ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง - ตอนที่ 47 แขกจากเมืองหลวง
บนเขาไผ่น้อย ในขณะที่เว่ยฉางอิ๋ง เว่ยฉางเฟิงสองพี่น้องพากันสั่งการให้บ่าวไพร่เก็บข้าวของเตรียมกลับเข้าเมืองด้วยจิตใจที่หนักอึ้งและสับสนนั้น พวกของกู้อี้หรานก็เข้าไปในตัวเมืองฟงโจวแล้ว
แม้พวกเขาจะเป็นราชองครักษ์อี้ที่มาจากตระกูลที่ไม่ธรรมดา แต่เมื่อได้รับราชโองการลับให้ออกปฏิบัติภารกิจ…และแม้ว่าคำสั่งลับนี้จะไร้แก่นสารไปสักหน่อย เพราะต้องการจะปิดบังสนมจงเอาไว้ก่อนจะถึงวันเกิดของนาง ในเฟิ่งโจวที่อยู่ห่างไกลจากเมืองหลวงแห่งนี้ ต่อให้เปิดเผยภารกิจต่อเว่ยฉางเฟิ่งก็ไม่เป็นอะไร แต่หากแพร่สะพัดออกไปก็จะทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติของฮ่องเต้ จึงไม่อาจทำเสียจนผู้คนทั่วไปต่างรู้กันไปหมดว่าฮ่องเต้ส่งราชองค์อี้ให้มุ่งหน้าไปที่ชิงโจว เช่นนั้นพวกเขาจึงได้สวมใส่เสื้อผ้าธรรมดาเรียบง่าย เมื่อเข้าไปในเมืองก็ขี่ม้าให้ช้าลง และเลือกร้านสุราที่ห่างไกลผู้คนและสงบเงียบนั่งพักผ่อนสักครู่
ยามนี้ยังเช้าอยู่มาก ร้านสุราเพิ่งจะเปิด ภายในจึงยังไม่แขกคนอื่น
เมื่อเข้าไปนั่งแล้ว พวกบ่าวที่กู้อี้หรานพามาด้วยส่งสัญญาณให้เสี่ยวเอ้อถอยออกไป เมื่อเห็นว่ารอบกายไม่มีคนนอก กู้อี้หรานจึงได้เอ่ยถามพวกพ้องด้วยเสียงเบาว่า “แขนของอู๋ยิวเป็นอย่างไรบ้าง? ต้องไปหาฮูหยินในเมืองหรือไม่?”
เมื่อเด็กหนุ่มชุดดำที่อยู่ทางซ้ายของเขาได้ยินก็ส่ายหัวน้อยๆ ตอบอย่างไม่ใส่ใจว่า “ก็เพียงแค่โดนฟาดหนหนึ่ง เมื่อคืนตอนอยู่ในกระท่อมไม้ไผ่ก็ได้ให้คนเอาเหล้ายามาทาแล้ว ระหว่างทางก็จะดีขึ้นเอง ไยต้องไปรบกวนฮูหยินอีก” เด็กหนุ่มผู้นี้หน้าตาหมดจดงดงาม หากดูเผินๆ ก็จักทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นผู้หญิงเอาได้ง่ายๆ แต่รูปร่างกับไม่เตี้ย กระทั่งสูงกว่ากู้อี้หรานสักหน่อยด้วยซ้ำ
ในน้ำเสียงที่เขากล่าวตอบต่อกู้อี้หรานนั้นมิได้มีความอาทรใด แต่แววตากลับมีประกายเยือกเย็นแผ่ซ่านออกมา เห็นได้ชัดว่าเขาหาได้ไม่ใส่ใจเรื่องที่เขาถูกทำร้ายจนบาดเจ็บหลังจากมีเรื่องมีราวกับองครักษ์ตระกูลเว่ยเมื่อคืนนี้จริงๆ
“ฝนเมื่อเย็นวานนี้ตกลงมาอย่างฉับพลัน ทำให้พวกเราลำบากไม่เบา” ชายหนุ่มที่อยู่ทางซ้ายของเด็กหนุ่มชุดดำมีคิ้วเข้มตาโต รูปร่างกำยำ แม้จะจงใจกดเสียงต่ำยามพูดจาเช่นเดียวกับกู้อี้หรานแต่ก็ยังยากจะปิดบังความก้องกังวานของเสียงได้ เขาขมวดคิ้วแน่นพลางว่า “นึกไม่ถึงว่าจะบังเอิญมีพวกคนตระกูลเว่ยไปอยู่บนเขาไผ่น้อยพอดี จนทำให้มีการอารักษ์ขาอย่างแน่นหนาที่ตีนเขา ดึกตื่นค่ำมืดพลอยทำให้ลูกผู้น้องต้องลำบาก ทั้งยังถูกเจ้าเด็กน้อยเว่ยฉางเฟิงกระแนะกระแหนเอาอีก…ดูเจ้าเด็กน้อยเว่ยฉางเฟิงคงเพิ่งจะเกล้าผม เป็นเด็กเป็นเล็ก ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม แต่กลับมาข่มเหงกดขี่ลูกผู้น้องของข้าเช่นนี้ ข้าหมดความอดทนจริงๆ!”
ชายร่างกำยำพูดอย่างเกรี้ยวกราดทั้งยังตบโต๊ะไปหลายหน เห็นชัดว่าต้องการจะทวงหาความยุติธรรมให้กับเด็กหนุ่มชุดดำ ฟังจากน้ำเสียงเขาคงจักเป็นลูกผู้พี่ของเด็กหนุ่มชุดดำ
แต่กู้อี้หรานก็ดี เติ้งจงจีก็ดี เมื่อได้ยินคำกล่าวนี้ นอกจากจะมิได้มีท่าทีกล่าวตักเตือน ทั้งยังมีสีหน้า ‘เป็นเช่นนั้นจริงๆ’ อีกด้วย…
เห็นเพียงรอยยิ้มไร้กังวลที่เด็กหนุ่มชุดดำเคยมีพลันชะงักลงในทันใด…เกือบเค่อ เขาจ้องไปที่ลูกผู้พี่ของตน แล้วเอ่ยออกมาทีละคำ “ข้า แค่ ไม่ ทัน ระ วัง!”
“ข้ารู้ ข้ารู้” ชายร่างกำยำมีสีหน้าเข้าใจจริงจัง จนแทบจะเขียนคำว่า ‘ซื่อตรงที่สุด’ สี่พยางค์ไว้บรรยายได้ เขาใช้น้ำเสียงปลอบประโลมเอ่ยว่า “น้องพี่ เจ้าเป็นผู้สืบสกุลโดยตรงแห่งตระกูลตวนมู่! แม้ฐานะของตระกูลเว่ยและตระกูลตวนมู่จะเท่าเทียมกัน ลำพังพวกองครักษ์ตระกูลเว่ยสองสามคนนั้นหรือจะมีปัญญาต่อกรกับเจ้า? ความจริงแล้วเจ้าก็แค่เห็นว่าพวกมันน่าสงสาร จึงจงใจให้พวกมันฟาดไปหนหนึ่ง…เพื่อไม่ให้พวกมันไร้ความดีความชอบแล้วถูกเว่ยฉางเฟิงตำหนิเอา น้องพี่มักจะใจอ่อนเช่นนี้เสมอ…ภายหลังที่เว่ยฉางเฟิงลงเขามาพวกเรา น้องพี่ก็จะต้องจงใจสงบปากสงบคำอ่อนข้อให้เขา มิเช่นนั้น หากทำให้เจ้าเด็กนั่นมีโทสะจนร้องไห้ทั้งที่ตนเองก็เป็นเจ้าบ้าน คงจะเป็นเรื่องไม่ดีเอาเสียเลย…”
ใบหน้าของเด็กหนุ่มสกุลตวนมู่เดิมทีไร้ความกังวลแต่บัดนี้กลับเขียวคล้ำ พักใหญ่จึงดันเสียงแทรกไรฟันออกมาประโยคหนึ่งว่า “นับจากการประลองต่อหน้าพระพักตร์ ท่านพี่ซีสวินต้องพ่ายแพ้ต่อน้ำมือของเสิ่นจั้งเฟิงมาสามปีติดต่อกัน ไม่ว่าจะเตรียมตัวมากกว่าเดิมกี่เท่า จนกลายเป็นว่าเข็ดขยาดเสิ่นจ้างเฟิงดังกลัวเสือมาแต่นั้น! ท่านพี่มิได้รู้สึกว่าเสียหน้า แต่ข้ากลับรู้สึกอับอายแทนตระกูลหลิวแห่งตงหู!”
“น้องตวนมู่โปรดระวังคำ!” เดิมทีกู้อี้หรานและเติ้งจิงฉีไม่คิดจะเข้าไปแทรกการโต้แย้งของลูกพี่ลูกน้องทั้งสอง แต่ยามนี้ ด้วยโทสะทำให้ตวนมู่อู๋ยิวได้เอ่ยเรื่องที่หลิวซีสวินไม่พึงพอใจมากที่สุดออกไป จึงอดจะตกใจได้ ไม่กล้านิ่งดูต่อไปได้และรีบออกหน้าปราม “ท่านพี่หลิวก็โปรดอย่าได้เอ่ยถึงเรื่องเมื่อวานอีกเลย เมื่อวานนี้เป็นเพราะก่อนหน้านั้นกู้อี้หรานใคร่ครวญไม่รอบคอบ ทำให้เมื่อโคมดับ ไม่มีไฟส่องทางจึงได้หลงทาง โชคดีที่จงฉีเคยดูแผนที่แถบนั้นมาก่อน จึงจำเขาไผ่น้อยได้…อย่างไรเรื่องนี้ก็ผ่านไปแล้ว ส่วนเรื่องของเว่ยฉางเฟิง แม้เมื่อคืนจะปะทะคารมกัน แต่เขาก็ยังให้พวกเรายืมกระท่อมไผ่พักค้างแรม เช้าวันนี้ยามขึ้นเขาน้ำเสียงของเขาก็สุภาพอ่อนโยน ทั้งยังส่งพวกเราลงเขาด้วยตนเอง…”
“ช้าก่อน!” เมื่อสังเกตได้ว่าใบหน้าของหลิวซีสวินเคร่งเครียดและจ้องเขม็งมาที่ตน ตวนมู่อู๋ยิวจึงพลัน ‘ตั้งใจ’ สอบถามอย่างสงสัยว่า “เมื่อครู่ที่เว่ยฉางเฟิงส่งพวกท่านลงเขานั้น มิใช่เอาแต่พูดถึงเรื่องช่วยชีวิตอะไรนั่นรึ? เป็นเรื่องใดกัน?”
กู้อี้หรานแทบจะรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไม่ไหว เพื่อไม่ให้หลิวซีสวินและตวนมู่อู๋ยิวลงไม้ลงมือกันในร้านสุราแห่งนี้จริงๆ… เฟิ่งโจวเป็นอาณาเขตของตระกูลเว่ย ในตัวเมืองหรือจะมีสิ่งใดสามารถปิดบังเว่ยฮ่วนได้? แม้การเดินทางของพวกเขาครานี้จะมิได้มีสิ่งใดที่ไม่อาจให้ตระกูลเว่ยล่วงรู้ แต่ในเมื่อเป็นคนในตระกูลมีชื่อ หากพิจารณาให้ถ่องแท้แล้ว ทุกตระกูลต่างก็สามารถนับเป็นญาติกันได้ทั้งสิ้น ยังมิต้องเอ่ยถึงความสัมพันธ์ฉันญาติที่อ้อมไปไกลเจ็ดโค้งสิบแปดเลี้ยวเลย เพียงเอ่ยถึงเว่ยฮ่วนซึ่งเป็นหนึ่งในเสาหลักของประเทศ ดำรงตำแหน่งฉางซานกง ทั้งยังมีฐานะเป็นประมุขของตระกูลเว่ย พวกเขาซึ่งเป็นคนรุ่นหลัง เมื่อเดินทางผ่านเฟิ่งโจวแล้วไปคารวะเขาก็เป็นการสมควรอยู่
ครานี้เติ้งจงฉียังได้ช่วยคุณหนูตระกูลเว่ยเอาไว้ หากเรื่องนี้ทำให้เว่ยฮ่วนรู้สึกตื่นตกใจ…แม้จะไม่ได้หยุดแวะคารวะ อย่างไรเสียก็จักต้องไปอธิบายที่จวนสักหน่อย ซึ่งการไปอธิบายความเช่นนี้จักใช้เวลาเพียงวันครึ่งวันหรือจะเป็นไปได้! ยามนี้พวกเขารั้งรอไม่ได้ ยังไม่ทันได้นับว่าขากลับยังต้องเร่งเดินทาง มีเพียงสวรรค์ที่ล่วงรู้ว่าเมื่อถึงชิงโจวแล้ว ยังต้องใช้เวลาอีกนานเท่าใดจึงจะหาตัวน้องชายและน้องสาวของสนมจงพบ?
ดังนั้นกู้อี้หรานจึงได้กล่าวในทันใดว่า “เป็นตอนที่กำลังกล่าวอำลา จงฉีเห็นงูเขียวหางไหม้ตัวหนึ่ง จึงได้ลงมือ”
“เจ้าเด็กน้อยเว่ยฉางเฟิงนั่นโชคดีไม่เลวเลย” ตวนมู่อู๋ยิวส่งเสียงฮึออกมา…เมื่อคืนนี้ พวกเขานึกไม่ถึงว่าเมื่อมาถึงตีนเขาไผ่น้อยยามดึกดื่นจะมีองครักษ์มากมายอยู่ เกือบจะหลงนึกว่าเป็นรังโจรกลางป่าเสียแล้ว จึงเป็นธรรมดาที่ต้องเตรียมตัวตอบโต้ นั่นเพราะก่อนหน้านี้มีกองโจรบุกเข้าเผาทำลายในเมือง จนทำให้เว่ยฮ่วนซึ่งกำลังนำไพร่พลออกไปปราบปรามกองโจรที่เขาเฟิ่งฉีจนเกือบจะสำเร็จแล้ว แต่กลับต้องรีบกลับเข้าเมืองมาหารือเพื่อหาทางรับมือ…เขาเฟิ่งฉีห่างจากตัวเมืองของเฟิ่งโจวไม่ถึงร้อยลี้ เขาไผ่น้อยแห่งนี้ห่างจากตัวเมืองเฟิ่งโจวสี่สิบลี้ ซึ่งทั้งสองแห่งนี้ใกล้กันมาก ดังนั้นเว่ยฉางเฟิงสามพี่น้องพักอยู่ที่เขาไผ่น้อยสองสามวัน ตระกูลเว่ยจึงได้วุ่ยวายกันขึ้นมาในทันใด ไม่ว่าจะทางแจ้งหรือทางลับ มิรู้ว่าส่งกำลังคนกี่มากน้อยมาล้อมเขาไผ่น้อยเอาไว้จนน้ำยังไหลรั่วออกมาไม่ได้เลย!
องครักษ์เหล่านี้ก็รู้ดีกว่าเหตุใดจึงต้องระมัดระวังถึงเพียงนี้ เว่ยฉางเฟิง เว่ยฉางอิ๋ง และซ่งไจ้สุ่ยล้วนเป็นผู้ที่มีฐานะสำคัญยิ่ง เขาไผ่น้อยนั้นห่างจากเขาเฟิ่งฉีเพียงไม่กี่สิบลี้เท่านั้น วันหนึ่งม้าเร็วก็สามารถไปกลับได้หลายรอบแล้ว แม้กองโจรที่เขาเฟิ่งฉีจะถูกปราบจนสิ้นซาก แต่ผู้ใดเล่าจะรู้ว่าพวกโจรชั่วนี้จะได้ยินข่าวแล้วพากันบุกมาแก้แค้นที่เขาไผ่น้อยหรือไม่?
หากเว่ยฉางเฟิงสามพี่น้องเกิดเหตุใดขึ้น ไม่ต้องถามก็รู้ว่าองครักษ์ตระกูลเว่ยจะต้องลงเอยอย่างไร จึงเป็นธรรมดาที่พวกเขาย่อมไม่กล้าประมาทเลินเล่อ
การเดินทางของกู้อี้หรานในครานี้ล้วนสวมชุดลำลอง ทั้งยังพกอาวุธ และบุกรุกเข้ามากลางป่าที่ตีนเขาไผ่น้อยยามวิกาล…องครักษ์ตระกูลเว่ยไม่คิดว่าพวกเขาคือพวกโจรก็แปลกแล้ว!
แม้พวกของกู้อี้หรานจะหมายมั่นปั้นมือเข้าเป็นหนึ่งในราชองครักษ์ทั้งสามตั้งแต่ยังเล็ก กอปรกับเป็นเพราะพื้นเพเดิมของตระกูล องครักษ์ของฮ่องเต้ย่อมต้องเก่งกาจกว่าองครักษ์ทั่วไป ทว่า…กลับสู้กำลังพลจำนวนมากขององครักษ์ตระกูลเว่ยไม่ได้!
บุตรสาวและบุตรชายทั้งสองของฮูหยินซ่งล้วนอยู่ที่เขาไผ่น้อย นางแทบอยากจะส่งองครักษ์ตระกูลเว่ยทั้งบ้านมาจึงจะสามารถวางใจได้ แม้แต่ปี้อู๋ที่ไม่ออกไปทำการใดง่ายๆ ยังถูกนางรบเร้าเสียจนต้องส่งคนจำนวนหนึ่งมาตั้งค่ายที่ตีนเขา กำลังพลที่ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ ต่อให้กองโจรแห่งเขาเฟิ่งฉียังไม่ถูกกำจัดไปหมด ก็สามารถต่อกรได้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงจะรับมือกับคนเพียงหยิบมือของกู้อี้หราน
ดังนั้นพวกเขาจึงได้เสียเปรียบไม่น้อย หากไม่เป็นเพราะกู้อี้หรานพบว่าอีกฝ่ายเป็นองครักษ์ของตระกูลเว่ยได้ทันกาล แล้วประกาศออกไปทันทีว่าตนก็คือคนของตระกูลกู้แห่งเมืองหลวง จึงทำให้อีกฝ่ายได้สติและยั้งมือ หาไม่แล้วตวนมู่อู๋ยิวก็คงไม่แค่ถูกฟาดแขนเพียงเล็กน้อยเท่านี้…เกรงว่าแม้แต่หัวก็คงไม่แคล้วถูกองครักษ์ตระกูลเว่ยที่ปรารถนาจะสร้างผลงานบั่นขาดลงมาแล้ว!
และนี่ก็คือสาเหตุที่ไม่ว่าตวนมู่อู๋ยิวและหลิวซีสวินสองลูกพี่ลูกน้องจะพูดถึงเว่ยฉางเฟิงอย่างไรก็หาได้มีเรื่องดีไม่
…ยามที่เว่ยฉางเฟิงมาถึงตีนเขานั้น พวกของกู้อี้หรานได้ถูกควบคุมเอาไว้หมดแล้ว โดยเฉพาะตวนมู่อู๋ยิวและหลิวซีสวินที่ขัดขืนรุนแรงที่สุด และมีท่าทีแข็งกร้าวเลวร้ายที่สุด พวกเขาเป็นคนลงมือทำร้ายองครักษ์ไปสองนาย เหล่าองครักษ์ทั้งคอยระวังและคอยรับมือ จนท้ายที่สุดใช้ดาบถึงสิบกว่าเล่มทาบอยู่ที่คอของพวกเขา แล้วกดพวกเขาลงบนพื้นดินโคลนกลางป่า ให้คุกเข่าลงดูเว่ยฉางเฟิงเดินเข้ามาท่ามกลางทุกคนเพื่อสอบถามสาเหตุ
นี่ยังไม่เท่าใด ประเด็นสำคัญอยู่ที่เมื่อเว่ยฉางเฟิงสอบถามได้ความแล้ว กลับเอ่ยชี้ชัดอย่างไม่ได้เกรงใจสักนิดว่าเขาไผ่น้อยนี้เป็นสมบัติของตระกูลเว่ย การที่พวกเขาบุกรุกเข้ามาก็นับว่าทำไร้เหตุผลอยู่ก่อนแล้ว ยังมาทำร้ายองครักษ์ของตระกูลเว่ยอีก กระทำการเยี่ยงพวกโจร! ดังนั้นแล้วการที่เหล่าองครักษ์ทำกับพวกเขาเช่นพวกโจรก็เป็นเรื่องสมควรแล้ว!
เมื่อกู้อี้หรานเห็นดังนั้น ยังนึกว่าผู้ที่ขึ้นเขาไปรายงานไม่ได้นำเรื่องฐานะของพวกตนไปบอกกล่าว จึงได้รีบประกาศตนว่าคือตระกูลกู้แห่งเมืองหลวง แม้ตระกูลกู้มิทัดเทียมตระกูลเว่ย แต่ก็เป็นตระกูลใหญ่เช่นกัน และยังเป็นชนชั้นผู้ปกครอง ดีเลวอย่างไรก็ควรจะไว้หน้าบ้าง…แต่เว่ยฉางเฟิงกลับมิได้สนใจเลยสักนิด ทั้งยังกล่าวด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวว่าเมื่อกลับไปในตัวเมืองแล้วจะไปรายงานผู้ใหญ่ และเขียนจดหมายไปขอให้ตระกูลกู้อธิบายเรื่องนี้มาด้วย!
หลังจากนั้นตวนมู่อู๋ยิวและหลิวซีสวินก็มีน้ำโหจนเหลืออด ไม่เพียงประกาศว่าตนเป็นลูกหลานตระกูลใด ยังได้สั่งสอนเว่ยฉางเฟิงไปอีกว่าไร้มารยาทสิ้นดีที่ไม่ให้เกียรติคนตระกูลใหญ่เพียงเพราะองครักษ์ไม่กี่นาย
ไม่คิดว่าชื่อของตระกูลตวนมู่และตระกูลหลิวกลับมิอาจกดเว่ยฉางเฟิงที่ลำพองตนเช่นกันว่ามีท่านปู่คอยหนุนหลังลงได้ เว่ยฉางเฟิงต่อปากต่อคำกับพวกเขาครึ่งชั่วยามเต็มๆ คุณชายห้าแห่งตระกูลเว่ยผู้นี้เพิ่งจะเกล้าผม แต่ก็เป็นบุตรชายของตระกูลซ่งที่เชียวชาญด้านบุ๋นเป็นอย่างยิ่ง ไม่ทันถึงสองประโยคบุตรชายตระกูลหลิวที่เป็นตระกูลฝ่ายบู๊มาหลายชั่วคนก็ถูกเว่ยฉางเฟิงพูดเสียจนใบ้กินพูดไม่ออกแพ้ยับเยิน ตวนมู่อู๋ยิวที่คนในตระกูลขุนนางที่ทำงานด้านบุ๋นมามากเช่นกัน เพียงแต่ตนเองกลับมีใจรักงานด้านบู๊ ครานี้จึงลองต่อฝีปากดูบ้าง แต่กลับถูกเว่ยฉางเฟิงนำวรรคทองของวรรนกรรมเลื่องชื่อออกมาป้องปัดได้ลื่นไหลดังสายน้ำ ทั้งยังท่อง ‘กฏหมายต้าเว่ย’ กลับหลังได้อย่างคล่องแคล่ว เสริมด้วยธรรมเนียมปฏิบัติที่สืบทอดกันมาในแต่ละยุคแต่ละสมัย พูดไปจนถึงว่าการกระทำของพวกกู้อี้หรานนั้นไม่มีมนุษยธรรม ถึงขั้นต่ำช้ากว่าสัตว์ป่า… เรียกว่าเกือบจะได้มอบหนังสือนักปราชญ์สักเล่มสองเล่มให้ตวนมู่อู๋ยิวไปขัดเกลาจิตใจแล้ว
ตวนมู่อู๋ยิวเป็นผู้ที่อายุน้อยที่สุดในพวกของกู้อี้หราน ทั้งยังอารมณ์ร้อนที่สุด มีหรือจะทนไหว? ทันใดนั้นเขาจึงเลิกพูดจากด้วยเหตุผลแล้ววิวาทกับเว่ยฉางเฟิงเสียยกใหญ่ แต่แล้ว…เขาก็ถูกเว่ยฉางเฟิงด่าเสียจนหัวหมุนต่อไปอีกครา
จะอย่างไรตวนมู่อู๋ยิวก็เป็นชาย ความไร้เหตุผลของเขานั้นยังห่างไกลกว่าของเว่ยฉางอิ๋งนัก เว่ยฉางเฟิงเคยชินกับความเฉไฉ เถียงข้างๆ คูๆ ของพี่สาวร่วมท้องมาแต่เล็ก จึงไม่มีทางถูกเขารังควานเอาได้…ยิ่งไปกว่านั้นเว่ยฉางเฟิงยอมอ่อนข้อให้พี่สาว แต่กลับไม่มีวันยอมอ่อนข้อให้เขา
ซึ่งนี่ก็คือสาเหตุที่เมื่อพวกเขาไปกล่าวคำลาเมื่อเช้าวันนี้ จึงมีเพียงกู้อี้หรานและเติ้งจงฉีขึ้นเขาไป ทั้งยังเป็นสาเหตุที่เว่ยฉางเฟิงไม่ยอมลงมาส่งด้วยตนเอง เพราะรู้สึกว่าคนทั้งสองลำพองในฐานะของตนเกินไป เพราะอย่างไร เมื่อคืนนี้ทั้งสองฝ่ายก็หาได้เป็นมิตรต่อกันไม่
แม้เมื่อเว่ยฉางเฟิงจะด่าทอตวนมู่อู๋ยิวจบแล้ว จะยังให้คนเตรียมที่พักให้กับพวกเขา แต่ตวนมู่อู๋ยิวกลับหาได้สำนึกขอบคุณบุตรชายตระกูลเว่ยผู้นี้สักน้อยไม่…เขายอมนอนตากฝนในป่าทั้งคืน แต่จะไม่ยอมพ่ายสงครามน้ำลายให้แก่เว่ยฉางเฟิงหรือต้องมาเป็นหนี้บุญคุณเขา!
แต่จนใจนัก กู้อี้หรานกลับดึงดันลากเขาเข้ากระท่อม! ตากฝนทั้งคืนเช่นนี้ แม้จะไม่ป่วยไข้ เช้าวันนี้ตวนมู่อู๋ยิวก็จะเร่งเดินทางไม่ไหว กู้อี้หรานกำลังเร่งรีบเดินทาง ไม่ว่าจะว่าอย่างไรก็จะไม่ยอมให้โทสะที่ตวนมู่อู๋ยิวมีต่อคนผู้หนึ่งมาพลอยทำให้ทุกคนเดือนร้อนไปด้วย
เมื่อตวนมู่อู๋ยิวเอ่ยถึงเว่ยฉางเฟิงในยามนี้ ก็แน่นอนว่าไม่มีทางเป็นเรื่องดีไปได้
__________________________