ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง - ตอนที่ 46 ราชองครักษ์อี้
ภายในกระท่อม เมื่อซ่งไจ้สุ่ยตื่นขึ้นมาแล้วไม่เห็นเว่ยฉางอิ๋ง และได้รู้จากซินลี่ว่าเว่ยฉางอิ๋งออกไปเดินเล่น พร้อมพาคนไปด้วยจำนวนหนึ่ง จึงได้วางใจ จากนั้นเว่ยชิงก็ได้นำกู้อี้หรานและเติ้งจงฉีมาพบเว่ยฉางเฟิง ซ่งไจ้สุ่ยจึงต้องอยู่เงียบๆ ภายในห้องไม่ส่งเสียงใด และเมื่อคนนอกจากไปแล้ว ไม่นานนักก็มีองครักษ์พุ่งเข้ามาในกระท่อมและรายงานว่าเกิดเรื่องที่หลังกระท่อมซึ่งเกี่ยวพันกับเว่ยฉางอิ๋ง… ซ่งไจ้สุ่ยตื่นตกใจ กำลังจะออกจากห้องไปดู แต่กลับถูกฮว่าถังกันเอาไว้อย่างสุดแรงเกิด!
สาเหตุนั้นง่ายดายนัก อาการบาดเจ็บที่หัวเข่าของซ่งไจ้สุ่ยนั้นคอยจะ ‘กำเริบกลับไปมา’ อยู่ตลอด ยิ่งไปกว่านั้นไม่ว่าข้างหลังกระท่อมจะเกิดอะไรขึ้น ซ่งไจ้สุ่ยที่ยามนี้ตนเองยังไม่ทันหายดีหากไปแล้วก็ไม่มีทางจะช่วยเหลือสิ่งใดได้ เมื่อคืนมีฝนตกทั้งคืน ตอนนี้หนทางทุกๆ แห่งข้างนอกล้วนเดินเหินไม่สะดวก อย่าได้ให้แขกผู้อ่อนแอผู้นี้หกล้มอีกจนบาดเจ็บซ้ำสอง เพราะไม่เพียงสร้างความวุ่นวายให้แก่เขาไผ่น้อยมากขึ้นไปอีก…อีกทั้งจะให้ฮว่าถังบอกกับฮูหยินซ่งว่าอย่างไร?
ฮว่าถังไม่ใช่สาวใช้ของซ่งไจ้สุ่ย แต่เพราะฮูหยินซ่งกำชับกำชาต่อหน้านางให้อยู่ดูแลหลานสาว แม้ซ่งไจ้สุ่ยจะร้อนใจนักหนา แต่ก็ไม่อาจจะต่อว่าอย่างแรงหรือไล่นางไปได้เหมือนกับที่ทำกับพวกของชุนจิ่ง จึงได้แต่เพียงนั่งรออยู่บนตั่งไม้อย่างจนใจ
แต่การรอคอยครานี้ยาวนานเหมือนวันกลายเป็นปี โชคดีที่ในที่สุดเว่ยฉางอิ๋งก็กลับมา ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อนางเข้ามาในห้องก็ถอดหมวกคลุมหน้าแล้วโยนให้ลวี่ฝางในทันที ลวี่ฝางรีบรับเอาหมวกคุลมหน้าและหันหลังออกไป แม้เมื่อถอดหมวกออกแล้ว สีหน้าของเว่ยฉางอิ๋งไม่สู้ดีอย่างเห็นได้ชัด แต่กลับเห็นนางเคลื่อนไหวได้ตามใจ ไม่ยักเหมือนเกิดเรื่องราวใดมาเลย
ซ่งไจ้สุ่ยจึงได้โล่งใจ… ครานี้ที่เว่ยฉางอิ๋งต้องพักอยู่ที่เขาไผ่น้อย จะว่าไปแล้วก็ก็เป็นเพราะช่วยเหลือตน ดังนั้นไม่ว่าเว่ยฉางอิ๋งจะเกิดเรื่องขึ้นบนเขาไผ่น้อยอีกครั้ง ดีเลวอย่างไร ซ่งไจ้สุ่ยก็ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ว่าเห็นแก่ที่เป็นญาติสนิท ฮูหยินซ่งจะไม่มาซักไซ้เอาความกับหลานสาว แต่จิตใต้สำนึกของซ่งไจ้สุ่ยก็ยากจะสงบได้
นางเห็นเว่ยฉางอิ๋งเอาแต่ขมวดคิ้วไม่พูดจา จึงรีบถามว่า “เป็นอะไร?”
“เมื่อคืนนี้ฝนตกหนัก ชะเอากำมะถันแดงที่โรยไว้รอบกระท่อมไปหมด ปรากกฎว่ามีงูเขียวหางไหม้เลื้อยเข้ามาในศาลาไผ่หลังกระท่อมที่เพิ่งจะสร้างเสร็จ มันไปอยู่ที่ใดไม่อยู่ จะต้องมาอยู่ที่ต้นเสาด้านหลังข้า หากมิใช่คุณชายเติ้งที่เพิ่งจะลงเขาไปผู้นั้นมีสายตาเฉียบคม วันนี้ข้าคงจะต้องโชคร้ายนักหนาแล้ว” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยอย่างไม่ใคร่จะพอใจนัก
แม้นางจะดึงปิ่นปักผมของลวี่ฉือไปฆ่างูเขียวหางไหม้อีกตัว แต่การที่นางร่ำเรียนวรยุทธ์กับเจียงเจิง หมั่นเพียรอย่างยิ่งมาโดยตลอด แม้แต่เจียงเจิงก็ยังเอ่ยปากชมว่านางหัวไว มีพรสววรค์ นางจึงมั่นอกมั่นใจในฝีมือของตนยิ่ง แต่เรื่องที่ประสบมาวันนี้กลับทำลายความมั่นใจของนางเสียสิ้น หากเติ้งจงฉีไม่ได้หันหน้ากลับมามองครานั้น สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าวันนี้ตนจะเป็นเช่นไร?
เขาไผ่น้อยเป็นเขาไผ่ ในกระท่อมจึงได้มียารักษาพิษงูตระเตรียมเอาไว้เสมอ โดยเฉพาะยารักษาพิษของงูเขียวหางไหม้ แม้เว่ยฉางอิ๋งจะถูกขนาดตัวของงูทำให้ตกใจสักหน่อย แต่กลับมิได้เป็นกังวลว่าจะเป็นอันตรายถึงชีวิต หากแต่สิ่งที่นางขัดเคืองใจนั้นคือ…ตนเองมีจิตใจล่องลอยเช่นนี้ วันหน้าหรือจะเอาชนะเสิ่นจั้งฟงได้?
ทั้งกับดัก และกลอุบายต่างๆ เสิ่นจั้งฟงต่างก็สามารถใช้ได้ทั้งนั้น…
หนทางที่จะทำให้ตนสามารถมีวันคืนอย่างที่ต้องการได้ มันช่างยากเย็นแสนเข็ญเสียนี่กระไร!
เว่ยฉางอิ๋งยิ่งคิดก็ยิ่งก็รู้สึกท้อแท้และเป็นทุกข์ นางตัดสินใจว่าจะไม่ไปคิดถึงเรื่องที่ไม่สบายใจสักระยะก่อน แล้วรีบกลับมาที่หัวข้อสนทนา “ใช่แล้ว เหตุใดเว่ยชิงจึงได้พาคนแปลกหน้าสองคนขึ้นเขามา? พวกเขามาหาฉางเฟิงมีเรื่องใด?”
ซ่งไจ้สุ่ยจิบชาไปอึกหนึ่งแล้วว่า “เมื่อครู่นี้ ข้าก็ได้ยินผ่านประตูกั้นมาบ้าง คล้ายว่าเมื่อคืน หลังจากที่พวกเราเข้านอนแล้ว มีคนกลุ่มหนึ่งเร่งเดินทางยามค่ำคืน ไม่คิดว่าเมื่อน้ำฝนทำให้โคมไฟเปียกและดับไป จึงหลงทางจนไปไม่ถึงที่พักกลางทาง แต่กลับจำเขาไผ่น้อยได้ และรู้ว่าท่านเขาไผ่มีกระท่อมอยู่บนเขา จึงคิดจะมาขอพักค้างแรม”
เว่ยฉางอิ่งกล่าวว่า “อ่า… ที่แท้เสียงเอะอะที่เขาได้ยินตอนงัวเงียตื่นมากลางดึกก็คือเรื่องนี้?”
“เหตุที่มีเสียงเอะอะก็เพราะว่าพวกเขาเกือบจะมีเรื่องกับองครักษ์ที่เชิงเขา” ซ่งไจ้สุ่ยกล่าว “ทั้งสองฝ่ายต่างเห็นอีกฝ่ายเป็นศัตรู ภายหลังฝ่ายนั้นแสดงประกาศตนว่าเป็นของตระกูลใหญ่ พวกองครักษ์ตรวจดูของที่พวกเขาพกติดตัวมาได้สองสามชิ้น แต่กลับไม่กล้าแน่ใจ จึงได้ส่งคนสองสามขึ้นมามาเรียกน้องฉางเฟิง น้องฉางเฟิงพาเว่ยชิงลงเขาไปสอบถามด้วยตนเองสักพักจึงได้แน่ใจในฐานะของพวกเขา เพียงแต่บนเขามีพวกเราอยู่จึงไม่อาจให้พวกเขามาพักค้างแรงข้างบนนี้ได้ โชคดีที่องครักษ์ตระกูลเว่ยได้สร้างกระท่อมไผ่สองสามหลังไว้ที่เชิงเขา จึงได้ปันให้แก่พวกเขาสองห้อง…เมื่อครู่นี้เป็นเพราะพวกเขาจะออกเดินทางแล้ว จึงได้พาพวกเขาทั้งสองขึ้นเขามาขอบคุณและกล่าวคำอำลา”
ยามที่เว่ยฉางอิ๋งกล่าวคำขอบคุณไปเมื่อครู่นี้นั้นช้าไปก้าวหนึ่ง จึงไม่ได้ยินเรื่องที่เติ้งจงฉีเอ่ยเรื่องขอพักค้างแรม ยามนี้จึงเพิ่งเข้าใจและกล่าวว่า “ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง ข้าว่าแล้วเชียว เช้าตรู่เพียงนี้ เว่ยชิงจะพาคนสองคนขึ้นเขามาหาฉางฟงโดยไม่มีเหตุผลใดได้อย่างไร”
และเอ่ยถามอย่างสงสัยไปอีกว่า “คนสกุลกู้แห่งเมืองหลวงไม่อยู่ที่เมืองหลวง และคนสกุลเติ้งแห่งเมืองหรงไม่อยู่ที่เมืองหรง แล้วมาทำการใดที่ฟ่งโจวของเรา? ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อครู่นี้พวกเขายังบอกอีกว่ากำลังเร่งเดินทาง?”
ซ่งไจ้สุ่ยส่งเสียงอืมคราหนึ่ง แล้วว่า “เหมือนว่าพวกเขาจะไปชิงโจว”
“ชิงโจว?” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยอย่างประหลาดใจ “นั่นเป็นอาณาเขตของตระกูลซู…กลับยิ่งแปลกเข้าไปใหญ่ ไปที่นั้นทำสิ่งใด?”
“บอกว่ามีเรื่องบางอย่างต้องไปทำ” ซ่งไจ้สุ่ยกล่าว “ข้าก็ไม่ได้ยินทั้งหมด สักพักเจ้าลองถามน้องฉางเฟิงดูเถิด”
เมื่อรอจนเว่ยฉางเฟิงกลับมาถึงกระท่อม ลูกพี่ลูกน้องสองนางพากันสอบถามเขา เขากลับไม่มีกะใจจะตอบ แต่สอบถามเรื่องที่เว่ยฉางอิ๋งได้ประสบอันตรายที่ศาลา และรู้ว่าเพราะสีของงูเขียวหางไหม้และลำไผ่นั้นเหมือนกันมาก กระทั่งพวกของนางเฟิงสองคนเข้าไปปักกวาดในศาลาก่อนก็ยังมองไม่เห็น สีหน้าของซ่งไจ้สุ่ยเปลี่ยนไปมาหลายหน พลางตบอกเบาๆ กล่าวว่า “สวรรค์ทรงโปรด! ครานี้โชคดีที่มีเติ้งจงฉีผู้นี้!”
แต่เว่ยฉางเฟิงกลับมีสีหน้าขุ่นมัว กล่าวว่า “เพราะข้าไม่ได้ความ อยากจะไปสร้างศาลาไผ่ไว้ที่แห่งนั้น แต่กลับเกือบจะทำให้ท่านพี่ได้รับอันตราย” เขาขัดเคืองอย่างมาก ถึงกับจะสั่งคนให้ไปรื้อศาลาเสีย เว่ยฉางอิ๋งรีบทัดทานเขา “เพิ่งจะสร้างเสร็จ เจ้าจะรื้อทำสิ่งใด? เรื่องนี้จะโทษศาลาได้อย่างไร เหตุเพราะฝนตกหนักชะกำมะถันแดงไปจนหมด และไม่ทันได้เติมลงไปใหม่ต่างหาก”
เว่ยฉางเฟิงเอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “หากข้าไม่บอกว่าคิดจะสร้างศาลาที่นั่น ท่านแม่ก็จะไม่ส่งช่างมา หลังกระท่อมก็จะไม่มีศาลา แล้ววันนี้มีหรือท่านพี่จะต้องประสบเหตุร้ายเช่นนี้?”
“ภายหลังข้าก็ฆ่างูเขียวหางไหม้ตัวนั้นแล้ว เจ้าก็มิใช่ว่าไม่เห็นนี่? ในกอหญ้าเขียวๆ นั้น…หากไม่มองให้ละเอียดแล้วจะมองเห็นชัดได้อย่างไร?” เว่ยฉางอิ๋งขมวดคิ้ว “ยิ่งไปกว่านั้นมันอยู่ข้างบนหัวข้า ก็ดีกว่าอยู่ที่เท้าข้า ข้าสวมหมวกปิดหน้าไว้บนหัว แต่ที่เท้าสวมเพียงรองเท้าไม้!”
ซ่งไจ้สุ่ยรู้ว่าเว่ยฉางเฟิงยืนกรานจะรื้อศาลาออกเพราะรู้สึกว่าตนทำให้พี่สาวลำบาก จึงเอ่ยปลอบว่า “ดีเลวอย่างไรยามนี้ฉางอิ๋งก็ปลอดภัยดี ก็อย่าเพิ่งรื้อศาลาเลย…ศาลาที่สร้างจากต้นไผ่ เปิดทางในที่ที่น้ำฝนสาดไปไม่ถึง แล้วใส่กำมะถันแดงเข้าไป ต่อไปก็จะไม่สิ่งใดกล้าเข้าใกล้อีก มิสิ้นเรื่องแล้วหรือ?”
เว่ยฉางอิ๋งไม่รอให้เว่ยฉางเฟิงพูดอะไร ก็พลันพยักหน้า “เช่นนั้นดีแล้ว”
เว่ยฉางเฟิงยังรู้สึกทั้งกลัวทั้งโกรธ เขามีบางสิ่งต้องการพูด แต่ซ่งไจ้สุ่ยและเว่ยฉางอิ๋งกลับเร่งให้เขาพูดเรื่องของพวกกู้อี้หรานและเติ้งจงฉีเสียแล้ว เมื่อทานพี่สาวทั้งสองไม่ไหว จึงต้องกล่าวว่า “กู้อี้หรานเป็นคนในอีกสายหนึ่งของตระกูลกู้แห่งเมืองหลวง ส่วนเติ้งจงฉีกลับเป็นบุตรชายสายเลือดตรงของตระกูลเติ้ง ตีนเขายังมีคนของบ้านสกุลหลิวและสกุลตวนมู่ พวกเขากลุ่มนี้ ทั้งหมดล้วนเป็นคนของสี่ตระกูลใหญ่ ส่วนบ่าวไพร่และคนรับใช้บางส่วนนอกจากนั้น เมื่อคืนข้าก็ไม่ได้ใส่ใจนัก เมื่อคืนคนสกุลหลิวและคนสกุลตวนมู่สองคนเกิดเรื่องลงไม้ลงมือกับองครักษ์ตระกูลเว่ยของเรา จนทำให้มีคนบาดเจ็บ ข้าลงไปก็ไปแยกพวกเขา เห็นแก่ตระกูลของพวกเขา ภายหลังจึงได้ให้คนปันกระท่อมไม้ให้พวกเขาพักค้างแรม คงเพราะเหตุนี้ วันนี้จึงไม่กล้าขึ้นมา และให้เพียงคุณชายกู้กับคุณชายเติ้งขึ้นเขามากล่าวลาเพียงสองคน”
“คนสกุลหลิวและสกุลตวนมู่?” ซ่งไจ้สุ่ยและเว่ยฉางอิ๋งสบตากันคราหนึ่งและต่างรู้สึกประหลาดใจมาก กล่าวว่า “คนทั้งสี่ตระกูล…เหตุใดถึงมาที่เฟิ่งโจวเล่า?”
เว่ยฉางเฟิงว่า “ใช่เฟิ่งโจวที่ใดเล่า? พวกเขาจะไปชิงโจวต่างหาก!”
“ไปชิงโจวทำสิ่งใด?” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“เรื่องนี้ก็มิได้มีสิ่งใด เพียงแต่ไม่สะดวกจะแพร่งพรายออกไป” เว่ยฉางเฟิงเหลี่ยวซ้ายแลขวา เมื่อบ่าวไพร่พากันถอยออกไป เขาจึงเอ่ยเสียต่ำว่า “พวกเขาล้วนคือราชองครักษ์อี้แห่งเมืองหลวง ไปชิงโจวครานี้ เนื่องจากได้รับราชโอการลับจากฮ่องเต้ให้ออกไปปฏิบัติภารกิจนอกเมือง”
เมื่อได้ยินคำเว่ยฉางอิ๋งและซ่งไจ้สุ่ยต่างพากันตื่นเต้น “ราชองครักษ์อี้?! ราชโองการลับ? ไปปฏิบัติภารกิจใด?”
ราชองครักษ์อี้คือตำแหน่งต่ำที่สุดในบรรดาราชองครักษ์ทั้งสาม[1] แต่ก็หาใช่ว่าผู้ใดก็จะเข้าไปเป็นได้ เมื่อต้นสมัยต้าเว่ยได้มีการแต่งตั้งตำแหน่งราชองครักษ์ทั้งสาม เพื่อปฏิบัติหน้าที่อารักษ์ขาฮ่องเต้ ซึ่งราชองครักษ์ทั้งสามประกอบด้วย ราชองครักษ์ชิน[2] ราชองครักษ์ซวิน[3] และราชองครักษ์อี้[4]
ราชองครักษ์ชินนั้นจะมีเพียงบุตรชายของขุนนางขั้นสามขึ้นไปเท่านั้นที่รับตำแหน่งได้ ได้ยศเป็นขุนนางขั้นเจ็ดขึ้นไป ก่อนนี้มีข่าวคราวจากทางเมืองหลวงว่า เมื่อเสิ่นจั้งเฟิงเข้าพิธีเกล้าผมแล้ว ด้วยการสนับสนุนของบิดาจึงได้รับตำแหน่งเป็นราชองครักษ์ชิน แม้ราชองครักษ์ซวินจะต่ำว่าราชองครักษ์ชินหนึ่งขั้น แต่ก็มีเพียงขุนนางขั้นเจ็ดขึ้นไปและรุ่นหลานของขุนนางขั้นสามขึ้นไป ไม่ก็เป็นบุตรชายของขุนนางขั้นสี่เท่านั้นที่รับตำแหน่งได้ สุดท้ายราชองครักษ์อี้ จักต้องเป็นหลานชายของขุนนางขั้นสี่ หรือบุตรชายของขุนนางขั้นห้าซึ่งเป็นผู้มีความสามารถเท่านั้นที่รับตำแหน่งได้
อย่าได้มองแต่เพียงว่าราชองครักษ์ชินซึ่งถือเป็นตำแหน่งสูงสุดในราชองครักษ์ทั้งสามจะได้ยศเป็นเพียงขุนนางขั้นเจ็ด แต่ด้วยเหตุที่ราชองครักษ์ทั้งสามจะต้องเข้าให้การอารักษ์ขาในวังหลวงโดยตรง จึงมีฐานะสูงยิ่ง ไม่อาจใช้ระดับขั้นของขุนนางมาตัดสินได้ ราชองครักษ์ทั้งสามของฮ่องเต้รวมทั้งสิ้นจำนวนสี่พันเก้าร้อยหกสิบสามนาย แม้แต่ราชองครักษ์อี้ซึ่งมีตำแหน่งต่ำที่สุดก็ยังจำกัดให้แต่เพียงบุตรชายผู้มีความสามารถของขุนนางขั้นห้าเท่านั้นที่รับตำแหน่งได้ หาไม่แล้วแม้จักมีตำแหน่งว่างก็จะไม่รับมาเพิ่ม เป็นเช่นนี้แต่ไรมา
…การเลื่อนขั้นของขุนนางแห่งต้าเว่ยนั้น ต่างก็รู้กันดีว่ามีกฎสำคัญอยู่หนึ่งข้อ ซึ่งก็คือผู้ที่เคยได้อารักษ์ขาในเขตพระราชฐานต้องห้าม จะได้สิทธิ์เลื่อนขั้นก่อน ด้วยเหตุนี้เองตำแหน่งราชองครักษ์จึงเป็นที่หมายปองของแต่ละตระกูล
หากเว่ยฮ่วนมิได้ลาออกจากราชการ และแม่เฒ่าซ่งไม่วางใจให้หลานชายแท้ๆ เพียงคนเดียวต้องห่างไปไกล ยามนี้เว่ยฉางเฟิงก็ควรจะเข้ารับราชการในตำแหน่งราชองครักษ์ซวินแล้ว
พูดได้ว่า ตามหลักการแล้วบรรดาราชองครักษ์ทั้งสามไม่มีทางจะเป็นคนในตระกูลสามัญ ตำแหน่งจากสูงถึงต่ำ โดยทั่วไปก็จักต้องเรียงตามลำดับความสามารถ และลำดับบุตรหลานของแต่ละตระกูลแห่งต้าเว่ยในยามนี้
แม้ตระกูลของกู้อี้หรานและเติ้งจงฉีจะไม่เทียบเท่าหกตระกูลในเขตทะเล แต่ก็เป็นตระกูลที่เป็นที่รู้จักกันทั้งต้าเว่ย โดยเฉพาะเติ้งจงฉียังเป็นบุตรชายผู้สืบสกุลของตระกูลเติ้ง แต่พวกเขากลับได้ตำแหน่งเป็นเพียงราชองครักษ์อี้ เห็นได้ชัดว่ากองกำลังในวังหลวงของฮ่องเต้แห่งต้าเว่ยนี้ ต้องเป็นบุตรหลานของขุนนางที่ใกล้ชิดฮ่องเต้ถึงเพียงใด!
แรกเริ่มนั้นการแต่งตั้งองครักษ์ทั้งสามก็เพื่อให้การอารักษ์ขาองค์ฮ่องเต้ ดังนั้นราชองครักษ์ทั้งสามจึงมีข้อห้ามชัดเจนว่าห้ามออกจากเมืองหลวงไปโดยพลการ…ไพร่พลเหล่านี้ได้รับคำสั่งจากหัวหน้ากองกำลังรักษาพระองค์ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วพวกเขาก็คือทหารของฮ่องเต้ ได้รับคำสั่งโดยตรงจากฮ่องเต้ ทุกการเคลื่อนไหวของพวกเขา ล้วนต้องเกี่ยวพันกับฮ่องเต้ทั้งสิ้น
โดยเฉพาะไม่นานมานี้ในเฟิ่งโจวมีข่าวมาว่าหัวเมืองทางเหนือได้ชัยชนะครั้งใหญ่ ราชทูตกำลังรีบนำราชโอการเชิดชูเกียรติมา… หรือว่าจะเกี่ยวพันกับเรื่องนี้? แล้วเหตุใดจึงเกี่ยวพันไปถึงอาณาเขตของตระกูลซูเล่า?
เว่ยฉางอิ๋งรู้เรื่องการมีชัยครั้งใหญ่ของหัวเมืองทางเหนือมากสักหน่อย จึงได้เล่าว่าซ่งฮานและซ่งตวนใช้กำลังบีบบังคับเอากำลังพลของผู้อื่น ทั้งยังวางแผนจะหลอกแต่งงาน จึงคิดว่ายังดีที่ฮ่องเต้ตรวจสอบเรื่องนี้อย่างถี่ถ้วน เมื่อพบว่ามีเรื่องเช่นนี้ ครานี้จึงได้ส่งคนมาตรวจสอบดู?
จากนั้นซ่งไจ้สุ่ยและเว่ยฉางอิ๋งต่างก็พากันคาดเดาความเป็นไปได้ต่างๆ นานาอยู่ในใจ แต่กลับยังเดาไม่ถูก…ยิ่งไปกว่านั้นยังคาดเดาไม่ได้ใกล้เคียงเลยแม้แต่น้อย เพราะสาเหตุที่แท้จริงนั้นก็คือ “ไม่นานมานี้ ฮ่องเต้ได้รับนางในเข้ามาในวังผู้หนึ่ง และทรงโปรดปรานนางยิ่ง เพียงไม่กี่วันก็ได้เลื่อนตำแหน่งจากสนมเจียลี่ขั้นแปดซึ่งอยู่ในขั้นต่ำสุดขึ้นเป็นสนมเสี่ยวอี๋ขั้นหก กระทั่งบำเหน็จรางวัลที่มอบแก่นางก็ยังเทียบเท่ากับผู้มีความสามารถขั้นสี่ องค์ฮ่องเต้ทรงเอ็นดูถึงเพียงนี้ ทว่าในที่ลับตาคนสนมเสี่ยวอี๋คนใหม่แซ่จงที่มีฐานะสำคัญยิ่งผู้นี้กลับมักจะมีสีหน้าอมทุกข์ ฮ่องเต้เคยตรัสถามตรงๆ เมื่อสนมจงบอกถึงสาเหตุ กลับเป็นเพราะเดิมทีนางมีพื้นเพเป็นชาวชิงโจว ครานั้นครอบครัวยากไร้ เพื่อน้องชายและน้องสาวจึงได้มาเข้ามาเป็นข้ารับใช้ในวัง ยามนี้ได้กลายมาเป็นสนมในวังหลวง มีอาภรณ์งดงามอาหารชั้นเลิศ แต่กลับยิ่งคิดถึงน้องชายและน้องสาวว่ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่ และจะมีเสื้อผ้าอาหารพอเพียงหรือไม่…”
เว่ยฉางอิ๋งเบิกตาโพลงอ้าปากค้าง กล่าวว่า “จากนั้นฮ่องเต้จึงมีพระบัญชาให้ราชองครักษ์อี้สี่นายไปที่ชิงโจวเพื่อสืบหาน้องชายและน้องสาวของสนมจงผู้นี้?”
เว่ยฉางเฟิงเอ่ยอย่างราบเรียบว่า “แรกเริ่มข้าก็คิดเช่นนี้ แต่…ฟังจากน้ำเสียงของกู้อี้หราน เหตุที่พวกเขาต้องเร่งเดินทางกลับเป็นเพราะสองเดือนให้หลังจะเป็นวันคล้ายวันเกิดของสนมจงผู้นั้น ฮ่องเต้ทรงตัดสินพระทัยว่าจะรับน้องชายและน้องสาวของสนมจงไปที่เมืองหลวง และพาเข้าวังในวันเกิดของสนมจง เพื่อให้พี่น้องของนางได้มาอยู่พร้อมหน้ากัน และยังเป็นทำให้สนมจงได้มีรอยยิ้มสักครั้ง ส่วนเหตุที่เป็นราชโองการลับ ก็เพราะว่าฮ่องเต้มีคำสั่งว่าก่อนวันคล้ายวันเกิดของสนมจงห้ามให้นางล่วงรู้เรื่องนี้โดยเด็ดขาด ดังนั้นกู้อี้หรานจึงไม่กล้าหยุดพัก เร่งเดินทางทั้งวันทั้งคืน จนทำให้เมื่อคืนไม่ทันไปถึงที่พักแรม ทั้งโคมไฟก็ยังโดนฝนจนเปียก หลงทางอยู่หลายชั่วยามจึงได้หาทางมาที่เขาไผ่น้อยนี้”
“…” มิน่าเล่าทั้งที่เป็นราชโอการลับ พวกของกู้อี้หรานกลับกล้าบอกเล่าต่อเว่ยฉางเฟิง เรื่องนี้…เว่ยฉางอิ๋งหมดคำพูดพลางมองไปยังซ่งไจ้สุ่ยที่ใบหน้าแสดงอาการรังเกียจคราหนึ่ง ความเลอะเลือนในวังหลวงนั้นทำให้ซ่งไจ้สุ่ยหวาดผวาจนแทบจะมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ไหว นึกไม่ถึงว่ากระทั่งฮ่องเต้ก็…
บัดนี้ พวกศัตรูคอยจ้องจะขย้ำต้าเว่ย เกรงว่าคิดจะครองครอบดินแดนจงหยวนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน และเพราะภายในแคว้นเองก็ไม่สงบสุข แม้แต่ในตัวเมืองเฟิ่งโจวไม่ถึงทุกร้อยลี้ยังมีโจรชั่วปรากฏออกมาให้เห็น…สถานการณ์เช่นนั้น ฮ่องเต้ยังมีแก่ใจมีราชโองการลับให้ราชองครักษ์อี้สี่นายเร่งเดินทางทั้งวันทั้งคืนมายังชิงโจวที่อยู่ห่างจากเมืองหลวงนับพันลี้เพื่อเสาะหาพี่น้องสกุลจง เพียงเพราะความไม่สบายใจของสนมเสี่ยวอี๋ที่เพิ่งรับเข้ามาใหม่…
แม้ว่าเว่ยฉางอิ๋งจักมิได้รู้เรื่องในวังมากมายสักเท่าใด แต่ยามนี้ก็รู้สึกได้ว่าต้าเว่ย…ดูท่าจะไม่ดีเสียแล้ว…
__________________________________
[1] ราชองครักษ์ทั้งสาม ออกเสียงตามภาษาจีนว่า “ซานเว่ย” (三卫)
[2] ราชองครักษ์ชิน ออกเสียงตามภาษาจีนว่า “ชินเว่ย” (亲卫)
[3] ราชองครักษ์ซวิน ออกเสียงตามภาษาจีนว่า “ชวินเว่ย” (勋卫)
[4] ราชองครักษ์อี้ ออกเสียงตามภาษาจีนว่า “อี้เว่ย” (翊卫)