ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง - ตอนที่ 43 มีคนมา
แล้ววันต่อมา ซ่งไจ้สุ่ยก็เสียหลักล้มลงตอนที่กำลังนั่งทานข้าวอยู่บนตั่งไม้…ทว่าเพราะล้มลงบนตั่งไม้จึงไม่ได้เป็นอะไร แต่ที่นางบอกว่า “จู่ๆ ก็รู้สึกว่าหัวเข่าไม่มีเรี่ยงแรงเลยแม้แต่น้อย รอจนคิดจะเปลี่ยนท่านั่งก็กลับไม่ทันเสียแล้ว” นั้น กลับทำให้เว่ยฉางเฟิงตกใจจนหน้าถอดสี! เขารีบสั่งให้เว่ยชิงกลับไปรายงานกับฮูหยินซ่งในเมืองอีกครั้ง และในเวลาเดียวกันก็ให้เชิญท่านหมอจี้มาอีกหนหนึ่ง
ครานี้ฮูหยินซ่งก็มาด้วย ภายใต้การสังเกตการณ์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียดของนาง ท่านหมอจี้ได้ตรวจชีพจรของซ่งไจ้สุ่ยอย่างละเอียดถึงหนึ่งเค่อเต็ม แล้วจึงเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจว่า “คุณหนูซ่งสามารถอธิบายความรู้สึกตอนที่เสียหลักล้มสักหน่อยได้หรือไม่?”
“เป็นเช่นเมื่อวาน” ซ่งไจ้สุ่ยกล่าวช้าๆ อย่างแผ่วเบาอยู่หลังม่านกั้นว่า “ดีๆ อยู่ จู่ๆ ก็พลันไร้เรี่ยวแรง”
ฮูหยินซ่งเอ่ยถามอย่างตื่นเต้นว่า “เป็นเช่นไร?”
“…” ท่านหมอจี้นิ่งคิดอยู่เกือบเค่อ จึงกล่าวว่า “รายงานฮูหยิน ชีพจรของคุณหนูซ่งนั่นคงที่มาก เช่นนี้แล้วร่างกายของนางจึงไม่ได้มีปัญหาใด”
“แต่เหตุใดหลานสาวข้าคนนี้จึง…?” ฮูหยินซ่งไม่พอใจกับคำตอบนี้เป็นอย่างมาก
ท่านหมอจี้กล่าวอย่างอ้ำอึ้งว่า “ตามความเห็นของข้าน้อย คิดว่ายังคงเป็นเพราะลิ่มเลือดยังไม่สลายไป”
เมื่อวานเขาก็บอกเช่นนี้ และยังบอกว่าผ่านไปสองวันซ่งไจ้สุ่ยก็จะหาย ยามนี้เพิ่งจะผ่านไปหนึ่งวัน เรื่องที่ซ่งไจ้สุ่ยยังไม่หายก็มีเหตุผล ทว่าผู้ที่สอบถามเมื่อวานนี้มีเพียงเว่ยฉางเฟิงและแม่นมซือ วันนี้กลับเป็นฮูหยินซ่งมาด้วยตนเอง แม้ท่านหมอจี้จะเป็นผู้ที่เว่ยฮ่วน ประมุขตระกูลเว่ยเชิญมาตรวจชีพจรอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็มิกล้าเสียมารยาทต่อฮูหยินของตระกูลเว่ยผู้นี้ จึงได้อธิบายไปอีกครั้งว่า “คุณหนูซ่งมีฐานะสูงส่งนัก แม้เขาไผ่น้อยนี้จะไม่นับว่าสูงเท่าใด และด้วยความหนาแน่นของป่าไผ่ ดังนั้นเมื่อออกทางเส้นทางขนส่งรถม้าก็จะผ่านไม่ได้ หากต้องการขึ้นมาบนเขา ก็จะต้องเดินขึ้นมา เขาก็ราบเรียบไม่สูงชัน แต่ผู้ที่จะขึ้นมาบนเขาก็จะต้องเดินเป็นระยะทางไกลอยู่ ผู้ที่อยู่อาศัยอยู่ในเมือง นานๆ ครั้งจะได้ขึ้นเขาสักหน วันถัดมา ก็จะรู้สึกปวดเมื่อยบ้างอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผู้ที่เป็นหนัก ก็จักมีอาการอ่อนกำลังลงอย่างเฉียบพลันเช่นนี้ ซึ่งโดยทั่วไปพักผ่อนสักสองวันก็จะหายแล้วขอรับ”
คำของท่านหมอจี้นี้ฟังแล้วก็มีเหตุผลอยู่ ซ่งไจ้สุ่ยเรียกได้ว่าเป็นคุณหนูในตระกูลมั่งมีตั้งแต่หัวจรดเท้า ดังนั้นจึงไม่เหมือนกับคุณหนูในบ้านอื่นๆ ทั่วไปเพราะถูกประคบประหงมอยู่ในจวนเป็นเวลานาน จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ร่างกายจักบอบบางไปสักหน่อย แม้เขาไผ่น้อยนี้จะไม่สูงนัก แต่เมื่อดูจากที่ปกติแล้วซ่งไจ้สุ่ยไม่ออกประตูใหญ่ไม่ใกล้ประตูเล็ก เมื่อปีนเขาขึ้นมาหนหนึ่ง พอข้ามคืนก็เป็นธรรมดาที่จะระบมไปทั้งตัว
ฮูหยินซิ่งซึ่งเป็นผู้ดูแลทุกเรื่องในบ้าน ในวัยนี้ยามเมื่อเหน็ดเหนื่อยขึ้นมา ก็ยังรู้สึกว่าสองขาสั่นจนคล้ายจะล้มลง…
ยิ่งไปกว่านั้นซ่งไจ้สุ่ยก็ยังหกล้มจนหัวเข่าเจ็บ เมื่อพิจารณาจากสองสาเหตุนี้แล้ว ก็มิน่าเล่าที่จะเกิดอาการยืนเซนั่งไม่มั่นคง
ทว่าตามที่ท่านหมอจี้บอก อาการเช่นนี้จะเป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น
ฮูหยินซ่งโล่งใจ จึงได้เสนอความคิดว่าจะรับซ่งไจ้สุ่ยกลับไปในเมืองก่อน ส่วนเว่ยฉางอิ๋งที่ท่านหมอเสนอว่าให้พักรักษาตัวอยู่นิ่งๆ ไปสักสองสามวันนั้น อีกสองสามวันจึงให้เว่ยฉางเฟิงพากลับไปส่ง
…เมื่อว่ากันจริงๆ แล้ว ฮูหยินซ่งยังไม่ค่อยวางใจหลานสาวคนนี้ ประการแรกเกรงว่านางจะยังคงปลงไม่ตก ประการที่สองก็รู้สึกว่าบนเขานี้ไม่สะดวกจะส่งหมอมาคอยดู หากซ่งไจ้สุ่ยกลับไปบ้านตระกูลเว่ยก็จะเรียกหมอมาได้อย่างสะดวก
แต่ซ่งจุ้ส่ยกลับยืนกรานว่าจะอยู่ที่บนเขาไผ่น้อยเป็นเพื่อนลูกผู้น้อง และท่าทีของนางก็เด็ดเดี่ยวแข็งกร้าวยิ่งนัก ฮูหยินซ่งเป็นกังวลถึงเรื่องต่างๆ ในบ้านที่ยังมิทันได้จัดการเสร็จ เมื่อเอ่ยทันทานคราหนึ่งแล้วไม่เป็นผล จึงทำได้เพียงต้องกลับไปก่อน
เมื่อเรื่องราวๆ ดำเนินไปเช่นนี้ ซ่งไจ้สุ่ยและเว่ยฉางอิ๋งต่างก็พึงพอใจมาก และคอยแอบหารือกันว่าวันที่สามจะทำเช่นใดต่อไป
ยามเย็นของวันนั้น เสียงคลื่นซัดสาดดังก้องไปทั่วเขาไผ่น้อย ทั้งเสียงลมเริงระบำโหมกระหน่ำ…ไม่นานนัก สีของท้องฟ้าก็มืดสนิท ยินเพียงเสียงดังพึ่บพั่บลั่น ไม่ถึงสิบชั่วอึดใจก็กลายเป็นเสียงซ่าอย่างหนัก
ฝนตกแล้ว
ลมเขาที่พัดพาเอาละอองน้ำมาด้วยสาดเข้ามาในหน้าต่างที่เปิดออกครึ่งหนึ่ง พัดแรงเสียจนเว่ยฉางอิ๋งที่อยู่บนตั่งไม้อกสั่นขวัญแขวนขึ้นมา “ที่แห่งนี้ นานๆ มาอยู่ก็น่าสนใจดี”
ครานี้กลายเป็นซ่งไจ้สุ่ยเยาะนางบ้าง “สองวันก่อน มิรู้ว่าผู้ใดเกี่ยงว่าที่แห่งนี้ไม่ดี บอกว่าเป็นเพียงกระท่อมธรรมดาเท่านั้น”
เนื่องจากเป็นวันที่สองที่บาดเจ็บ เจียงจิ้งจึงได้นำเหล้ายามาให้ด้วยตนเอง เว่ยฉางอิ๋งเองพอจะทนความเจ็บปวดไหว สั่งให้สาวใช้เปลี่ยนผ้าร้อนมาประคบให้ตนทุกๆ ครึ่งชั่วยาม การฝึกวรยุทธ์ที่ไม่เคยมีฝนหรือลมมาเป็นอุปสรรค์ตลอดสิบสองปีนั้นช่างมีข้อดีเสียนี่กระไร ร่างกายของนางแข็งแกร่งยิ่ง ห่างไกลจนซ่งไจ้สุ่ยไม่อาจเทียบได้ ยามนี้นางสามารถลุกขึ้นนั่งได้ และเกาะสาวใช้เดินได้ก้าวสองก้าวแล้ว ดังนั้นเว่ยฉางอิ๋งจึงอารมณ์ดีมาก กล่าวว่า “ข้าก็ไม่ได้พูดผิดนี่! กระท่อมนั้นธรรมดาจริงๆ เพียงแต่ลมภูเขาวูบเมื่อครู่ช่างสบายเหลือเกิน”
“ทะเลไผ่ฟังคลื่น ค่ำคืนยินฝน ล้วนเป็นบทกลอนที่งดงามและไพเราะยิ่ง” ซ่งไจ้สุ่ยปิดปากหัวเราะบางๆ “แต่ยามนี้ ข้ากลับไม่อยากจะทำสิ่งงดงามเหมือนดังในบทกลอนนี้ หากแต่อยากจะหาสุราสักกามาดื่มสักสองจอก”
เว่ยฉางอิ๋งเข้าใจดีว่าความเมามายที่ซ่งไจ้สุ่ยรำพึงถึงนั้นหาใช่สุราไม่…หากแต่รู้สึกว่ามีหวังที่จะได้ล้มเลิกการแต่งงานที่ไม่น่าพึงพอใจนั้น และเปรมปรีดิ์เสียจนปิดบังไว้ไม่ได้ จึงจงใจใช้ฝนมาเป็นข้ออ้าง นางจับมือของลวี่ฝาง เกาะขอบตั่งไม้ค่อยเดิน เอ่ยปากว่า “เช่นนั้นท่านพี่คงต้องผิดหวังเสียแล้ว พวกเราล้วนบาดเจ็บ ทั้งมิได้อยู่ที่บ้าน ฉางเฟิ่งก็คงไม่เห็นด้วยเป็นแน่”
ซ่งไจ้สุ่ยกำลังจะเอ่ยบางสิ่ง แต่กลับได้ยินเว่ยฉางอิ๋งแค่นเสียงออกมาเร่งรัดว่า “พยุงข้ากลับไปที่ตั่ง!” ลวี่ฝางและลวี่ฉือไม่กล้าชักช้า ก่อนนี้ยามนางเดินก็ต้องเกาะไปตามขอบตั่ง ถอยไปสองก้าวก็คือตั่งไม้แล้ว เว่ยฉางอิ๋งตัวสั่นขณะนั่งลง หน้าผากมีแต่เหงื่อ สีหน้าซีดขาวเล็กน้อย
“อาการบาดเจ็บของเจ้ายังมิทันหายดี นอนลงเสียก่อนเถิด!” ซ่งไจ้สุ่ยมองดูอย่างเป็นกังวลพลางรีบเอ่ยเตือน
แต่กลับเห็นเว่ยฉางอิ๋งขมวดคิ้ว หลับตาลง และกำหมัดแน่น ประหนึ่งกำลังอดทนกับบางสิ่ง ครึ่งเค่อจึงได้ลืมตา ครานี้แก้มขาวดังหิมะของนางก็มีเหงื่อไหลอาบลงมา เว่ยฉางอิ๋งรับผ้าเช็ดหน้าที่ลวี่ฝางส่งให้มาเช็ดเหงื่อแล้วว่า “ไม่เป็นอะไรมากหรอก เพียงแค่กระดูกไม่ได้รับบาดเจ็บ ความเจ็บปวดที่กล้ามเนื้อนั้น ทนสักหน่อยก็หายแล้ว”
“ดีที่เจ้ายังลุกขึ้นได้ พรุ่งนี้พวกเราก็จักได้กลับเสียที” ซ่งไจ้สุ่ยบ่นอุบว่า “หลังจากกลับไปแล้ว ข้าก็คงต้องเอ่ยคำลาแล้ว”
เว่ยฉางอิ๋งตื่นตะลึง จากนั้นจึงได้เข้าใจเรื่องที่ซ่งไจ้สุ่ยเคยเอ่ยว่าต้องการจะทำให้ตนเดือดร้อนให้น้อยที่สุด ดังนั้นนางจึงจะออกเดินทางไปก่อนโดยไม่รอให้ซ่งอวี่วั่งส่งคนมา แต่ความปรารถนาของซ่งไจ้สุ่ยจะต้องเป็นจริง เมื่อหลวงก็จะต้องไป ดังนั้นนางจึงกล่าวเตือนประโยคหนึ่ง “แม้ท่านหมอจี้จะเป็นแพทย์ที่ท่านปู่เชื่อถือ แต่ก็หาใช่แพทย์หลวงประจำองค์รัชทายาท จะว่าไปเมืองหลวงต่างหากคือแหล่งที่รวมแพทย์เลื่องชื่อกระมัง?”
“ข้ารู้” มุมปากของซ่งไจ้สุ่ยโค้งขึ้นเล็กน้อย “เหตุผลที่จะเอ่ยลาเมื่อกลับไปที่บ้านตระกูลเว่ย ข้าก็ได้เตรียมเอาไว้แล้ว
เนื่องจากวางแผนไว้ว่าวันพรุ่งจะกลับเมือง คืนนี้ทุกคนจึงเข้านอนเร็ว
ระหว่างนั้นราวกับได้ยินว่ามีเสียงคนเอะอะโวยวายอยู่ข้างนอก แต่ไม่นานก็สงบลง เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยถามอย่างงัวเงีย ซินลี่เข้ามาบอกว่าเกิดเรื่องเล็กน้อย แต่เว่ยฉางเฟิงจัดการเรียบร้อยแล้ว เว่ยฉางอิ๋งจึงไม่ได้เป็นกังวลใดอีก และหลับไปอีกครา
กระทั่งวันรุ่งขึ้น ได้ยินเพียงเสียงหยดน้ำจากภายนอกกระท่อมดังไม่หยุด และไม่รู้ว่าฝนหยุดแล้ว หรือว่าตกเบาลงแล้วถูกเสียงหยดน้ำจากปลายใบไม้กลบเสีย
เพียงแต่ว่าใบไผ่ที่อยู่เต็มเขานั้นช่างเขียวชอุ่ม แม้จะอยู่ภายในห้องก็ยังรู้สึกหายใจได้เต็มปอด
เว่ยฉางอิ๋งได้พักผ่อนอย่างเต็มที่มาทั้งคืน ยามตื่นขึ้นจึงรู้สึกว่าตัวเองอาการดีขึ้นอีกเล็กน้อย เมื่ออาบน้ำแต่งตัวแล้ว ก็เกาะมือของสาวใช้และสามารถค่อยๆ เดินจากตั่งไปถึงห้องโถงได้
คืนแรกนั่นเป็นเพราะรีบร้อน เว่ยฉางเฟิงจึงได้เอาตั่งเตี้ยๆ ในห้องโถงมาเรียงต่อเข้าด้วยกันเพื่อใช้นอน วันที่สองเมื่อบ้านตระกูลเว่ยส่งข้าวของเครื่องใช้มาให้ เว่ยฉางเฟิงจึงได้ไปอยู่ห้องหนังสือ ยามนี้ประตูห้องหนังสือยังปิดอยู่ คิดว่าเพราะเว่ยฉางเฟิงยังเด็ก หลายวันมานี้ต้องจัดการเรื่องราวมากมาย จึงได้นอนดึก
ในห้องโถง ซินลี่กำลังพาคนเก็บข้าวของ เมื่อเห็นเว่ยฉางอิ๋ง ทางหนึ่งก็คำนับ ทางหนึ่งก็จะไปเคาะประตูห้องหนังสือ
เว่ยฉางอิ๋งหันไปส่ายหน้าให้พวกนาง เอ่ยเสียงต่ำว่า “ให้ฉางเฟิงนอนต่อสักพักเถิด ข้าจะลองเดินอีกสักก้าวสองก้าว”
ซินลี่ตอบเสียงเบาว่า “เจ้าค่ะ”
กระท่อมเล็กและแคบ ภายในมีข้าวของเครื่องใช้ที่ส่งมาจากในเมืองอัดแน่นไปหมด จึงไม่มีที่ทางพอจะให้เว่ยฉางอิ๋งก้าวขา เว่ยฉางอิ๋งเดินไปสองสามก้าว รู้สึกว่ายังพอมีกำลัง จึงได้ส่องสายตาออกไปนอกประตู
เพราะฝนตกทั้งคืน ลานบ้านที่เดิมทีเคยราบเรียบยามนี้เจิ่งนองไปด้วยน้ำ มองไปที่ลานบ้าน เกรงว่าเมื่อยามย่างลงไปจะมีแต่ดินโคลน
เว่ยฉางอิ๋งเรียกให้คนเอารองเท้าไม้มาเปลี่ยนให้ เมื่อรู้ว่านางจะออกไปเดิน ซินลี่จึงกล่าวว่า “พวกองครักษ์ต่างก็อยู่ข้างนอก คุณหนูใหญ่จะสวมหมวกคลุมหน้าหรือไม่เจ้าคะ?”
สวมหมวกนั้นย่อมต้องสวมเป็นธรรมดาอยู่แล้ว
ลวี่ปิ้นจึงได้ไปหยิบเอาเสื้อคลุมยาวท้องแขนกว้างตัวหนึ่งมาคลุมไหล่ให้นาง เสื้อสีแดงทับทิมปักลายดอกโบตั๋นแซมดอกอวี้หลาน[1]ตัวนี้ ทำจากผ้าชุดเดียวกับเสื้อสีตัวสั้นสีแดงทับทิมปักลายดอกโบตั๋นแซมดอกอวี้หลาน ซึ่งเป็นชุดที่นางเคยใส่ยามไปพบเว่ยเจิ้งหงที่หอฟักฟื้นคราวก่อน ตามที่ฮูหยินซ่งบอก เมื่อสวมเสื้อคลุมยาวตัวนี้ก็คือยามฤดูใบไม้ร่วงแล้ว อาการเย็นสบาย ต้นไม้ใบร่วง ซึ่งในยามนี้ทับทิมแดงก็จะไม่ได้จัดจ้านดังเช่นในฤดูร้อน
เพราะเป็นกังวลว่ากระท่อมบนเขาไผ่น้อยอยู่ใกล้ยอดเขา และยังอยู่ในป่าไผ่ อากาศเย็นทั้งยามเช้าและยามเย็น ดังนั้นฮูหยินซ่งจึงได้สั่งให้คนนำเสื้อผ้าของฤดูใบไม้ร่วงนี้มาให้เป็นพิเศษ มิเช่นนั้นหากสวมแต่เสื้อผ้าของฤดูร้อนแล้วจะรู้สึกเย็นเกินไป
เมื่อนับๆ ดู จนวันนี้ก็ห่างบ้านมาสองสามวันแล้ว เมื่อฝนตกทั้งคืนผ่านไป และอาศัยอากาศที่ปลอดโปร่งของป่าไผ่ จะมีที่ใดบนเขาไผ่น้อยลูกนี้หลงเหลือกลิ่นไอของฤดูร้อนอยู่อีก? เพียงมองไปที่หยดน้ำระยิบระยับบนปลายใบไผ่สีมรกตที่อยู่ภายนอก ก็ทำให้รู้สึกเย็นสบายมาจากภายในแล้ว ลวี่ปิ้นกลับรู้สึกเป็นกังวลว่าเมื่อเว่ยฉางอิ๋งออกไปข้างนอกจะถูกลมเขาพัดจนหนาว
สิ่งที่ลวี่ปิ้นคิดนั้นมีเหตุผลอย่างยิ่ง เว่ยฉางอิ๋งเพิ่งจะก้าวเท้าออกจากประตู ก็พลันมีลมภูเขาวูบหนึ่งพัดมาจนเต็มแขนเสื้อทั้งสองของนาง ลมลอดเข้ามาจากชายเสื้อด้านล่าง ทั้งเย็นและชุ่มชื้น
นางเงยหน้าขึ้นมองข้างบนหัว พอดีกับหยดน้ำหยดหนึ่งถูกบนชายคาถูกลมพัดให้ร่วงลงมา หากไม่มีผ้าแพร่คลุมหน้าที่ห้อยย้อยลงมาจากหมวก หยดน้ำก็จะร่วงลงมาที่ใบหน้าของนางพอดี แม้จะเป็นเช่นนั้นก็ทำให้พวกของลวี่ฝางหันหลังกลับมาปิดปากแอบหัวเราะกัน
“เสียงเบาหน่อย!” เว่ยฉางอิ๋งเอ็ดพลางขมวดคิ้ว “ท่านพี่และฉางเฟิงยังหลับอยู่…อย่าเสียงดังรบกวนพวกเขา!”
พวกของลวี่ฝางสองสามคนรีบทำหน้าตาให้เป็นปกติ ไม่กล้าส่งเสียง
ในเมื่อไม่ต้องการจะรบกวนทั้งลูกผู้พี่และน้องชาย และเว่ยฉางอิ๋งเองก็ไม่สามารถเดินเล่นในลานบ้านได้ นางคิดสักพักจึงตัดสินใจจะไปที่ริมลำธาร
…เดินอ้อมแปลงผักไปสองรอบ กระทั่งทั้งความแรงของแสงอาทิตย์และแรงกำลังของตนต่างพอสมควรแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นบ้านหลังเล็กทางฝั่งตะวันตก ก็มีถนนเล็กๆ ที่โรยด้วยหินแตกซึ่งลัดไปถึงริมลำธารได้ คาดว่าเพื่อให้ไปตักน้ำได้สะกวดยามวันฝนตก
เพราะมีลวี่ฝางและลวี่ปิ้นประคองอยู่สองข้าง ลวี่อีกางร่มสีแดงเข้มให้ คนทั้งกลุ่มค่อยๆ เดินไปที่ริมลำธาร เมื่อฝนตกทั้งคืน จึงเป็นธรรมดาที่น้ำในลำธารยามนี้จะขุ่น เมื่อเพ่งมองลงไป บางครั้งจะมองเห็นปลาที่กำลังว่ายอยู่กระโดนออกมา ริมลำธารยังมีสัตว์พวกไส้เดือน และกุ้งเล็กๆ จำนวนมาก
บรรยากาศท้องทุ่งนาเช่นนี้ พาให้คนอดจะเป็นสุขใจไม่ได้
เว่ยฉางอิ๋งเดินไประยะหนึ่ง จู่ๆ ก็หยุดยืน แล้วเปิดผ้าคลุมหน้าออกครึ่งหนึ่งเพื่อรับลม ทั้งยังเพื่อเสพสุขกับความสุขสบายบนเขาเขียวชอุ่มยามหลังฝน
พวกของลวี่ฝางก็รู้สึกเช่นกันว่ายามเช้าที่ไม่ต้องทำสิ่งใด เพียงยืนอยู่ริมลำธารเช่นนี้ ก็คือความสุขอย่างหนึ่ง จึงพากันนิ่งเงียบไม่พูดจา
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด มีเสียงกระแอมไอดังมาจากไม่ไกลนักทำให้เว่ยฉางอิ๋งตกใจ พลันปล่อยผ้าแพรปิดหน้าลงโดยไม่ทันรู้ตัว และหันหน้าไปดู…
กลับพบว่าบนทางเดินเล็กๆ มีเว่ยชิงที่ยังคงสวมเสื้อผ้าสีครามพกดาบอวิ๋นโถวเช่นเดิม กำลังพาคนสองคนเดินขึ้นมาตามทาง
แม้ยามเว่ยฉางอิ๋งมองไป สายตาของเว่ยชิงจะมั่นคงไม่ไหวติง แต่เว่ยฉางอิ๋งก็เข้าใจดีกว่าเสียงกระแอมไอนั้น แท้จริงแล้วเป็นเพราะเว่ยชิงเห็นว่าตนเปิดผ้าแพรคลุมหน้าอยู่ จึงจงใจจะเตือนตน
เรื่องนี้ทำให้เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง อดจะมองไปทางคนสองคนที่มากับเว่ยชิงไม่ได้…
จะว่าไปแล้วผู้ที่มาบนเขาในยามนี้ นอกจากคนของฮูหยินซ่งแล้ว ก็จะมีเพียงองครักษ์ของตระกูลเว่ย คนที่อยู่ข้างหน้านั้นเว่ยฉางอิ๋งไม่จำเป็นต้องสงสัย แต่คนที่อยู่หลังเว่ยชิงก็ไม่จำเป็นต้องมีใช้วิธีเดินอ้อมขึ้นเขามาเช่นนี้ ทั้งยังควรจะบอกเล่าออกมาตรงๆ และเข้ามาคำนับตนพร้อมๆ กันจึงจะถูก…
ยิ่งไปกว่านั้นยามเช้าเช่นนี้ องครักษ์พากันขึ้นมาทำสิ่งใด?
สองคนนี้ แท้จริงแล้วคือผู้ใดกัน?
_________________________________
[1] ดอกอวี้หลาน เป็นดอกไม้ในตระกูลดอกแมกโนเลีย