ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง - ตอนที่ 45.1 งูเขียวหางไหม้ (1)
ยินเพียงเสียง ‘ชู่’ เบาๆ หนหนึ่ง แสงสว่างวาบนั้นคล้ายจะโฉบผ่านหมวกคลุมหน้าของเว่ยฉางอิ๋ง แล้วไปปักอยู่ที่ต้นเสาของศาลาต้นหนึ่งข้างหลังเว่ยฉางอิ๋ง
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว พวกเว่ยฉางอิ๋งทั้งนายทั้งบ่าวที่อยู่ในศาลาต่างพากันตกตะลึงไปชั่วอึดใจจึงค่อยได้สติกลับคืนมา และมีสีหน้าเคร่งเครียดเกินบรรยาย! มีคนกล้าลงมืออย่างอุจอาจกับมุกล้ำค่าแห่งตระกูลเว่ยเชียวรึ?! แม้จะไม่ได้ทำให้เว่ยฉางอิ๋งบาดเจ็บ แต่นี่ก็คือการท้าทายตระกูลเว่ย! ไม่เพียงแค่ในศาลาเท่านั้น องครักษ์ที่ซ่อนกายอยู่ภายในป่าโดยรอบก็พากันชักดาบและดาหน้ากันออกมา!
เว่ยฉางอิ๋งทั้งตกใจทั้งโมโห จึงอดไม่ได้ที่จะเผยใบหน้าออกมา นางยกมือขึ้นปัดแพรปิดหน้าให้พับขึ้นไปบนหมวก ในขณะที่กำลังจะชี้หน้าด่าชายชุดฟ้าอมเขียวอยู่นั้น พลันรู้สึกว่ามีบางสิ่งกระทบบนหมวก นางหันกลับมามองโดยไม่ทันตั้งใจ…
มองมาครานี้ ความเคืองโกรธที่เว่ยฉางอิ๋งเคยมีพลันค่อยๆ เลือนหาย สองแก้มแดงระเรื่อกลับซีดขาวลงทันใด…เห็นเพียงบนต้นเสาลำไผ่ที่เพิ่งจะตัดจากตีนเขามาเมื่อสองวันก่อนซึ่งเป็นลำไผ่หลังฝนตกที่มีสีเขียวสด มีมีดพกที่สะท้อนแสงสว่างวาบไปรอบทิศเล่มนั้นปักลึกลงไปสองในสามส่วนของลำไผ่ รอยใหญ่เช่นนี้ ถึงกับทำให้ลำไผ่นั้นแตกแยกเป็นรอยยาว
ลำพังเพียงจุดนี้หาได้ทำให้เว่ยฉางอิ๋งขวัญหายไม่ แต่สิ่งที่ทำให้นางต้องสูดหายใจลึกนั้นกลับคือ ที่มีดพกเล่มนั้นโผล่พ้นออกมานอกลำไผ่หนึ่งในสามส่วนนั้น เพราะตัวมีดส่วนนี้ปักอยู่กับงูตัวหนึ่งซึ่งมีสีเขียวสดไม่ต่างอะไรกับสีของลำไผ่!
งูตัวนี้ไม่นับว่าตัวโตนัก ลำตัวกว้างเพียงเท่าคันเบ็ดเท่านั้น คอแคบดวงตาสีแดง หัวเป็นสามเหลี่ยม มันถูกมีดพกปักทะลุลำคอและปักติดอยู่บนลำไผ่ แต่กลับยังคงดิ้นรนอย่างหนัก… เมื่อครู่ที่เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกว่ามีบางสิ่งกระทบหมวกคลุมหน้า ก็คือมันกำลังดิ้นรนและเอาหางมาฟาดบนหมวกของนาง หางงูสีแดงเข้มนั้นทำเอาคนในศาลาพากันรู้สึกประหนึ่งว่ามีลมเย็นพัดวาบเข้าไปที่แผ่นหลัง!
งูเขียวหางไหม้
แม้จะพบเห็นได้บ่อยครั้งยิ่งนัก แต่ก็มีพิษร้ายแรง
และเห็นว่าตำแหน่งที่มีดพกปักเข้าไปในลำไผ่อยู่เหนือหมวกตรงที่เว่ยฉางอิ๋งนั่งอยู่เพียงหนึ่งนิ้วเท่านั้น!
แม้เว่ยฉางอิ๋งจะสวมหมวก แต่สีของงูตัวนี้ก็เหมือนกับสีไผ่ไม่มีผิด เกรงว่าต่อให้เลื้อยลงมาบนเสื้อผ้าของเว่ยฉางอิ๋งก็ยากจะสังเกตได้ หากถึงยามนั้นคง…
พวกของนางเฟิงและลวี่ฝางพากันหน้าซีดเผือด ทั้งรู้สึกคล้ายขาอ่อนแรง แล้วกล่าวด้วยเสียงสั่นเครือว่า “หะ….เหตุใดที่นี่จึงมีงู?”
ยามนี้ก็ยังมิใช่ฤดูใบไม้ร่วงหรือฤดูหนาว ฤดูร้อนเพิ่งจะผ่านไปและย่างเข้าฤดูใบไม้ร่วงเท่านั้น พวกงูเงี้ยวยังมิได้จำศีล หากจะมีงูเขียวหางไหม้อยู่ก็หาใช่เรื่องแปลกแม้แต่น้อย ดังนั้นคนบ้านตระกูลเว่ยจึงได้แผ้วถางบริเวณโดยรอบกระท่อมจนเตียน ว่ากันตามจริงแล้ว…พวกงูไม่น่ากล้าเข้ามาใกล้จึงจะถูก!
ทั้งที่เว่ยฉางอิ๋งมิใช่คนขวัญอ่อน แต่เมื่อหันกลับไปและมองเห็นงูพิษกำลังดิ้นรนอยู่ไม่ไกล ทั้งเกล็ดบนตัวมันก็เป็นเลื่อมแวววาว ก็ยังทำให้นางตกใจเสียยกใหญ่ แต่เมื่อหายตกใจแล้วก็สงบลงได้ เอ่ยเงียบๆ ว่า “เมื่อคืนฝนตกทั้งคืน”
น้ำฝนที่ตกทั้งคืนชะล้างกำมะถันแดงและทำให้ซึมลึกเข้าไปในชั้นดินจนหมด จึงสิ้นฤทธิ์ในการไล่งูเงี้ยวเขี้ยวขอ แล้ววันนี้ตนก็กลับมาตื่นเสียเช้าตรู่เช่นนี้…คงเป็นเพราะโชคไม่ดี แค่เพียงชั่วข้ามคืนก็มีงูเขียวหางไหม้กระโจนเข้ามาในศาลานี้ ยิ่งไปกว่านั้นยังเลื้อยขึ้นมาอยู่บนต้นเสาข้างหลังตนเสียอีก
หากมิใช่ว่าชายชุดฟ้าอมเขียวผู้นั้นสายตาแหลมคม แม้จะห่างออกไปหลายจั้งก็ยังมองเห็นงูตัวนี้ มิเช่นนั้น…เว่ยฉางอิ๋งลอบผวาอยู่ในใจ พลางสะบัดมือดึงแพรลงมาปิดหน้า แล้วตั้งสติ กล่าวว่า “นางเฟิงจงไปบอกกับเว่ยชิงสักหน่อยว่า ให้ข้าได้ไปขอบคุณคุณชายผู้มีบุญคุณช่วยชีวิตด้วยตัวเอง”
ก่อนที่ชายชุดฟ้าอมเขียวจะลงมือได้ร้องเตือนเสียงดัง ทำให้ผู้ที่มาด้วยซึ่งเดินอยู่ข้างหน้าและเว่ยชิงต่างพากันตกใจ ศาลาเป็นสีเขียวสด งูเขียวหางไหม้ก็เป็นสีเขียวสด พวกเขาเดินออกมาไกลแล้ว สายตาจึงไม่ทัดเทียมกับชายชุดฟ้าอมเขียว กอปรกับเมื่อชายชุดฟ้าอมเขียวลงมือแล้ว คนในศาลาต่างพากันตื่นตระหนก และวิ่งวุ่นจนเสื้อผ้าปลิว จึงบดบังการมองเห็นไปชั่วขณะ กระทั่งไม่รู้ว่าเกิดเหตุใดขึ้น…แต่ผู้ที่อยู่ในศาลาก็คือนายผู้หญิง ทั้งยังเป็นมุกล้ำค่าแห่งตระกูลเว่ยเสียด้วย
เป็นธรรมดาที่เว่ยชิงจะไม่กล้าพาพวกเขาลงเขาไปต่อ แต่กลับรั้งคนทั้งสองเอาไว้กับที่ และรอให้สถานการณ์ในศาลากระจ่างชัดเสียก่อนจึงจะให้ไปได้
นางเฟิงไปอธิบายถึงสาเหตุ เว่ยชิงเองก็ตกใจจนหน้าถอดสี อย่างไรเสียวันนี้ก็เป็นเขาที่พากคนขึ้นเขามา ทั้งยังขวางทางเว่ยฉางอิ๋งจนไม่สามารถกลับมาที่กระท่อมได้ และต้องไปนั่งพักรอที่ศาลาไผ่หลังกระท่อม หากนางถูกงูเขียวหางไหม้กัดเพราะเหตุนี้ แม้จะไม่ถึงกับชีวิต แต่ที่เว่ยฉางอิ๋งต้องลำบากถึงเพียงนี้ หากนับกันจริงๆ เว่ยชิงก็ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยไม่มากก็น้อย…เมื่อคำนึงถึงความรักทะนุถนอมที่แม่เฒ่าซ่งและฮูหยินซ่งมีต่อเว่ยฉางอิ๋งแล้ว แม้เว่ยชิงจะเป็นผู้มีฝีมือในตระกูลที่เว่ยฮ่วนให้การยอมรับ แต่นายผู้หญิงที่มีฐานะสูงส่งทั้งสองนางก็คงไม่มีวันปล่อยเขาไปแน่!
เขาพลันรู้สึกขวัญผวาขึ้นมาในใจ แล้วพลันหันไปคำนับชายชุดฟ้าอมเขียว แล้วกล่าวว่า “คุณชายเติ้งสายตาแหลมคมนัก พวกข้าไร้ความสามารถ! ที่คุณหนูของข้าน้อยพ้นภัยครานี้ เพราะได้คุณชายช่วยเหลือเอาไว้ จึงหวังให้คุณชายโปรดรอก่อน เพื่อให้คนในตระกูลของข้าน้อยได้แสดงความขอบคุณ และคุณหนูก็อยากจะมาขอบคุณด้วยตนเอง!”
ชายชุดฟ้าอมเขียวรีบคำนับตอบ “คุณชายสามกล่าวหนักเกินไปแล้ว ที่จริงจงฉีก็มีน้องสาวอยู่หนึ่งคน และคอยรบเร้าให้สร้างศาลาไผ่ไว้ในสวนสักหลัง แต่ก็ยังหาแบบที่ถูกใจไม่ได้เสียที เมื่อครู่จึงได้สังเกตในศาลามากสักหน่อย และคงเป็นเพราะคุณหนูเว่ยเป็นผู้มีบุญญาธิการ ที่หางของงูเขียวหางไหม้นั้นบังเอิญโผล่ออกมาข้างนอก เมื่ออยู่กับไผ่สีเขียวสดจึงได้ขับให้เด่นชัดขึ้นมา ทำให้จงฉีบังเอิญสังเกตเห็นเข้าพอดี เพียงแค่คุณหนูเว่ยและบริวารมิได้เงยหน้าขึ้นมาเท่านั้น จงฉีหรือจะกล้ารับความชอบนี้? ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อคืนนี้หากมิใช่บ้านท่านมีน้ำใจยื่นมือเข้าช่วย จึงทำให้พวกข้ามีที่หลบฝนยามค่ำคืน ไม่ต้องตากฝนทั้งคืนและทำให้การเดินทางล่าช้า!” คำกล่าวของเขานี้เป็นการอธิบายว่าเหตุใดทั้งที่ตนหันหลังให้กับศาลาไผ่แล้วแต่ยังสามารถสังเกตเห็นงูเขียวหางไหม้ได้ ความจริงแล้วคำกล่าวนี้ทั้งเว่ยชิงและกู้อี้หรานต่างไม่ค่อยเชื่อนัก…ครานี้อาจบอกได้ว่ามองศาลา แต่คราวก่อนตอนที่อยู่บนเขา เติ้งจงฉีนั้นหันกลับไปมองเว่ยฉางอิ๋งถึงสามครั้งสามครา
เขาเพียงแค่มองมากกว่ากู้อี้หรานสองหน แม้กริยาจะดูไม่สำรวมไปสักหน่อย แต่ก็ไม่ได้ถึงกับเกินเลยจนเกินงาม ทั้งยามนี้ยังช่วยเว่ยฉางอิ๋งเอาไว้คราหนึ่ง แน่นอนว่าเว่ยชิงจึงไม่ซักไซ้ให้มากความ แล้วกล่าวตามตรงว่า “นี่เป็นความต้องการของคุณหนู จึงหวังว่าคุณชายเติ้งจะไม่ปฏิเสธ”
“คุณชายสามก็รู้ว่า พวกข้าได้รับบัญชา และจักต้องรีบไปจัดการ…” เดิมทีเว่ยชิงนึกว่าในเมื่อเติ้งจงฉีผู้นี้สนใจเว่ยฉางอิ๋งถึงเพียงนี้ จึงน่าจะยินดีตอบรับให้เว่ยฉางอิ๋งมาขอบคุณด้วยตนเองจึงจะถูก ไม่คิดว่าเมื่อเติ้งจงฉีได้ยินคำกลับมีสีหน้าไม่เป็นปกติ แล้วรีบปฏิเสธขึ้นมาเช่นนี้ กระทั่งเอ่ยไปพลาง ก้าวเท้าไปบนถนนสองก้าวไปพลางเพื่อพิสูจน์คำพูดของตน
ยามนี้เว่ยฉางอิ๋งก็เดินมาข้างหน้าจนใกล้แล้ว พอดีได้ยินคำ นางจึงคำนับเติ้งจงฉีอย่างเป็นทางการ พลางเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ขอบคุณคุณชายท่านนี้ที่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ และช่วยข้าเอาไว้ได้อย่างเฉียดฉิว! เป็นบุญคุณล้นเหลือ ข้าจะไม่ลืมเลย!”
ในเมื่อเว่ยฉางอิ๋งมาถึงแล้ว กู้อี้หรานและเติ้งจงฉีจึงไม่อาจจะจากไปได้ ได้แต่ยืนคำนับตอบอยู่กับที่ เติ้งจงฉีจึงได้เอ่ยถ่อมตนอีกหน…อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นด้านหลังกระท่อมนี้ องครักษ์ที่พบเห็นเหตุการณ์ได้วิ่งเข้าไปรายงานเว่ยฉางเฟิงในกระท่อมเรียบร้อยแล้ว เมื่อเว่ยฉางเฟิงได้ยินว่าพี่สาวเกือบถูกงูเขียวหางไหม้กัดเอาก็พลันตื่นตกใจจนหน้าถอดสี ยังมิทันได้เปลี่ยนรองเท้าไม้ก็รีบร้อนวิ่งออกมา แล้วร้องอย่างตื่นตกใจมาตลอดทาง “ท่านพี่ ท่านพี่ ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”