ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง - ตอนที่ 39-2
“ในนี้มีปลาหรือ?” ไม่รู้ว่าเป็นเพราะซ่งไจ้สุ่ยดึงสติคืนมาได้ หรือว่าก่อนนี้ก็สังเกตเห็นสิ่งที่เว่ยฉางเฟิงทำอยู่แล้ว เว่ยฉางเฟิงเพิ่งจะนั่งลง นางก็หันเหสายตามาในทันใด แล้วเอ่ยถามเบาๆ มาจากอีกฝั่งของสระ
เว่ยฉางฟงกำลังจดจ่ออยู่กับปลาในสระ เมื่อได้ยินคำมือก็สั่น จนทำให้ปลาที่เพิ่งจะว่ายใกล้เข้ามาตกใจเตลิดไปหมด เขาอดจะเสียดายไม่ได้ พลางรีบลุกลี้ลุกลนยืนขึ้นแล้วเอ่ยว่า “ท่านพี่กล่าวถูกต้องแล้ว”
…ได้รับคำสั่งให้ออกมาเที่ยวเล่นกับพี่สาวทั้งสอง แต่ปรากฏว่ากลับเผลอเรอมาตกปลาอยู่ตรงนี้เสียเอง แม้ว่าหากฮูหยินซ่งรู้เรื่องเข้าก็ใช่จะต่อว่าเขาด้วยเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ ทว่าเว่ยฉางเฟิงที่ให้ความสำคัญกับธรรมเนียมปฏิบัติมาโดยตลอดก็ยังรู้สึกผิดขึ้นมาเช่นกัน พลางมองไปที่คันเบ็ดในมือที่เขาเพิ่งจะได้มา แม้อยากจะโยนทิ้งแต่กลับรู้สึกเสียดาย จึงได้แต่เพียงคีบเอาไว้หลวมๆ ในขณะที่ไม่รู้ว่าจะเอ่ยสิ่งใดกับซ่งไจ้สุ่ยอยู่นั้น ซ่งไจ้สุ่ยกลับเอ่ยว่า “น่าสนุกจริง เช่นนั้นข้าก็จะทำสักคัน เข็มมีอยู่แล้ว…ข้าจะไปเลือกลำไผ่ที่มีขนาดเหมาะมา”
ยามนั้นเอง เว่ยฉางอิ๋งก็ถูกทำให้สะดุ้งได้สติคืนมา พลางเอ่ยตามไปว่า “ข้าไปด้วย”
“เจ้าไปทางนั้นเถิด เจ้าแรงมาก เข้าจะไปเลือกลำเล็กๆ หน่อย” เมื่อซ่งไจ้สุ่ยได้ยินดังนั้น กลับหันหลังไปยิ้มเย้ยนาง พลางว่า “ต้นไผ่ทางนี้เกรงว่าจะไม่เหมาะให้เจ้าใช้”
เว่ยฉางอิ๋งมองไปตามทิศทางที่นางไปหนหนึ่ง ที่นั่นเป็นที่ที่มีต้นไผ่ลำเล็กๆ จริงๆ ซึ่งเล็กเกินไปสำหรับแรงข้อมือของนาง จึงหัวเราะพลางเอ่ยไปว่า “ตกลง”
เพียงแต่…
เพิ่งจะเดินไปได้สองก้าว เว่ยฉางอิ๋งพลันรู้สึกว่ามีบางสิ่งไม่ชอบมาพากล… ลำไผ่ที่เร็วเล็กเช่นนั้น ยังใหญ่ไม่เท่านิ้วก้อยของตนเลย แล้วจะรับน้ำหนักของปลาได้หรือ? แม้ซ่งไจ้สุ่ยจะบอบบางเรี่ยวแรงน้อย แต่…ก็ใช่ว่าจะถือคันเบ็ดที่มีขนาดเท่านิ้วก้อยไม่ได้นี่? และคันเบ็ดที่เรียวเล็กว่านิ้วก้อย เกรงว่าโดยปกติแล้วเมื่อปลาใหญ่น้อยงับเบ็ด มีหรือจะยกขึ้นมาได้? ลำไผ่เช่นนั้นจะเอามาทำคันเบ็ดอะไรได้เล่า?
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ใจของนางก็เต้นรัวขึ้นมาโดยไร้สาเหตุ แล้วรีบหันตัวกลับทันที!
อากัปกริยาที่เกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วนพาให้พวกของลวี่ฝางที่ตามมาด้านหลังต่างตื่นตกใจ!
แต่ว่ายังไม่ทันได้เอ่ยสิ่งใดกับนาง เว่ยฉางอิ๋งก็สูดหายใจลึก รวบชายกระโปรงขึ้นแล้วรีบสาวเท้าตามซ่งไจ้สุ่ยไปอย่างรวดเร็ว!
ซ่งไจ้สุ่ยเดินนำหน้าสาวใช้ ยามนี้นางเดินลึกเข้าไปจนถึงเขตป่าไผ่ เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า นางไม่เพียงไม่หยุดเดิน แต่กลับเร่งฝีเท้าเดินเข้าไปในป่าไผ่! เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ เว่ยฉางอิ๋งยิ่งรู้ว่าไม่เข้าทีแล้ว นางจึงตะโกนร้องสุดเสียง “ชุนจิ่ง เซี่ยจิ่ง รั้งตัวท่านพี่ไว้!”
ชุนจิ่งและเซี่ยจิ่งรู้สึกแต่เพียงว่านายของตนเดินเร็วไปสักหน่อยเท่านั้น…แต่บางทีอาจเป็นเพราะนางเห็นคุณชายห้าตกปลาจึงตื่นเต้นดีใจขึ้นมา อดจะเร่งไปเลือกหาคันเบ็ดที่เหมาะเจาะมาไม่ได้? พวกนางไม่ใช่สาวใช้ของเว่ยฉางอิ๋ง เมื่อได้เยินเสียงตะโกนของเว่ยฉางอิ๋ง จึงกลับพากันนิ่งเหม่อกับคำสั่งของคุณหนูตระกูลเว่ย…ในขณะที่นิ่งเหม่ออยู่นั่นเอง ก็เห็นว่าซ่งไจ้สุ่ยที่เดินเข้าไปในป่าไผ่เกิดอาการอ่อนปวกเปียกไปทั้งตัว จนต้องนางต้องเอื้อมมือออกไปหาของข้างๆ ยันตัวเอาไว้ ทว่าป่าไผ่ลำเรียวเล็กที่นางเลือกนี้ ลำของพวกมันยังใหญ่ไม่เท่านิ้วก้อยของสาวน้อยเลย จึงไม่สามารถช่วยค้ำยันสิ่งใดได้ กลับทำให้ซ่งไจ้สุ่ยเอนตัวไปข้างหน้าอย่างแรง!
เมื่อไม่มีสิ่งใดรับแรงของซ่งไจ้สุ่ยเอาไว้ ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่นางจึงล้มลงไปบนพื้น
“คุณหนู?!” ชุนจิ่งและเซี่ยจิ่งกำลังลังเลอยู่ว่าควรจะฟังคำสั่งของเว่ยฉางอิ๋งหรือไม่ เมื่อเห็นเหตุการณ์ดังนั้นก็พากันตกใจจนหน้าถอดสี… ลำไผ่หลายต้นล้มนอนราบลง แม้จะไม่ได้เป็นที่สูงชันนัก ทั้งบนพื้นก็มีใบไผ่ร่วงอยู่เต็มไปหมดเมื่อเหยียบลงไปก็จะรู้สึกนุ่มมมาก แต่จะอย่างไรนี่ก็คือป่าไผ่! ภายใต้ใบไผ่ ก็ยังมีหน่อไผ่แก่ที่อยู่มานานปี ก้อนหินแตกแหลมคม จนบางครั้งสามารถตัดลำไผเล็กเรียวจนขาดได้…
หากเพียงเหยียบลงไปบนของเหล่านี้ก็ไม่นับว่ามีอะไร ทว่ายามนี้ซ่งไจ้สุ่ยถึงกับล้มลง…ใบหน้าที่งามปานดวงเดือนของนาง มีหรือจะทานทนไหวยามขอบของใบไผ่บาดลงไป?!
สาวใช้ทั้งสองนางกุลีกุจอจะเข้าไปดึงตัวนาง แต่เนื่องจากเดิมทีพวกนางก็ล้าหลังซ่งไจ้สุ่ยอยู่ก้าวหนึ่ง และยังมานิ่งหยุดคิดตอนเว่ยฉางอิ๋งส่งเสียงตะโกนมาอีก จึงยิ่งทำให้ตามหลังไปอีกครึ่งก้าว ยามนี้หากคิดอยากจะรีบเข้าไปให้ทัน มีหรือจะเป็นเรื่องง่าย?
เมื่อมองเห็นซ่งไจ้สุ่ยกำลังจะล้มลงบนพื้น ใบหน้าของทั้งชุนจิ่งและเซี่ยจิ่งต่างร้อนรนดังไฟเผา! การที่คุณหนูสูงศักดิ์ล้มลงต่อหน้าพวกนางก็นับว่าเป็นความผิดแล้ว หน้ำซ้ำครานี้ยังล้มลงไปในป่าไผ่ที่ไม่รู้ว่ามีอะไรต่อมิอะไรอยู่ภายในอีก หากซ่งไจ้สุ่ยเกิดมีบาดแผลบนใบหน้าขึ้นมาจริงๆ ยังไม่ต้องเอ่ยถึงฐานะว่าที่พระชายาองค์รัชทายาทเลย ทั้งบ้านตระกูลซ่งจะต้องไม่มีวันปล่อยพวกนางไปแน่!
ในขณะที่สาวใช้กำลังสิ้นหวังอยู่นั้น กลับเห็นมีคนผู้หนึ่งโฉบผ่านข้างกายพวกนางไปราวกับโบยบิน คล้ายจะมุ่งหน้าไปยังซ่งไจ้สุ่ย คนผู้นั้นรีบคว้าเอานางมาโอบเอาไว้ พลิกเอวนางให้หมุนกลับมาจึงหมุนตัวท่อนบนของนางให้กลับมาได้..เกิดเสียงดังพั่บ ซ่งไจ้สุ่ยแนบตัวอยู่ในอกของเว่ยฉางอิ๋ง ลูกพี่ลูกน้องทั้งสองนางล้มลงไปด้วยกันบนกองต้นไผ่ที่อยู่บนพื้น เว่ยฉางอิ๋งที่นอนอยู่ข้างล่างร้องซี่ออกมาเบาๆ คล้ายว่าจะได้รับบาดเจ็บ ซ่งไจ้สุ่ยเองก็ส่งเสียงร้องอย่างตกใจออกมาสั้นๆ…สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างปัจจุบันทันด่วนนี้ทำให้ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างพากันตามไม่ทัน ทั้งยังไม่รู้ว่าควรจะทำเช่นใดดี หลังจากนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ถึงได้พากันกรูเข้าไป “รีบพยุงคุณหนูขึ้นมา!”
ก่อนนี้ตอนที่เว่ยฉางอิ๋งตะโกนสั่งชุนจิ่งและเซี่ยจิ่งให้รั้งตัวซ่งไจ้สุ่ยไว้นั้น เว่ยฉางเฟิ่งก็ตกใจจนต้องหันกลับมามอง เมื่อเห็นว่ายามนี้เกิดเรื่องขึ้นในป่าไผ่ เขาหรือจะมีอารมณ์ตกปลาอีก เขาตกใจเสียจนแม้แต่คันเบ็ดยังโยนลงไปในสระ เมื่อรีบมาดูที่ริมป่าไผ่ พี่สาวแท้ๆ และลูกผู้พี่ก็ลุกขึ้นเองไม่ไหวแล้ว ต้องให้สาวใช้ค่อยๆ พยุงจึงลุกขึ้นมาได้ เว่ยฉางเฟิงทั้งตกใจทั้งโกรธ พลันต่อว่าต่อขานพวกลวี่ฝาง และชุนจิ่งเสียยกใหญ่ว่าดูแลไม่รอบคอบ เมื่อต่อว่าไปสองประโยค ก็เห็นว่าเว่ยฉางอิ๋งเอามือคลึงที่หลังเอวพร้อมกับใบหน้าซีดเผือด ส่วนลูกผู้พี่ซ่งไจ้สุ่ยที่ได้เว่ยฉางอิ๋งช่วยเอาไว้ก็มีอาการปากสั่นระริก แขนซ้ายของนางห้อยลงไปเล็กน้อยจนแทบสังเกตไม่เห็น และนางก็ตัวสั่นงันงกไปหมดอย่างควบคุมไม่ได้!
เว่ยฉางเฟิงสูดหายใจตั้งสติ…เพราะเขาเป็นคนที่ฮูหยินซ่งฝากความหวังเอาไว้อย่างมาก แม้จะเผลอไผลไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบ แต่เมื่อหายตกใจแล้วก็กลับมาสงบได้อย่างรวดเร็ว ทางหนึ่งสั่งคนลงเขาเพื่อส่งคนไปเรียกหมอมา ทางหนึ่งก็สอบถามทั้งสองนางว่าสามารถเดินเองได้หรือไม่ หากเดินได้ ก็จักย้ายลงไปพักในกระท่อมข้างล่างเสียก่อน รอจนมีหมอมาดูอาการจึงค่อยตัดสินใจว่าจะกลับหรือไม่
เมื่อได้ยินคำสั่งการของเขา เว่ยฉางอิ๋งที่ยามนี้มีสีหน้าซีดขาวพลันพยักหน้า พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อยว่า “เอาเช่นนั้นกันก็แล้วกัน”
เมื่อเห็นนางมีอาการเช่นนั้น พลันมีความหวาดหวั่นปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของเว่ยฉางเฟิง และไม่อาจวางท่าสง่างามอย่างลูกหลานสกุลใหญ่ได้อีก พลันสั่งการเว่ยชิงไปด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดว่า “พี่สาม ท่านไปเชิญท่านหมอมา! เร็วเข้า!” เขาย่อมรู้จักพี่สาวแท้ๆ ของตนเป็นอย่างดี เว่ยฉางอิ๋งเป็นคนมีนิสัยทะนงตนมาแต่ไร ทั้งยังฝึกวรยุทธ มาแต่เล็ก จึงสามารถทนรับความเจ็บปวดได้มากว่าคนทั่วไปหลายเท่านัก แต่ยามนี้เจ็บปวดถึงเพียงนี้ ต้องไม่ได้บาดเจ็บเพียงเล็กน้อยแน่!
นอกจากจะเป็นพี่น้องท้องเดียวกันแล้ว เว่ยฉางอิ๋งก็จวนเจียนจะต้องไปคารวะญาติผู้ใหญ่ฝ่ายสามีแล้ว จักไม่ให้เว่ยฉางเฟิงไม่ร้อนใจได้อย่างไร?
เว่ยชิงเข้าใจสถานการณ์ดี รีบพยักหน้า “ข้าจะขี่ม้าของคุณชายกลับเมือง!” แน่นอนว่าม้าของเว่ยฉางเฟิงนั้นดีและว่องไวที่สุด
_________________________