ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง - ตอนที่ 40-1
บ่าวไพร่ต่างปรนนิบัติดูแลกันจ้าละหวั่น พาแม่นางทั้งสองส่งกลับไปที่กระท่อม แต่เพราะว่ากระท่อมนี้เรียบง่ายเกินไป ภายในห้องโถงและห้องหนังสือล้วนไม่มีที่ให้เอนกายนอนลงได้ ทุกคนจึงเลิกคำนึงว่าที่แห่งนี้มีความสำคัญมากมายเพียงใด แล้วตรงเข้าไปเปิดประตูห้องนอน แม้ไม่มีใครอาศัยอยู่และได้เก็บฟูกผ้าห่มไปหมดแล้ว ทว่าตั่งไม้ที่อยู่ภายในก็ยังกว้างพอให้นอนราบลงได้ ทั้งยามนี้ก็เป็นปลายฤดูร้อนต้นฤดูใบไม้ผลิ เพียงจัดแจงสักหน่อยก็เพียงพอให้เว่ยฉางอิ๋งนอนลงไปได้
เมื่อให้เว่ยฉางเฟิงออกไปแล้ว บรรดาสาวใช้จึงช่วยกันถอดเสื้อผ้าของนางออกอย่างเบามือเพื่อตรวจดูส่วนที่ได้รับบาดเจ็บ เพิ่งเปิดด้านหลังเอวของเว่ยฉางอิ๋งออก บรรดาสาวใช้ตัวเบียดเข้ามาดูแล้วสูดหายใจลึก คนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ และบ่าวชราที่เป็นลูกมือต่างพากันตื่นตระหนกจนถึงกับร้องอุทานออกมา!
“อาการบาดเจ็บเป็นเช่นไร?” เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกเพียงว่าตอนที่ล้มลงมานั้นราวกับไปชนเข้าก้อนหินบนพื้น และก็รู้สึกเจ็บปวดที่เอวเป็นอย่างมาก แต่ว่าตอนที่นางฝึกวรยุทธ ก็เคยได้รับความลำบากมามาก แม้ครานี้จะล้มทั้งยืนจนไร้เรี่ยวแรงไปในทันใด จะเอ่ยคำยังยากเย็น แต่ก็ไม่ได้คิดเลยจริงๆ ว่าจะเป็นเรื่องใหญ่โต ทว่าเมื่อมาเห็นท่าทางของทุกคนในยามนี้ นางก็อดจะเป็นกังวลขึ้นมาเล็กน้อยไม่ได้ จึงรีบซักไซ้ขึ้นทันใด
ลวี่ฝางอดจะกวาดตามองไปที่เอวของนางสองครั้งไม่ได้ แล้วจึงเอ่ยอยากลำบากใจว่า “คุณหนู เอวของท่าน…ฟกช้ำเป็นรอยใหญ่…กระทั้งแผ่นหลังก็…”
“ตอนล้มลงมาข้ารู้สึกราวกับชนเข้ากับบางสิ่ง” อย่างไรเสีย เว่ยฉางอิ๋งก็เป็นผู้ฝึกวรยุทธ ตอนแรกๆ ที่ฝึกนั้นก็ยากที่จะไม่เป็นรอยฟกช้ำเขียวบ้างม่วงบ้างอยู่ทุกวัน เมื่อได้ยินดังนั้นจึงกลับรู้สึกโล่งใจ เพราะที่นอนลงยามนี้ ก็ไม่ต้องใช้แรงทรงตัวเช่นยามยืนอยู่ นางเอียงหัวมา ยามพูดจากลับพูดได้อย่างลื่นไหล เอ่ยว่า “แค่รอยฟกช้ำใช่หรือไม่? ไม่มีรอยแผลแตก?”
ลวี่ฝางขบริมฝีปาก กล่าวว่า “ไม่มีรอยแผลแตก ทว่าบริเวณที่ฟกช้ำนั้น…”
เป็นเพราะฝึกวรยุทธมานานปี กล้ามเนื้อของเว่ยฉางอิ๋งจึงหาได้บอบบางฉีกขาดง่ายเช่นคนทั่วไป หากแต่ยืดหยุ่นได้มากกว่า ทว่าความงามหมดจดอย่างหญิงสาวในวัยนี้ซึ่งถูกประคบประงมมาอย่างดีก็หาได้ลดน้อยลงไปไม่ ยามนี้นางได้ปลดเปลื้องเสื้อผ้าออกเผยให้เห็นแผ่นหลัง แม้จะอยู่ในห้องทึบ ทว่าความผุดผ่องที่มีเฉพาะในผิวสาวก็ยังเปล่งประกายออกมา แม้จะเอ่ยว่างามดังหยกก็ยังน้อยเกินไป
และเพราะเหตุนี้ เมื่อมีรอยช้ำสีม่วงแผ่นใหญ่อยู่บนผิว จึงดูน่าตกใจยิ่งนัก
“ไม่เป็นไร กลับไปแล้วเอาเหล้ายาทาสักหน่อยก็ทุเลาแล้ว” เว่ยฉางอิ๋งได้ยินเพียงลวี่ฝางเอ่ยถึงสีของรอยฟกช้ำ แต่กลับลอบปาดเหงื่อที่ไหลโชก ดงไผ่เมื่อครู่นี้มองดูแล้วไม่ได้ชันแต่ความจริงนั้นมีความลาดเอียงมาก ตนเองร้อนใจเข้าช่วยซ่งไจ้สุ่ย หาได้ดูให้ชัดเจนไม่ว่าพื้นที่ตรงนั้นเป็นเช่นไรก็กระโจนเข้าไปหาแล้ว นี่หากว่าโชคร้าย ตรงที่ล้มลงไปมีก่อไผ่แหลมคมหรือสิ่งอื่น เสื้อผ้าบางๆ ของฤดูร้อนที่สวมในยามนี้ไม่มีทางช่วยกันได้… แม้ว่าตนจะล้มเอาหลังลง จึงไม่ได้เกิดสิ่งใดกับใบหน้า แต่ว่าหากแผ่นหลังถูกบาดเป็นแผลและทิ้งรอยแผลเป็นเอาไว้ก็จะไม่งามเช่นกัน…
ครานี้เพียงแค่ชนจนเกิดรอยฟกช้ำ สำหรับนางแล้วดีชั่วก็เป็นแค่เรื่องที่กลับไปนอนพักสักสองวัน เมื่อวางใจได้เช่นนั้น นางจึงพลันนึกถึงซ่งไจ้สุ่ยขึ้นได้ แล้วรีบรนเงยหัวขึ้นเหนือตั่งไปดู “ท่านพี่ท่านเป็นอย่างไรบ้าง? ได้รับบาดเจ็บหรือไม่?”
ก่อนหน้านี้ตอนอยู่บนยอดเขา แม้เว่ยฉางเฟิงจะต่อว่าไปจนถึงชุนจิ่ง แต่ระหว่างทางที่ส่งทั้งสองนางลงจากเขา เว่ยฉางเฟิงเอาแต่จดจ่ออยู่ที่ตัวเว่ยฉางอิ๋ง จึงกลับทิ้งซ่งไจ้สุ่ยเอาไว้อีกทางหนึ่ง นี่หาใช่เพราะเขายังเด็ก เมื่อประสบเรื่องใหญ่โตก็ไม่อาจจะดูแลทุกเรื่องได้ทั่วถึง หากแต่เพราะอย่างไรเสียข้างกายทั้งสามคนล้วนมีบ่าวไพร่ดูแลเพียงพออยู่แล้ว อีกประการเว่ยฉางอิ๋งก็เป็นพี่สาวแท้ๆ ของเขา ซ่งไจ้สุ่ยเป็นเพียงลูกผู้พี่… แม้ปกติแล้วเว่ยฉางเฟิงก็เคารพพี่สาวทั้งสองเช่นเดียวกัน ทว่าเมื่อประสบเหตุเช่นนี้ ก็เห็นได้ชัดว่าพี่น้องแท้ๆ และญาตินั้นย่อมมีความแตกต่างกัน ประการที่สอง ก่อนหน้านั้นเว่ยฉางเฟิงได้ยินเว่ยฉางอิ๋งสั่งให้ชุนจิ่งและเซี่ยจิ่งรั้งตัวซ่งไจ้สุ่ยไม่ให้เข้าไปในป่าไผ่ จากนั้นนางก็มาบาดเจ็บเพราะช่วยซ่งไจ้สุ่ยอีก… แม้เขาจะอายุยังน้อย แต่ก็ฉลาดเฉลียวมาแต่กำเนิด มีหรือจะดูไม่ออกว่าที่ซ่งไจ้สุ่ยเกิดล้มลงไปนั้นมีพิรุธเป็นอย่างมาก?
หากเดิมทีเป็นเพียงลูกผู้พี่ตั้งใจหกล้มจนบาดเจ็บ เว่ยฉางเฟิงก็จะไม่ถึงกับเคืองนางเช่นนี้ แต่ที่ซ่งไจ้สุ่ยจงใจหกล้มนี้กลับพลอยทำให้เว่ยฉางอิ๋งรับเคราะห์ไปด้วย เว่ยฉางเฟิงสงสารพี่สาวของตน จึงมีโทสะอยู่ในหัวใจ เขาอายุยังน้อย ทั้งเกิดมาสูงศักดิ์ จึงหาได้สนใจฐานะในภายภาคหน้าของซ่งไจ้สุ่ยไม่ ภายใต้ความเคืองโกรธ จึงเห็นว่าเขาชักสีหน้าใส่ลูกผู้พี่ผู้นี้อย่างชัดเจน
ในเมื่อเขาทำเช่นนี้ พวกของลวี่ฝางต่างก็รู้สึกสงสารคุณหนูของบ้านตน แม้มิกล้าจะแสดงออกชัดเจนอย่างเช่นเว่ยฉางเฟิงทำ แต่ไม่ว่าจะจงใจหรือไม่ พวกนางก็เฉยเมยกับซ่งไจ้สุ่ยขึ้นมา… ก่อนนี้ตอนที่พากันกรูเข้าไปตรวจดูอาการบาดเจ็บของลูกพี่ลูกน้องทั้งสองนาง พวกของลวี่ฝางเข้าไปถึงตั่งก่อน และเหลือเพียงเก้าอี้ยาวมีพนักสำหรับนั่งพักผ่อนตรงใต้หน้าต่างเอาไว้เห็นซ่งไจ้สุ่ยและสาวใช้เท่านั้น… และท่าทีตื่นตระหนกของลวี่ฝางและบ่าวชราเมื่อครู่นี้ นอกจากจะเป็นเพราะเป็นห่วงเว่ยฉางอิ๋งแล้ว ก็ยังจงใจแสดงความตกใจให้ซ่งไจ้สุ่ยเห็นด้วย
ยามนี้เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยปากถามถึงซ่งไจ้สุ่ยเอง พวกลวี่ฝางแม้จะไม่เอ่ยคำใด ทว่าก็ยังมีความขัดเคืองใจอยู่ในแววตา… คุณหนูของบ้านตนต้องบาดเจ็บเพราะช่วยซ่งไจ้สุ่ย จนถึงขั้นจะลุกขึ้นก็ยังลุกไม่ได้…แต่เมื่อซ่งไจ้สุ่ยมาถึงที่นี่พักหนึ่งก็มิได้ไต่ถามสิ่งใด เมื่อชุนจิ่งประคองนางไปที่เก้าอี้ยาวมีพนัก นางก็เอาแต่นั่งอยู่เช่นนั้นไม่ส่งเสียงใด…
ช่าง…ไม่มีน้ำจิตน้ำใจเอาเสียเลย…
ซ่งไจ้สุ่ยเป็นคนละเอียด นางย่อมสัมผัสได้ถึงความขัดเคืองของเว่ยฉางเฟิงและบ่าวของตระกูลเว่ย เพียงแต่นางหาได้ต้องการจะอธิบายไม่ จึงกล่าวเสียงเบาว่า “ข้ามิเป็นไร”
ชุนจิ่ง สาวใช้ที่อยู่ข้างกายนางขยับริมฝีปาก แต่กลับต้องหยุดปากไว้เพราะสายตาเย็นเฉียบของซ่งไจ้สุ่ย
เว่ยฉางอิ๋งนอนอยู่บนตั่ง ไม่ได้สังเกตเห็นเหตุการณ์นี้ เมื่อได้ยินคำจึงรู้สึกโล่งใจ เอ่ยว่า “เช่นนั้นก็ดีแล้ว” เมื่อความกังวลคลายลง นางกลับโวยวายเร่งรัดขึ้นมา “หมอเล่า? เหล้ายาเล่า? ไม่มีสิ่งใดเลยรึ? ฉางเฟิงจัดการอย่างไรกัน! รีบให้คนออกไปถามเร็ว!”
ลวี่ฝางรู้ว่าเจ้านายผู้นี้เมื่อในใจไร้เรื่องกังวลก็จะชอบกดดันผู้อื่น จึงรีบปลุกปลอบนางแทนเว่ยฉางเฟิง แล้วเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “ก่อนหน้านี้คุณชายห้าได้สั่งให้คุณชายชิงขี่ม้าของคุณชายกลับเข้าเมืองไปตามท่านหมอมาแล้ว คุณหนูใหญ่ได้โปรดอดทนสักพัก!”
“โธ่…ไม่มีหมอ ไม่มีเหล้ายา ก็ไม่รู้จักให้คนไปต้มน้ำสักหน่อย แล้วเอาผ้าร้อนมาประคบ[1]ให้ข้า!” ยามเว่ยฉางอิ๋งเล็กๆ นั้นหกล้มจนชินเสียแล้ว เรื่องการดูแลบาดแผลนั้นนางมีประสบการณ์โชกโชน กลายเป็นพวกลวี่ฝางเสียอีก เป็นเพราะหลายปีมานี้ได้ผ่านช่วงที่เว่ยฉางอิ๋งฝึกพื้นฐานวรยุทธแล้ว จึงไม่ค่อยบาดเจ็บจากการฝึก ทำให้พวกบ่าวพากันหลงลืมวิธีดูแลง่ายๆ เช่นนี้ไปสิ้น…แต่ความจริงแล้วผู้ที่บาดเจ็บเมื่อก่อนนั้นก็หาใช่พวกนางไม่
เมื่อเว่ยฉางอิ๋งย้ำเตือน พวกบ่าวต่างพากันอายจนหน้าแดง ลวี่ฝางรีบคำนับอย่างรวดเร็ว “เป็นข้าน้อยเองที่เลอะเลือน! ข้าน้อยจะไปทำบัดเดี๋ยวนี้!”
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยอีกว่า “อาหารเที่ยงวันนี้ยังไม่ได้รับ…เตาที่นี่ใช้การได้ไหม?”
บ่าวชราสองคนเอื้อมมือไปเช็ดกระโปรงสองหน แล้วรีบรนคำนับ “ข้าน้อยจะรีบไปดู”
———————————————————————-
[1] การประคบร้อน เมื่อเพิ่งเกิดอาการบาดเจ็บเป็นความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง ตามหลักการแพทย์ในปัจจุบัน จะต้องประคบเย็นในช่วง 24 ชั่วโมงแรกหลังเกิดอาการบาดเจ็บ เมื่อพ้นเวลานั้นไปแล้ว จึงให้ประคบร้อนในภายหลัง