ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง - ตอนที่ 41
แต่ไรมาฮูหยินซ่งก็เห็นบุตรชายและบุตรสาวเป็นดังแก้วตาดวงใจ เป็นคนที่สำคัญเสียยิ่งกว่าชีวิตของตน ผู้ที่วางแผนให้บุตรชายบุตรสาวออกมาเที่ยวเป็นเพื่อนหลานสาวครานี้ก็คือนางเอง และนางก็รู้อยู่เต็มอกว่าที่หลานสาวเสนอความคิดเรื่องอยากออกไปเที่ยวนั่นเกรงว่าจะมีแผนการบางอย่าง ทว่าด้วยความรู้สึกผิดและสงสารหลานสาวจึงยังคงฝืนรับคำ
ไม่คิดว่าสองวันก่อนยังดีๆ อยู่ วันนี้เพิ่งจะนอนกลางวันไปสักพักเดียวก็ถูกเสียงแม่นมซือปลุกให้ตื่น บอกว่าบุตรสาวและหลานสาวทั้งคู่หกล้มได้รับบาดเจ็บอยู่บนเขาไผ่น้อย…ฮูหยินซ่งตกใจเสียจนวิญญาณแทบจะออกจากร่าง ไหนเลยจะมีแก่ใจไปดูแลงานการต่างๆ ในบ้านตระกุลเว่ย?
แม้แต่แม่เฒ่าซ่งนางก็ยังไม่ทันได้รายงายใดๆ มิทันได้ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า ตรงมาสวมรองเท้าไม้และเรียกให้เตรียมรถ!
ตลอดทางนางเร่งคนขับรถให้เร่งรถไวๆ ไม่รู้กี่หน คนขับรถหวาดเกรงจะได้รับโทษจากนายผู้หญิงจึงได้แต่หวดแซ่ใส่ม้าที่ลากรถอยากสุดชีวิต รถม้าสั่นคลอนจนสาวใช้อายุน้อยสองสามคนทนไม่ไหว ฮูหยินซ่งผู้เกิดมาสูงศักดิ์ร้อนใจเป็นห่วงบุตรสาวและหลานสาวอย่างล้นเหลือ แม้ใบหน้าจะซีดเผือด แต่ก็ไม่ได้มีอาการสะทกสะท้านใดให้เห็น นางออกแรงจับยึดตัวรถเอาไว้จนนิ้วมือกลายเป็นสีเขียว
เมื่อถึงตีนเขาไผ่น้อย ฮูหยินซ่งก็เป็นคนเดินนำหน้าเป็นคนแรก ก้าวเท้าอย่างรวดเร็ว นำแม้กระทั่งองครักษ์ที่เดิมทีมาคอยนำทางให้!
เมื่อฟุ่งตัวเข้าไปในกระท่อมแล้วกวาดสายตาไป เห็นบุตรชายคนรองยืนอยู่ในห้องโถงโดยไม่มีอาการบาดเจ็บใดๆ และกำลังจะเอ่ยปากกับฮูหยิน แม้สีหน้าจะเคร่งเครียดแต่ก็มิได้มีความทุกข์ ยามนั้นเองนางจึงได้สงบสติอารมณ์ พลางเอ่ยถามด้วยเสียงสั่นว่า “ฉางเฟิง พวกพี่สาวเจ้าเล่า?”
“ท่านแม่!” เว่ยฉางเฟิ่งรู้สึกตกใจที่มารดาเดินทางมาด้วยตนเอง ทั้งยังมาถึงเสียรวดเร็วเช่นนี้ เขาเข้าใจดีว่าฮูหยินซ่งรักใคร่ตนเองและพี่สาวเพียงไร จึงได้รีบเอ่ยปลอบใจนาง “ท่านพี่ทั้งสองนั้นไม่เป็นอะไรมาก ท่านแม่โปรดอย่าได้เป็นกังวลไป!”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ กอปรกับหมอทั้งสองคนก็เอ่ยปากยืนยันเป็นมั่นเหมาะ ยามนี้ฮูหยินซ่งจึงได้ผ่อนลมหายใจยาวออกมา…ทันใดนั้นพลันรู้สึกว่าขาอ่อนไปหมด จนแทบจะทรุดลงไปกับที่!
ยามนี้ทั้งฮูหยินและบ่าวไพร่ต่างก็อยู่กันครบ พวกแม่นมซือและฮว่าถังต่างรู้ดีว่าไม่อาจให้นายหญิงของบ้านมาเสียหน้าต่อธารกำนัล มิทันส่งเสียงใดก็พากันเข้าไปประคอบนางเอาไว้ ฮูหยินซ่งจึงยืนขึ้นมาอย่างมั่นคงได้อีกครั้ง เมื่อยืนได้มั่นคงแล้ว ฮูหยินซ่งก็จัดแจงแขนเสื้อ…อาศัยการนี้สงบจิตใจอีกครั้ง และฮูหยินซ่งก็รีบรุดเดินไปทางห้องนอนทันที
เมื่อเห็นเช่นนั้น เว่ยฉางเฟิงกระแอมไอหนึ่งครา แล้วเอ่ยกับหมอทั้งสองว่า “ยังต้องขอให้ทั้งสองท่านอยู่รอก่อน เกรงว่าเมื่อท่านแม่ออกมาจะมีข้อสงสัยที่ต้องการให้ทั้งสองท่านตอบอีก”
หมอทั้งสองคนยิ้มเจื่อนและหันมามองกันหนหนึ่ง และไม่อาจไม่ตอบรับได้…ก็ผู้ใดใช้ให้ฮูหยินซ่งเป็นห่วงบุตรสาวและหลานสาวถึงเพียงนี้ แม้ทั้งหมอและบุตรชายคนรองต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันแล้วว่าอาการไม่หนักหนา แต่หากมิได้เห็นด้วยตา แล้วจักให้วางใจได้อย่างไร?
หรือต่อให้เห็นแล้ว ก็เกรงว่ายามออกมาจะยังมีเรื่องต้องสอบถามกับหมออีกหนแล้วหนเล่า…
ภายในห้อง ด้วยเหตุที่ซ่งไจ้สุ่ยปกปิดถึงสาเหตุที่ได้รับบาดเจ็บ จึงทำให้บรรยากาศช่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเอาเสียจริงๆ เมื่อพลันได้เห็นฮูหยินซ่งเข้ามา ทั้งสองนางต่างพากันตื่นตกใจ เว่ยฉางอิ๋งไม่สะดวกจะหยัดตัวลุกขึ้น และซ่งไจ้สุ่ยก็ไม่อยากยืนขึ้นคำนับ ฮูหยินซ่งรู้ว่านางบาดเจ็บที่เข่า แล้วจะให้นางขยับร่างกายได้อย่างไร? จึงรีบเอ่ยไปว่า “จงอยู่กับที่ห้ามขยับ!”
แม้ในใจจะร้อนใจกับบุตรสาว ทว่าหลานสาวก็เป็นญาติสนิท ฮูหยินซ่งร้อนใจจนทนไม่ไหว จึงเข้าไปพลิกเปิดแขนเสื้อและชายกระโปรงของนาง เมื่อเห็นแขนและหัวเข่าของซ่งไจ้สุ่ยแล้ว ทั้งยังได้ยินซ่งไจ้สุ่ยยืนยันหนแล้วหนเล่าว่าไม่เป็นไร จึงได้โล่งใจและไปดูบุตรสาว
รอยฟกช้ำของเว่ยฉางอิ๋งนั้นน่าตกใจมากกว่าของซ่งไจ้สุ่ย ฮูหยินซ่งได้เห็นแล้วแทบจะน้ำตาร่วงออกมา นางไม่อยากจะออกไปไต่ถามหมออีก พลันนั่งลงข้างๆ ซ่งไจ้สุ่ย สะอื้นเบาๆ ว่า “มาชมเขาอยู่ดีๆ เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้เล่า?”
คำถามนี้ทำให้ลูกพี่ลูกน้องทั้งสองนางออกจะลำบากใจ ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร ซ่งไจ้สุ่ยคาดเดาในใจว่าที่ท่านอารีบร้อนมาเร็วเช่นนี้ ระหว่างทางคงยังมิได้มีผู้ใดเล่ามาให้ฟังว่าตนทำให้ลูกผู้น้องต้องรับเคราะห์ เดิมทีนางคิดจะแสร้งทำหกล้ม แล้วให้ก้อนหินที่นางเล็งเอาไว้บาดแก้มของตนเพื่อจะได้หลบเลี่ยงการแต่งเข้าวัง แต่ไม่ได้คิดว่าลูกผู้น้องจะกระโจนเขามาช่วยตนไว้ จนกลายเป็นว่าก้อนหินที่นางได้เลือกเอาไว้กลับไปทำให้ลูกผู้น้องบาดเจ็บแทน…ยังดีที่ไม่เป็นอะไรมาก มิเช่นนั้นจิตใจของซ่งไจ้สุ่ยคงไม่อาจสงบได้ไปชั่วชีวิต
เมื่อได้ยินท่านอาสอบถามดังนี้ แม้จะรู้ว่าฮูหยินซ่งหาใช่จะต้องการสอบสวนหาความผิด หากแต่ต้องการสอนสั่ง แต่ซ่งไจ้สุ่ยรู้สึกผิดอยู่ในใจ จึงกำลังจะเอ่ยปากยอมรับผิด กลับพลันได้ยินเว่ยฉางอิ๋งเอ่ยพลางหัวเราะว่า “ท่านแม่ เป็นข้าไม่ดีเอง ขาเห็นว่าฉางเฟิงให้พี่สามทำเบ็ดตกปลาให้ จึงได้พาท่านพี่ให้คิดอยากทำด้วย นึกไม่ถึงว่ากระโปรงที่สวมนั้นยาวไปสักหน่อย เมื่อเข้าไปในป่าไผ่จึงได้ถูกเกี่ยวเอา และยังพาท่านพี่ล้มไปด้วยกัน”
ซ่งไจ้สุ่ยและสาวใช้ทั้งสองนางพากันนิ่งอึ้ง และต่างมองไปยังเว่ยฉางอิ๋งด้วยสายตาไม่ปกติ ฮูหยินซ่งก็ตื่นตกใจเช่นกัน แล้วเอ่ยออกไปอย่างมิทันรู้ตัวว่า “เป็นเช่นนั้นรึ?”
“ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว” เว่ยฉางอิ๋งนอนคว่ำอยู่บนเตียง ร้องเสียงคร่ำครวญ ทำประหนึ่งว่าไม่มีอะไร แล้วเอ่ยว่า“โชคดีที่สวรรค์คุ้มครอง ทั้งข้าและท่านพี่ต่างก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก มิเช่นนั้น ข้าก็ไม่รู้จริงๆ ว่าจะบอกกับท่านลุงอย่างไร!”
ฮูหยินซ่งขมวดคิ้วครั้งแล้วครั้งเล่า…เป็นดังที่ซ่งไจ้สุ่ยคิดเอาไว้จริงๆ ว่าในเมื่อนางรีบร้อนมาเช่นนี้ แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นหลานสาวที่วางแผนจะทำร้ายตัวเองจึงได้พลอยลากเอาบุตรสาวของนางมาบาดเจ็บเพราะต้องการจะช่วยตน? ที่นางมายามนี้ ประการแรกเพราะเป็นห่วงเลือดเนื้อเชื้อไขของตน ประการที่สองกลับเป็นเพราะกลัวว่าซ่งไจ้สุ่ยจะยังไม่ยอมรามือ ครานี้ได้เว่ยฉางอิ๋งขัดขวางไว้ แต่กลับไม่ยอมจำนน ยามนี้อำนาจของรุ่ยอวี่ถังในรัชสมัยนี้เริ่มอ่อนแรงลง จึงไม่ต้องการต้องพระราชอาญาข้อหา ‘ประมาทเลินเล่อจนเป็นเหตุให้ว่าที่พระชายาองค์รัชทายาทเสียโฉม’
หรือหากไม่เอ่ยถึงในวัง ลำพังเพียงเรื่องของเครือญาติ ตระกูลซ่งก็มีหลานสาวซึ่งเป็นเลือดเนื้อโดยตรงเพียงคนเดียว หากซ่งไจ้สุ่ยเกิดเรื่องเกิดราวในเฟิ่งโจว ฮูหยินซ่งก็ไม่รู้จะบอกกับบิดามารดาแลพี่ชายอย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นซ่งไจ้เถียนและเสิ่นโจ้วเดินทางมาด้วยกัน อีกไม่กี่วันก็จะถึงแล้ว แล้วซ่งไจ้สุ่ยที่ถือเป็นหมากสำคัญในตอนนี้กลับมาเกิดเรื่องขึ้น ฮูหยินซ่งเองก็ไม่รู้ว่าจะไปพบหน้าหลานชายผู้นี้อย่างไรดี!
เช่นนั้นแล้ว เมื่อรู้ว่าอาการของเด็กทั้งสองไม่เป็นอะไรมาก ฮูหยินซ่งจึงได้วางใจลงได้เสียที แล้วรีบคิดถึงสิ่งที่ต้องบอกกล่าวกับซ่งไจ้สุ่ยและบอกให้เรียบร้อย เพื่อมิให้นางคิดจะทำร้ายตัวเองหรือคิดสั้นใดๆ อีก
แต่แล้ว บุตรสาวของตนก็ออกหน้ารับแทนนางอีก ฮูหยินซ่งเพียงถามแค่ประโยคเดียว ตามองไปที่ซ่งไจ้สุ่ยนางก็จะยอมรับแล้ว…กำลังจะอาศัยจังหวังที่ซ่งไจ้สุ่ยรู้สึกผิดเอ่ยเรื่องนี้เชียว เว่ยฉางอิ๋งกลับเอาทุกเรื่องมาลงที่ตัวเองเสียนี่!
‘เจ้าเด็กโง่แล้งน้ำใจ!’ ฮูหยินซ่งรุ่มร้อนขึ้นมาในอก นึกต่อว่าบุตรสาวว่าไม่มีความคิดอ่าน ‘ยามนี้เป็นเวลาจะมาออกหน้ารับแทนใครรึ?’ ไจ้สุ่ยเจ้าเด็กคนนี้อ่อนนอกแข็งใน เมื่อไม่อยากแต่งเข้าวัง แม้แต่เรื่องทำลายโฉมตนยังทำออกมาได้ ความคิดนี้หาใช่เพียงทำให้ลูกผู้น้องต้องพลอยลำบากไปด้วย แล้วจากนั้นสักพักก็จะทำให้เรื่องจบลงได้ไม่? หากไม่ถือโอกาสหนนี้ ที่เรื่องเพิ่งจะเกิดขึ้น อาการบาดเจ็บยังไม่ทุเลา และในใจของเด็กคนนี้ยังคงรู้สึกผิดเป็นที่สุดมาอบรมนาง ผู้ใดเล่าจะรู้ว่าต่อไปจะเกิดสิ่งใดขึ้นอีก? หัวเข่าบาดเจ็บเคลื่อนไหวไม่สะดวก… ลูกผู้หญิงเมื่อสามารถดึงปิ่นปักผมออกส่งเดชได้…ต่อไปก็ยังมีของเช่นเข็มประดับดอกไม้ให้ดึงออกอีก…แล้วเรื่องนี้จะปล่อยให้ผ่านไปอย่างลวกๆ ได้หรือ?’
ลำพังเพียงมองเห็นสภาพของเว่ยฉางอิ๋งที่ยามนี้นอนคว่ำอยู่บนเตียงไม่อาจลุกขึ้นได้ ใจของนางก็อ่อนลงไปอีก นางนิ่งงันไปสักพักจึงได้กล่าวว่า “เอาเถิด ยามนี้พวกเจ้าต่างก็บาดเจ็บ รอให้อาการดีขึ้นก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
เว่ยฉางอิ๋งรีบเอ่ยว่า “ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านแม่รักข้า ยามนี้สภาพข้าน่าอนาถนัก ท่านแม่จึงไม่อาจจะโกรธข้าลง”
ซ่งฮูหยินถลึงตาใส่นางคราหนึ่ง…จะอย่างไรนางก็เป็นฮูหยินใหญ่มานาน จึงหาใช่ว่าเมื่อบุตรสาวทำลายแผนการที่วางเอาไว้ก่อนหน้าก็จะรามือไป เมื่อใคร่ครวญคร่าวๆ แล้ว ฮูหยินซ่งจึงตัดสินใจว่าจะเปลี่ยนวิธี โดยการใช้สีหน้าเป็นทุกข์ด้วยความเป็นห่วงอาการบาดเจ็บของพวกนาง แล้วเอ่ยวาจาอย่างเวทนาสงสารทั้งน้ำตา…และเวลายามนี้ก็จวนจะพลบค่ำแล้ว
เว่ยฉางเฟิงรั้งตัวหมอทั้งสองให้รออยู่ข้างนอก รอแล้วรอเล่าก็ไม่เห็นมารดาออกมากเสียที จึงได้แต่เพียงให้ซินลี่เข้าไปสอบถามในห้อง
แต่สิ่งนี่กลับเป็นการเตือนเว่ยฉางอิ๋งว่า ‘มารดามาด้วยตนเอง แต่บนเขานี่ก็แทบจะไม่มีสิ่งของใดๆ และยามนี้ข้าก็ครองเตียงเอาไว้แล้ว จึงไม่ควรจะรั้งมารดาให้นอนค้างที่นี่ ข้าว่าท่านแม่น่าจะรีบกลับไปในเมืองได้แล้วกระมัง?’
ซ่งไจ้สุ่ยก็กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “วันนี้เพราะข้าไม่ดีเอง ทำให้น้องฉางอิ๋งต้องลำบาก ทั้งยังทำให้ท่านอาต้องรีบมาด้วยความเป็นห่วง…”
ฮูหยินซ่งมองสีท้องฟ้าข้างนอก และรู้ว่าหากยังไม่กลับอีกก็จะไม่ควร…แม่เฒ่าซ่งสูงวัยนัก เกรงว่าจะกำลังตั้งตารอตนกลับไปรายงานเรื่องราวอย่างละเอียดอยู่! ยิ่งไปว่านั้นตนเองซึ่งเป็นนายหญิงใหญ่ของตระกูลแล้วพาคนจำนวนมากออกมานอกเมืองเช่นนี้ ก็จะต้องเป็นที่สนใจ อย่าได้สร้างเสียงร่ำลือในทางลบให้แก่เด็กสาวทั้งสองคนเลย เมื่อใคร่ครวญสักพัก จึงพยักหน้าแล้วว่า “ข้าจะกลับแล้ว”
แล้วกล่าวอย่างเด็ดขาดตามมาว่า “แต่บ่าวไพร่ข้างกายพวกเจ้าเลิ่นเลอเกินไป! ด้วยตาของคนตั้งมากมายเช่นนี้ ยังปล่อยให้พวกเจ้าบาดเจ็บได้! ไม่รู้จริงๆ ว่าข้าวปลาอาหารเสื้อผ้าที่ชุบเลี้ยงพวกนางมานั้นมีประโยชน์อันใด?!”
พวกลวี่ฝางและชุนจิ่งได้ยินคำสีหน้าก็พลันเปลี่ยน อยากจะแก้ต่าง แต่เมื่อดูสีหน้าของฮูหยินซ่งก็กลับไม่กล้าส่งเสียง…เป็นเว่ยฉางอิ๋งที่ไม่เกรงกลัวมารดา หัวเราะร่าพลางกล่าวว่า “ท่านแม่อย่าได้โทษพวกนางเลย วันนี้หากมิใช่ว่ามีพวกนางอยู่ เมื่อครู่นี้ข้าและท่านพี่ก็ไม่รู้ว่าจะลงมาจากยอดเขาได้อย่างไรเลย! ยิ่งไปกว่านั้นจริงๆ แล้วก็เป็นเพราะข้ารนหาที่เอง จะต้องเข้าไปหักกิ่งไผ่ในดงไผ่ให้จงได้ จึงทำให้เกิดเรื่องขึ้น หากท่านแม่จะโทษ ก็โทษข้าเถิด แต่ยามนี้ข้าต้องนอนอยู่ที่นี่ ก็นับว่าสวรรค์ลงทัณฑ์ข้าไปแล้ว…ท่านแม่รักข้ามาแต่ไร ครานี้จะต้องทำใจลงโทษข้าอีกไม่ได้เป็นแน่ ข้าว่าเรื่องนี้ก็เลิกแล้วกันไปเถิดได้หรือไม่?”
ฮูหยินซ่งถูกนางก่อกวนหนแล้วก็หนเล่าในใจรู้สึกเดือดดาลไม่น้อย แต่เมื่อได้ยินว่า“สวรรค์ลงทัณฑ์ไปแล้ว” สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไป กล่าวเสียงดังว่า “อายุอานามเพียงเท่านั้น เจ้าเพ้อเจ้อสิ่งใด? เป็นเพราะเจ้าไม่ระวังเอง เหตุใดจึงว่าสวรรค์ลงทัณฑ์เจ้า? เจ้าโชคดีมาแต่กำเนิด หาไม่จะมาเกิดในบ้านสกุลเว่ยรึ!”
“เจ้าค่ะ เจ้าค่ะ เจ้าค่ะ ท่านแม่กล่าวถูกต้องที่สุด” เว่ยฉางอิ๋งไม่ได้เห็นว่าอาการบาดเจ็บของตัวเป็นเรื่องราวใหญ่โตจริงๆ แม้จะนอนคว่ำอยู่ก็ยังเอ่ยทั้งรอยยิ้มว่า “ท่านแม่กลับไปก่อนเถิด อีกสักพักฟ้าจะมืดแล้ว หนทางจะเดินทางไม่สะดวก ยิ่งไปกว่านั้นจะต้องเรียกคนมาเปิดประตูเมืองให้ลำบากอีก”
ฮูหยินซ่งจ้องไปยังบุตรสาวสองหน รู้ดีว่าเมื่อมีบุตรสาวอยู่ ไม่ว่านางจะพูดจาตรงๆ หรือสอนสั่งหลานสาวก็ไม่มีทางสำเร็จ นางคิดตรองอยู่ในใจยกใหญ่ และรู้ว่าไม่อาจต่อต้านใจรักที่มีต่อบุตรสาวได้ จึงได้ลุกขึ้นตามคำบอกของบุตรสาว แต่กลับเอ่ยว่า “ข้าจะให้ฮว่าถัง และฮว่าปิ่งอยู่ที่นี่ และให้พวกนางแก่ๆ อยู่อีกสองสามคน เพื่อแบ่งหน้าที่คอยดูแลพวกเจ้า และช่วยจับตามองพวกบ่าวข้างกายพวกเจ้าด้วย อย่าให้แต่ละคนถูกนายเอาใจเสียจนเป็นคุณหนูเสียยิ่งกว่าคุณหนู!”
พวกลวี่ฝาง และชุ่นจิ่งต่างพากันกล่าวอย่างระมัดระวังว่า “ข้าน้อยมิกล้า”
ฮูหยินซ่งไม่สนใจพวกนาง ทั้งยังกำชับสองนางไปอีกสองสามประโยค แล้วจึงออกไป
เวลาผ่านไปอีกครึ่งชั่วยาม เว่ยฉางเฟิงกล่าวคำลาอยู่หลังประตูกั้น บอกว่าได้ส่งฮูหยินซ่งลงเขาไปแล้ว หมอก็ส่งกลับไปแล้วเช่นกัน ทว่าวันรุ่งขึ้นทางตระกูลเว่ยจะส่งหมอที่เรียกใช้ประจำมาตรวจอาการอีกครั้ง…วันนี้ฮูหยินซ่งทั้งร้อนใจและร้อนรนเกินไปจนลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท
เว่ยฉางเฟิงสอบถามอาการบาดเจ็บของพี่สาวทั้งสองอีกครั้ง เว่ยฉางอิ๋งกล่าวอย่างไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดีว่า “เจ้านี่ทึ่มเสียจริง นี่เพิ่งจะผ่านไปไม่กี่ชั่วยาม จะหายได้อย่างนั้นรึ?”
ซ่งไจ้สุ่ยหัวเราะพลางว่า “ข้ากลับรู้สึกว่าอาการดีขึ้นบ้างแล้ว”
อาการบาดเจ็บที่หัวเข่าของนางนั้นไม่นับ ส่วนแขนที่หลุดเมื่อจัดกระดูกกลับเข้าที่แล้ว ก็มิใช่จะดีขึ้นหรอกหรือ? เว่ยฉางเฟิงทำตัวไม่ถูก กล่าวว่า “เป็นข้าไม่ดีเอง เมื่อครู่ไม่ได้สังเกตเห็นว่าท่านพี่ได้รับบาดเจ็บ ยังนึกว่าท่านที่ปลอดภัยดีเสียอีก จึงทำให้หมอมาตรวจรักษาท่านพี่ช้าไป”
ซ่งไจ้สุ่ยฟังคำสารภาพผิดของเขาพลันยิ้มน้อยๆ ออกมา “น้องห้าเจ้าเกรงใจเกินไปแล้ว เราต่างก็เป็นญาติสนิทกัน ยิ่งไปกว่านั้นข้าก็เป็นพวกขวัญอ่อน ตกใจเกินไป แม้แต่ตัวเองก็ยังไม่ทันสังเกตเลย”
เมื่อกล่าวสองประโยคนี้ออกไป ลูกผู้พี่และลูกผู้น้องต่างก็รู้สึกได้ในใจว่าทุกสิ่งกลับมาเป็นดังเดิมแล้ว
เมื่อเห็นดังนั้น พวกลวี่ฝางจึงไม่กล้าแสดงความขัดเคืองต่อซ่งไจ้สุ่ยอีก อีกทั้งเพราะมีคนของฮูหยินซ่งคอยจับตาดูอยู่ด้วย จึงพากันระมัดระวังตัวเป็นอย่างมาก
เมื่อตกกลางคืน พวกบ่าวต่างพากันวุ่นว่ายกับการตระเตรียมอาหาร เว่ยฉางอิ๋งและซ่งไจ้สุ่ยต่างลุกนั่งไม่สะดวก จึงต้องให้สาวใช้ป้อนให้ เมื่อถึงเวลานอน เว่ยฉางเฟิงเอาเก้าอี้ยาวในห้องโถงมาต่อเข้าด้วยกันเพื่อใช้นอน ส่วนเว่ยฉางอิ๋งก็เรียกให้ซ่งไจ้สุ่ยมานอนด้วยกันบนเตียง…เตียงไม้บุนนาคที่เว่ยปั๋วอวี้ทิ้งเอาไว้นี้แม้หน้าตาจะแสนธรรมดาแต่กลับกว้างขวางมาก กว้างพอสำหรับสาวน้อยสองคนนอนด้วยกัน ไม่ถึงกับส่งผลถึงตำแหน่งที่ได้รับบาดเจ็บ
วันนี้ตั้งแต่นายถึงบ่าวต่างได้ผ่านเรื่องราวหนักหนากันมา เมื่อตกกลางคืน นอกจากพวกองครักษ์ที่ผลัดเวรยามกันดูแลอยู่นอกกระท่อมแล้ว ทุกคนล้วนเหน็ดเหนื่อยกันมาก ไม่นานจึงหลับกันหมด
เมื่อเห็นว่าสาวใช้ที่อยู่ในห้องต่างหลับสนิทกันหมดแล้ว ซ่งไจ้สุ่ยลืมตาขึ้น อาศัยแสงไฟสลัวที่ลอดเข้ามาในมุ้งหนา มองไปข้างตัว แล้วกล่าวเสียงต่ำๆ ว่า “ฉางอิ๋ง เจ้าไม่มีสิ่งใดจะพูดกับข้าหรือ?”
_________________________________