ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง - ตอนที่ 45.2 งูเขียวหางไหม้ (2)
เมื่อเห็นเว่ยฉางอิ๋งปลอดภัยดีและกำลังยืนขอบคุณเติ้งจงฉีอยู่ตรงนั้น หน้าของเว่ยฉางเฟิงจึงได้มีสีสันขึ้นมา แล้วกลับมาวางท่าเช่นคุณชายตระกูลใหญ่พึงมีอีกครั้ง ค่อยๆ ก้าวเดินเข้าไปอย่างสุขุม แล้วพยักหน้า “ฉางเฟิงยังเยาว์ หากเสียมารยาท ก็ขอให้ทั้งสองท่านอย่าถือสา”
กู้อีหรานและเติ้งจงฉีแอบหัวเราะอยู่ในใจ เพราะเว่ยฉางเฟิงเพิ่งจะอายุสิบห้าปี ก่อนนี้ยามต้อนรับพวกเขาอยู่ในกระท่อมก็ยังเคร่งขรึมตั้งท่าเช่นบุตรชายแห่งตระกูลเว่ยผู้ยิ่งใหญ่ แม้กริยาวาจาจักงดงาม และมิได้เสียมารยาทหรือเห็นชัดว่าไม่ได้มีท่าทีดูแคลนพวกเขา แต่ในรายละเอียดแล้วยังคงมีท่าทีว่าตนมีฐานะสูงกว่าตระกูลกู้แห่งเมืองหลวง และตระกูเติ้งแห่งเมืองหรง
กระทั่งเมื่อพวกเขาเอ่ยลา เว่ยฉางเฟิงก็เพียงเอ่ยไปตามมารยาทว่าจะไปส่งด้วยตนเอง แต่พอกู้อี้หรานกล่าวลา เขาก็กลับปล่อยไปตามน้ำให้เว่ยชิงไปส่งแทน
แม้หากว่ากันเรื่องทรัพย์สมบัติของหกตระกูลใหญ่ในเขตทะเล คนตระกูลสูงศักดิ์จะดูแคลนพวกเขาซึ่งเป็นคนในตระกูลมีชื่อก็เป็นเรื่องที่พบเห็นได้บ่อยครั้ง ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อคืนการกระทำของกู้อี้หรานก็ออกจะเป็นการล่วงเกินตระกูลเว่ย แต่กู้อี้หรานและเติ้งจงฉีต่างก็อายุมากกว่าเว่ยฉางเฟิง แต่กลับถูกเขาบอกให้ไปนั่นนี่ตามใจ ภายในใจย่อมจะรู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง ยามนี้เห็นคุณชายห้าตระกูลเว่ยเป็นห่วงพี่สาว จึงได้พลั้งเผลอแสดงอาการตื่นตระหนกจนทำอะไรไม่ถูกออกมา ตามลักษณะของคนที่เพิ่งจะเกล้าผมที่จะว่าโตแล้วก็ไม่เชิง ดูแล้วน่าขำเสียเหลือเกิน และกลับทำให้ความรู้สึกไม่ดีที่มีต่อเว่ยฉางเฟิงเลือนหายไปด้วย หากแต่คิดในใจว่าตระกูลเว่ยมีการอบรมสั่งสอนกันมาอย่างไร เว่ยฉางเฟิงจึงได้เฉลียวฉลาดนัก ทั้งที่ความจริงแล้วเพิ่งจะอายุสิบห้าปี… เป็นห่วงความปลอดภัยของพี่สาวถึงเพียงนี้ ไม่เหมือนกับคนในตระกูลใหญ่โตบางคน ที่ห่วงแต่เกียรติและหน้าตาจนเกินไป เรื่องสำคัญอันดับหนึ่งที่คิดถึงอยู่ตลอดเวลาก็คือสนใจแต่ว่าหน้าตาของตนเองจะเสียหายหรือไม่ จะว่าไปเว่ยฉางเฟิงผู้นี้ก็มิได้เลวร้ายนัก
และเป็นธรรมดาที่ไม่อาจให้สองพี่น้องตระกูลเว่ยล่วงรู้ความคิดเช่นนี้ คนทั้งสองจึงพูดจาออกไปด้วยสีหน้าสุภาพอ่อนโยนว่าไม่ถือสาใดๆ ทั้งยังชมเชยพี่สาวและน้องชายทั้งสองว่ารักใคร่กลมเกลียวกัน ทำให้เห็นถึงธรรมเนียมปฏิบัติที่ดีงามของตระกูลเว่ย
หลังจากแสดงท่าทีตามมารยาทไปสักพัก เรื่องที่เติ้งจงฉีได้ช่วยเว่ยฉางอิ๋งเอาไว้ แน่นอนว่าเว่ยฉางเฟิงจึงมิได้มองพวกเขาอย่างดูแคลนว่าเป็นแค่เพียงคนในตระกูลใหญ่ทั่วไปอีกต่อไป เปลี่ยนเป็นมีท่าทางเป็นกันเองอย่างยิ่ง กระทั่งเอ่ยปากเชื้อเชิญพวกเขาให้ไปที่รุ่ยอวี่ถังเพื่อจักได้ทำการขอบคุณอย่างเป็นทางการ แต่กู้อี้หรานและเติ้งจงฉีต่างก็ยืนยันคำเดิมว่าตนมีภารกิจ และเมื่อคืนนี้ก็ถูกฝนทำให้ล้าช้าไปแล้ว ยามนี้จำต้องออกเดินทางในทันที แม้เว่ยฉางเฟิงจะพยายามรั้งพวกเขาไว้แต่ก็ไม่เป็นผล จึงทำได้เพียงให้คนไปเก็บมีดพกในศาลาไผ่กลับมา หลังจากทำความสะอาดแล้วส่งคืนให้กับเติ้งจงฉี… บนเขาไผ่น้อยนี้เพียงมาอาศัยอยู่ชั่วคราวจึงไม่มีของกำนัลขอบคุณที่เหมาะสมเลยสักชิ้น จึงทำได้เพียงเชื้อเชิญพวกเขาไปที่รุ่ยอวี่ถังให้จงได้ ยามเมื่อว่างเว้นจากภารกิจแล้ว ทั้งยืนยันว่าจะไปส่งเขาลงเขาด้วยตนเอง
เว่ยฉางอิ๋งก็กล่าวคำขอบคุณตามน้องชายสำทับไปอีกครา นางเป็นนายผู้หญิง แม้จะรู้สึกขอบคุณ แต่ก็ไม่สะดวกที่จะไปส่งคนแปลกหน้าซึ่งเป็นชาย จึงได้แต่อยู่กับที่พลางเอ่ยคำขอบคุณสองสามประโยค และส่งพวกเขาด้วยสายตาเท่านั้น ไม่นึกว่าเมื่อเว่ยฉางอิ๋งและเติ้งจงฉีเพียงเดินจากกันไปสองเก้า กลับพลันได้ยินเสียงลวี่ฉือกรีดร้องเสียงแหลมขึ้นมาว่า “คุณหนู ยังมีงูอีก!”
ทุกคนต่างพากันตื่นตกใจ แล้วเมื่อหันมองไปตามทิศทางที่ลวี่ฉือชี้…กลับเห็นว่าในพงหญ้าที่ห่างออกไปสิบกว่าก้าว มีงูเขี้ยวหางไหม้ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับตัวที่เติ้งจงฉีเพิ่งจะฆ่าตายในศาลาไผ่ก่อนหน้านี้กำลังค่อยๆ เลื้อยแหวกหญ้า ในทิศทางที่มุ่งมายังศาลาไผ่ ไม่รู้ว่าพวกมันเป็นคู่กันหรือไม่
งูเขี้ยวหางไหม้ตัวนี้กลับไม่ได้ทำให้เว่ยฉางอิ๋งตื่นตระหนก กอปรกับทั้งเว่ยฉางเฟิงและองครักษ์ตระกูลเว่ยต่างก็อยู่ด้วย ครานี้เติ้งจงฉีจึงมิได้ออกหน้าลงมือ เมื่อเว่ยฉางเฟิงเห็นดังนี้ก็พลันขมวดคิ้ว เพราะลวี่ฉือเป็นหัวหน้าสาวใช้ของเว่ยฉางอิ๋ง ทั้งยังมีคนนอกอยู่ เขาจึงไม่อาจแสดงอาการตื่นตูมไปตามลวี่ฉือ จึงได้แต่เพียงพยักหน้าให้กับองครักษ์นายหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก
องครักษ์นายนั้นรับทราบ พลันใช้มือลงไปทาบกับมีดที่พกอยู่กับเอว แต่ยังไม่ทันได้ดึงออกมา ไม่คิดว่ากลับเห็นเว่ยฉางอิ่งหันกลับมองงูเขียวหางไหม้ตัวนั้นครั้งหนึ่งพลางแค่นเสียงออกมา นางพลันยกมือขึ้นไปดึงที่มวยผมของลวี่ฉือคราหนึ่ง…แล้วจึงได้เห็นแสงสีเขียวโฉบผ่านไป แหวกยอดหญ้าหลังฝนจนเอียง แต่เงียบเสียจนแทบไม่มีเสียงใด แล้วไปปักงูเขี้ยวหางไหม้ตัวนั้นไว้อยู่กับดิน!
เห็นงูสีเขียวสดที่ถูกปักอยู่บนพื้นไม่หยุดดิ้นรน หางสีแดงสดของมันสะบัดไปมาด้วยความเจ็บปวด ส่วนเว่ยฉางอิ๋งผู้เป็นคนลงมือนั้น ยามนี้แขนเสื้อสีแดงของนางถูกลมพัดปลิดปลิว ในหน้านิ่งสงบ ด้วยท่าทีประหนึ่งจะบอกว่า ‘ที่สุดข้าก็หาโอกาสแก้แค้นได้แล้ว ยามนี้ข้าอารมณ์ดีเหลือเกิน’ จนทุกคนต่างพากันนิ่งงัน…
เว่ยฉางเฟิงนิ่งเหม่อไปเกือบเค่อ แล้วจึงฝืนยิ้มเสียอย่างยิ่งพลางกล่าวว่า “ตั้งแต่เล็กพี่สาวข้าเคยร่ำเรียน…เอ่อ….เรียน…กับองครักษ์วัยกลางคนในบ้าน…มาบ้าง…”
ท่านพี่นะท่านพี่ ข้ารู้ว่าท่านฝีมือไม่เลว อย่างน้อยต่อหน้าน้องชายเช่นข้าก็ไม่มีปัญหาใด แต่ยามนี้มีคนนอก แม้จะไม่ใช่คนตระกูลเสิ่น แต่ดีเลวเช่นไรก็เป็นคนในตระกูลใหญ่! ท่านก็จักข่มใจทำตนเป็นคุณหนูสูงศักดิ์แสนสงบเสงี่ยมและปฏิบัติตามธรรมเนียมเสียหน่อยมิได้หรือ??
เว่ยฉางเฟิงคร่ำครวญอยู่ในใจ แต่ก็ไม่อาจพยายามเค้นสมองช่วยอธิบายและปกปิดแทนเว่ยฉางอิ๋งที่ซัดปิ่นไปสังหารงูพิษได้อย่างเฉียบขาด เพียงแค่เห็นได้ชัดว่ากู้อี้หรานและเติ้งจงฉีนั้นถูกฝีมือปิ่นบินสังหารงูแสนงดงามนี้ทำเอาตกใจจนตกตะลึง พลันตาลีตาลานตอบกลับว่า “ตระกูลเว่ยแห่งเฟิ่งโจวเก่งกาจสมคำร่ำลือจริงๆ คุณหนูในตระกูลของท่าน….ท่านนี้…ช่าง…เก่งกาจทั้งบู๊บุ๋น…เอ่อ…เก่งกาจทั้งบู๊บุ๋น!”
“ท่านทั้งสองกล่าวชมเกินไปแล้ว” เว่ยฉางเฟิงฝืนยิ้ม ครานี้จึงไม่มีกะจิตกะใจจะรั้งแขกเอาไว้แล้ว กลับคิดแต่เพียงจะรีบส่งคนไปเสียก่อน “ฝนตกทางลื่น อย่างไรท่านทั้งสองโปรดระวังทางด้วย”
เมื่อยืนมองเว่ยฉางเฟิงส่งแขกไปไกลแล้ว เว่ยฉางอิ๋งจึงได้กล่าวอย่างคับแค้นใจว่า “งูชั่ว! ถึงขึ้นกล้ามาอยู่บนหัวข้า! รนหาที่ตายจริงๆ!” พลางดีดนิ้วไปที่ขอบหมวกคลุมหน้าด้วยความรังเกียจ “กลับกระท่อม รีบเอาหมวกนี้ทิ้งไปให้ไกล!” หมวกที่โดนงูเขียวหางไหม้สะบัดหางมาโดน แน่นอนว่าเว่ยฉางอิ๋งไม่มีทางใช้มันอีกแล้ว
ครานี้ สาวใช้ที่อยู่ล้อมรอบตัวนางจึงได้รู้ว่าวรยุทธ์ที่เว่ยฉางอิ๋งร่ำเรียนมานั้นมิได้เสียเปล่าเลยจริงๆ บ่าวชราทั้งสองรวมทั้งนางเฟิงเคยได้ยินเรื่องความชอบส่วนตัวของเว่ยฉางอิ๋ง จึงไม่ได้รู้สึกว่าที่นางสามารถซัดปิ่นปักผมไปสังหารงูได้นั้นเป็นเรื่องเกินคาด กลับรู้สึกประหลาดใจและนับถือในฝีมือของเว่ยฉางอิ๋งเสียด้วยซ้ำ ลวี่ฉือลูบที่มวยผมพลางพึมพำอย่างเป็นทุกข์ว่า “ปิ่นปักผมด้ามนั้นคุณหนูใหญ่เพิ่งจะมอบให้มาเมื่อตอนปีใหม่ของปีก่อน เป็นปิ่นปักผมที่ดีที่สุดของข้าน้อย…เหตุใดคุณหนูใหญ่จึงไม่ดึงเอาปิ่นชุบทองนี้มาใช้…”
“เจ้าคนขี้เหนียว” ลวี่ฝางมีความกล้ามากกว่านางอยู่บ้าง เมื่อสังเกตรอบกายแล้วว่ายามนี้ไม่คนแปลกหน้าอยู่ จึงได้เยาะนาง “ประเดี๋ยวให้พวกองครักษ์มาเก็บกวาด ดึงออกมาแล้วล้างให้สะอาดก็มิใช่เหมือนเดิมแล้วหรอกรึ?”
“ปักทะลุตัวงูมาแล้ว เอามาปักผมอีก ข้าจะกล้าได้อย่างไรกัน?” ลวี่ฉือแลบลิ้นออกมา พลางมองไปยังเว่ยฉางอิ๋ง ดูจากที่เว่ยฉางอิ๋งเป็นผู้มีใจกว้างขวางต่อคนรอบข้าง ในเมื่อเอาปิ่นปักผมไปด้ามหนึ่ง ก็จะต้องเอาปิ่นที่ดีกว่าเดิมมาชดใช้ให้ นึกไม่ถึงว่าครานี้เว่ยฉางอิ๋งกลับมีสีหน้าเคร่งขรึม จ้องเขม็งมาที่นางหนหนึ่ง แล้วเอ็ดเสียงดังว่า “เมื่อครู่นี้งูเขียวหางไหม้ตัวนั้นอยู่ห่างจากพวกเรา แล้วก็มิได้เลื้อยมาทางนี้ ในเมื่อเจ้ามองเห็นแล้ว กระซิบเตือนเบาๆ สักคำ แล้วคอยสังเกตว่ามันไปทางใด รอจนคนนอกไปแล้ว ค่อยเรียกองครักษ์มาจัดการก็มิใช่สิ้นเรื่องแล้วรึ? เอะอะโวยวายอะไร! อย่างนี้คนเขาจะคิดเอาว่าสาวใช้บ้านตระกูลเว่ยของข้าจะขี้ขลาดเช่นเจ้าไปเสียหมด!”
แล้วว่า “หนนี้ปิ่นปักผมนั่น ต่อให้ล้างสะอาดแล้วก็จะไม่ให้เจ้า หนหน้าหากทำเรื่องน่าขายหน้าเช่นนี้อีก ดูซิว่าข้าจะลงโทษเจ้าอย่างไร!”
ใบหน้าของลวี่ฉือเดี๋ยวแดงเดี๋ยวซีด แล้วจึงเพิ่งสำเหนียกได้ว่าในสถานการณ์ที่มิได้เป็นอันตรายอย่างเมื่อครู่นี้ ตนเองแสดงอาการตื่นตกใจทั้งยังร้องเสียงดังต่อหน้าคนนอก เป็นการทำให้เว่ยฉางอิ๋งและเว่ยฉางเฟิงเสียหน้าอย่างมาก…นางก้มหน้า กล่าวเสียงเบาว่า “ข้าน้อยรู้ผิดแล้ว ครั้งหน้ามิกล้าแล้ว”
ครานี้นางเพียงขอให้ละเว้นโทษ และกลับมิกล้าคิดเรื่องที่เว่ยฉางอิ๋งจะให้ปิ่นด้ามที่ดีกว่านี้เป็นการชดเชยอีกแล้ว
______________________________