาแต่ยืนเหม่อลอยอยู่ริบน้ำ และแต่ละคนก็มีสาวใช้อยู่รอบกาย รู้สึกว่าตรงนี้ไม่ใช่เรื่องของตัว เขาจึงอดจะหันหน้ากลับไปไม่ได้ แล้วเอ่ยถามเว่ยชิงอย่างแผ่วเบาว่า “พี่สามท่านหาเบ็ดตกปลามาได้หรือไม่?”
ในบรรดาพี่น้องรุ่นเดียวกัน เว่ยชิงอยู่ในลำดับที่สาม แม้ยามนี้เขาจะทำหน้าที่อารักษ์ขาเว่ยฉางเฟิง ทั้งยั้งต้องเรียกเว่ยฉางเฟิงว่า ‘คุณชายห้า’ นั่นเพราะเว่ยฉางเฟิงได้รับการอมรมสั่งสอนมาตั้งแต่เล็กว่าจะต้องปฏิบัติกับบ่าวให้ดี จึงยังคงเรียกขานเขาตามลำดับญาติว่าพี่สาม และยังถือว่าเป็นการให้ความใกล้ชิดสนิทสนมด้วย
เว่ยชิงติดตามเว่ยฉางเฟิงมาสองสามปีแล้ว จึงเข้าใจนิสัยส่วนตัวของคุณชายท่านนี้เป็นอย่างดี เมื่อเขากวาดสายตาไปบนผิวหน้าสระน้ำก็รู้ความคิดของเว่ยฉางเฟิงในทันที เขายกมุมปากขึ้นเล็กน้อยแล้วจึงเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เกรงว่าบนเขาเช่นนี้จะไม่มี แต่สามารถทำขึ้นมาได้ขอรับ”
…เมื่อทุกคนออกมาเที่ยวเล่น แต่ไหนแต่ไรพวกบ่าวก็จะเตรียมทุกสิ่งอย่างครบถ้วน เว่ยชิงต้องการเข็มเย็บผ้าเล่มหนึ่ง ซินลี่ก็นำห่อเข็มออกมาทันใด หาก้อนหินที่ริมสระ ดัดเข็มให้งอบนก้อนหิน แล้วดึงเส้นไหมออกมาเตรียมไว้หลายเส้น เมื่อเว่ยชิงลองเหวี่ยงมีดได้พอสมควรแล้ว จึงไปตัดลำไผ่ใกล้ๆ มาท่อนหนึ่ง…และทำคันเบ็ดหนึ่งคันออกมาสำเร็จ
เว่ยฉางฟงเห็นพี่สาวทั้งสองยังคงยืนเหม่อลอยอยู่ทางโน้น คล้ายยังไม่มีทีท่าว่าจะไป จึงโล่งอกแล้วไปขุดไส้เดือนจากดินชื้นๆ ริมสระมาติดไว้ที่ตัวเบ็ด หาหินก้อนใหญ่ที่อยู่สูงสักหน่อย ม้วนชายเสื้อยาวขึ้นแล้วนั่งลง และเริ่มตกปลาอย่างสบายอุรา