ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง - ตอนที่ 48.1 โอกาสในวิกฤต (1)
ท่าทีตอบสนองของตวนมู่อู๋ยิวเป็นไปตามที่กู้อี้หรานคาดเอาไว้ เขาหัวเราะแล้วหัวเราะอีก “ไม่ใช่เว่ยฉางเฟิง เป็นพี่สาวของเขาเว่ยฉางเฟิง”
“คุณหนูตระกูลเว่ย?” ครานี้แม่แต่หลิวซีสวินก็ยังมีสีหน้าตกใจเช่นกัน พลางเอียงตัวมาข้างหน้าเล็กน้อยด้วยความสนใจยิ่ง “คู่หมั้นของเสิ่นจั้งเฟิง? ที่เว่ยฉางเฟิงบอกว่ามีนายหญิงอยู่บนเขาไผ่น้อย ก็คือผู้นี้? หน้าตานางเป็นเช่นไร?” จริงอยู่ว่าเขาถามว่า “หน้าตานางเป็นเช่นไร” แต่บนใบหน้านั้นเกือบจะเขียนเอาไว้ว่า ‘จะให้ดี ขอให้หน้าตาของคุณหนูตระกูลเว่ยผู้นี้น่าเกลียดยากจะทนมองไหว ให้เสิ่นจั้งเฟิงได้แต่งงานกับหญิงอัปลักษณ์’ และ ‘ไม่เพียงแค่มีหน้าตาอัปลักษณ์ ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแม่นางผู้นี้เจ้าอารมณ์ ขี้อิจฉาชอบโวยวายด้วยยิ่งดี’…
ตวนมู่อู๋ยิวกลับรู้สึกสงสัยยิ่ง “คนแปลกหน้าขึ้นเขาไป เป็นถึงคุณหนูตระกูลใหญ่แต่กลับไม่ได้หลบเลี่ยง คนที่พวกเจ้าพบคือคุณหนูตระกูลเว่ยจริงๆ หรือ?”
แม้เขาจะไม่ชอบเว่ยฉางเฟิง แต่ตระกูลเว่ยแห่งเฟิ่งโจวและตระกูลตวนมู่แห่งจิ่นซิ่ว ตระกูลหลิวแห่งตงหูต่างเป็นตระกูลใหญ่ในแถบทะเล อย่างไรตวนมู่อู๋ยิวก็ยังเชื่อในชื่อเสียงของตระกูลเว่ย หากเป็นคุณหนูตระกูลเว่ยจริงๆ โดยเฉพาะคุณหนูซึ่งเป็นผู้สืบสายเลือดโดยตรงที่มีกำหนดใกล้จะออกเรือน มีหรือจะยอมให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นคนนอกพบเจอได้ส่งเดช?
ดังนั้นตวนมู่อู๋ยิวจึงกลับรู้สึกว่า “อย่าได้เป็นเจ้าเด็กน้อยเว่ยฉางเฟิงที่อายุน้อยๆ เพียงนี้แต่กลับไปลุ่มหลงในอิสสตรี แสร้งทำเป็นว่าออกมาท่องเที่ยว แล้วพาสาวใช้รูปงาม หรือไม่ก็นางบำเรอในบ้านพวกนั้นขึ้นเขามาทำเรื่องเย้ยฟ้าท้าดินกันเสียเล่า?”
ตระกูลใหญ่สูงศักดิ์มั่งคั่งมาหลายชั่วอายุคน สามารถสืบทอดชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลมาได้หลายร้อยปีโดยมิได้เสื่อมถอย ผู้สืบสกุลส่วนใหญ่สร้างความรุ่งเรื่องให้ตระกูล แต่ก็ยากจะหลบเลี่ยงคนดีคนเลวปะปน บุตรหลานในตระกูลก็ย่อมจะมีทั้งที่หลักแหลมมีฝีมือ ฝักใฝ่หาความก้าวหน้า เพื่อให้ฐานะของตระกูลตนสูงส่งยิ่งขึ้น แต่ก็มีที่ท่าดีทีเหลว เพียงเสพสุขจากกองเงินกองทองของตระกูล แต่กลับไม่ถามไถ่ถึงเรื่องภายนอก ทำตัวดังเป็นจิ้งผิงกง และยิ่งมีบุตรหลานรุ่นหลังที่อาศัยความมั่งมีของตระกูล วันวันเอาแต่หมกตัวอยู่ในหอสุรา ไม่เคยคิดหาความก้าวหน้า
ประเภทสุดท้ายนี้ต่างก็มีกันทุกตระกูล แม้ว่าคนในตระกูลเดียวกันก็ยังดูแคลนพวกเขา แต่เพราะมีสายเลือดเดียวกัน นอกจากจะด่าทอไปสองสามประโยคว่าเป็นบุตรหลานที่ไม่ได้ความแล้ว อย่างไรเสียก็ไม่อาจลากออกไปตีจนตายได้
ในเมื่อตวนมู่อู๋ยิวได้เป็นราชองครักษ์อี้ ก็แน่นอนว่าเขาไม่ใช่คนประเภทไม่คิดหาความก้าวหน้า และออกจะดูแคลนลูกหลานตระกูลใหญ่ที่เป็นเช่นนี้ เขาไม่ชอบเว่ยฉางเฟิงเป็นอย่างมาก จึงเป็นธรรมดาที่จะคิดว่าเว่ยฉางเฟิงเป็นคนเช่นนั้น…แม้จะรู้ว่าเว่ยฉางเฟิงเชี่ยวชาญเรื่องวรรณกรรม ประวัติศาสตร์และกฎหมายมากถึงเพียงใด และไม่น่าจะเป็นคนไม่ฝักใฝ่ความก้าวหน้า แต่…พูดส่งเดชไปเช่นนี้ก็สะใจดีไม่เบา!
กู้อี้หรานกล่าวเตือนอย่างรอมชอมว่า “กระท่อมบนเขานั้นคับแคบนัก คุณหนูผู้นั้นคงไม่รู้ว่าพวกเราจะขึ้นเขามาจึงบังเอิญได้พบเข้า จะอย่างไรนางก็เป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ หากมิใช่เพราะเหตุบังเอิญ มีหรือจะให้พวกเราพบเห็นได้ส่งเดช? ยามที่ขึ้นไปเห็นนางพาสาวใช้ บ่าวไพร่เดินเล่นอยู่ริมลำธาร ผู้คนที่ติดตามมานั้นไม่ธรรมดา นางเองก็สวมหมวกปิดหน้า พวกข้าไม่กล้ามองนานนัก ทว่าก็เกิดเหตุบังเอิญขึ้นอีก ยามเมื่อลงเขา เว่ยชิงอยากพาพวกเราหลบเลี่ยงนาง จึงจงใจเลือกเส้นทางเล็กๆ หลังกระท่อม ไม่คิดว่าคุณหนูผู้นั้นกลับคิดเช่นเดียวกัน จึงได้ไปนั่งพักรอที่ศาลาไผ่หลังกระท่อม…งูเขียวหางไหม้ตัวนั้นเลื้อยพันอยู่บนต้นเสาของศาลาที่ตัดไผ่สดมาสร้าง สีสันแทบจะเป็นสีเดียวกัน โชคดีที่จงฉีสายตาแหลมคม ซัดมีดพกที่อยู่ในแขนเสื้อออกไปปักงูตัวนั้นไว้กับต้นเสา”
“สายตาของท่านพี่เติ้งนั้น ไร้ผู้เทียบเทียมมาแต่ไร” ตวนมู่อู๋ยิวเข้าใจความหมายของกู้อี้หราน ว่ากู้อี้เหรานแน่ใจว่าคนที่พวกเขาพบนั้นคือคุณหนูตระกูลเว่ย ก่อนหน้านั้นเขาคาดเดาไปส่งเดชว่านายผู้หญิงผู้นั้นมีฐานะไม่ดี ซึ่งถือเป็นการล่วงเกินคุณหนูตระกูลเว่ย แม้ที่นี่จักไม่มีคนของตระกูลเว่ยอยู่ แต่การพูดจาลบหลู่คุณหนูตระกูลสูงศักดิ์ว่าเป็นสาวใช้หรือนางบำเรอ ก็ถือเป็นการกระทำที่เสื่อมเสียเกียรติ
ยิ่งไปกว่านั้นคุณหนูตระกูลเว่ยผู้นี้ยังเป็นคู่หมายของคนที่พวกเขารู้จัก…จึงได้เอ่ยเฉไฉไปว่า “หากมิใช่เป็นเพราะท่านพี่เติ้ง เสิ่นจั้งเฟิงที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ยังไม่ได้สวมหมวก[1]คนแรกของพวกเราผู้นั้น เหอะๆ!” เสิ่นจั้งเฟิงได้ชื่อว่าเป็นเด็กหนุ่มที่ยังไม่ได้สวมหมวกคนแรกที่ได้เป็นถึงราชองครักษ์ซิน ซึ่งมีชื่อเสี่ยงเลื่องลือเป็นอย่างยิ่งตลอดหลายปีมานี้ ในสายพระเนตรของฮ่องเต้ก็ทั้งยังได้รบการชมเชยเป็นอันมากเช่นกัน แม้ว่าพวกของตวนมู่อู๋ยิวจะมาจากตระกูลที่มีฐานะต่ำต้อยกว่าเสิ่นจั้งเฟิงเพียงเล็กน้อย ทว่าต่างก็เป็นบุตรหลานตระกูลสูงศักดิ์ ทั้งยังอยู่ในวัยที่เลือดลมพลุ่งพล่าน แล้วจะมีผู้ใดยอมให้ผู้ใดเล่า?
ลำพังเพียงแค่ได้ยินเขาเอ่ยถึงเสิ่นจั้งเฟิงด้วยฉายาเช่นนี้ก็รู้ได้ว่าพวกเขาจงใจเพียงใด เมื่อคิดขึ้นมายามนี้ว่าพวกพ้องของตนช่วยเหลือคู่หมายของเสิ่นจั้งเฟิงเอาไว้หนหนึ่ง ก็รู้สึกว่าตนได้โอกาสที่จะเย้ยเสิ่นจั้งเฟิง… ต่อให้เสิ่นจั้งเฟิงเก่งกาจกว่านี้แล้วจะอย่างไร? หากไม่ได้เติ้งจงฉีแล้ว กระทั่งคู่หมายก็ไร้ปัญญาจะปกป้อง!
ไม่คิดว่าเติ้งจงฉีกลับยิ้มอย่างราบเรียบออกมาหนหนึ่ง “เดิมทีข้าก็นึกว่านี่เป็นผลงานชิ้นงาม แต่ภายหลังกลับพบว่าแม้มิได้ข้าลงมือ คุณหนูผู้นั้นก็ใช่ว่าจะได้รับอันตราย”
“ไยท่านพี่เติ้งจึงกล่าวเช่นนี้?” นอกจากกู้อี้หรานแล้ว ตวนมู่อู๋ยิวและหลิวซีสวินต่างแปลกใจเป็นอันมาก
เติ้งจงฉีและกู้อี้หรานสบตากันหนหนึ่ง แล้วจึงเอ่ยว่า “ก็เพราะคุณหนูตระกูลเว่ยผู้นี้มีฝีมือไม่เบาเลยน่ะสิ แม้ไม่รู้ว่านางจะเคยร่ำเรียนวิชาอาวุธลับมาก่อนหรือไม่ แต่ด้วยระยะห่างสิบกว่าจั้ง กลับใช้ปิ่นปักผมหยกหัวมนปักทะลุตัวงูเขียวหางไหม้อีกตัว… ความสามารถเช่นนี้ เกรงว่าแม้งูเขียวหางไหม้ตัวนั้นจะเลื้อยเข้าไปในเสื้อผ้าของนาง หากถูกพบเห็นเข้า ด้วยความว่องไวของคุณหนูผู้นี้ มันก็ไม่อาจจะทำร้ายนางได้”
ใบหน้าของตวนมู่อู๋ยิวและหลิวซีสวินเต็มไปด้วยความไม่น่าเชื่อ ต่างเบิกตาโพลงพูดจาติดๆ ขัดๆ ว่า “คนที่เจ้าว่าคือคุณหนูตระกูลเว่ย หรือว่าองครักษ์ลับบ้านเว่ยกันแน่?”
เติ้งจงฉีตอบว่า “เป็นคุณหนูตระกูลเว่ย เมื่อเว่ยฉางเฟิงรู้ถึงเหตุการณ์นี้ ก็ตื่นตกใจแล้ววิ่งตามมาที่หลังกระท่อม ร้องเรียก ‘ท่านพี่’ หลายหน หลานสาวคนโตของตระกูลเว่ยอยู่ที่เมืองหลวง คนที่เว่ยฉางเฟิ่งเรียกว่าพี่ได้ ก็มีเพียงบุตรสาวคนโตสายเลือดโดยตรง พี่สาวร่วมท้องคนเดียวของเขา และคือผู้ที่หมั้นหมายกับเสิ่นจั้งเฟิงคนนั้นนั่นเอง”
กู้อี้หรานเห็นตวนมู่อู๋ยิวและหลิวซีสวินจ้องมองมาทางตนก็เข้าใจความหมายของพวกเขา แล้วพยักหน้าตอบว่า “เป็นดังนั้นจริงๆ คุณหนูตระกูลเว่ยผู้นี้มีความกล้าหาญเกินคน เมื่อจงฉีพบงูเขียวหางไหม้ตัวแรกนั้น เพียงเพราะมันอยู่ด้านบนศีรษะของนางเพียงนิ้วเดียว เพราะเหตุการณ์คับขันจึงลงมือโดยไม่ทันได้อธิบาย มีดพกลอยไปปักอยู่ในศาลาข้างบนศีรษะของนาง…อย่าว่าแต่นายหญิงตระกูลใหญ่เลย แม้แต่ชายฉกรรจ์เช่นพวกเรา หากกำลังนั่งพักผ่อนอยู่ในศาลาแล้วจู่ๆ ก็เกิดเหตุเช่นนี้ขึ้น ต่างก็ต้องตกใจจนร้องเสียงหลง กระทั่งแข้งขาอ่อนลงกับที่ ทว่านอกจากคุณหนูผู้นั้นจะไม่ส่งเสียงร้องตกใจ กระทั่งเมื่อรู้ถึงสาเหตุกลับยังลุกขึ้นมาจัดแจงเสื้อผ้าในทันใด แล้วออกจากศาลามาขอบคุณจงฉี! ระหว่างนั้น สาวใช้ของนางเห็นงูเขียวหางไหม้อีกตัวหนึ่งอยู่ห่างออกไปสิบกว่าจั้ง องครักษ์ตระกูลเว่ยยังไม่ทันได้ลงมือ ก็กลับถูกคุณหนูผู้นี้ดึงปิ่นจากผมของสาวใช้ข้างกายออกมาซัดใส่มันจนตาย!”
เขาและเติ้งจงฉีสบตากันหนหนึ่ง แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ ว่า “พวกข้าก็เพิ่งจะเคยเห็นคุณหนูตระกูลใหญ่ที่เป็นเช่นนี้เป็นหนแรก!” ในถ้อยคำนี้ มีเจ็ดส่วนที่เป็นการอุทานด้วยความตกใจ สองส่วนเป็นคำชม และยังมีอีกส่วนหนึ่งเป็นความรู้สึกสับสนซับซ้อน
“…” กู้อี้หรานและเติ้งจงฉีต่างก็ไม่ใช่คนพูดโป้ปด เมื่อทั้งสองคนต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวว่าคุณหนูตระกูลเว่ยมีฝีมือเหนือคน ตวนมู่อู๋ยิวและหลิวซีสวินนิ่งเงียบลงไปทันใด พักใหญ่ หลิวซีสวินที่มีร่างกายกำยำ กลับอุทานออกมาด้วยความคับแค้นใจว่า “ตัวเสิ่นจั้งเฟิงเองก็มีตำแหน่งผู้ยังไม่สวมหมวกอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง เหตุใดแม้แต่ภรรยาของเขาก็ยังน่ากลัวถึงเพียงนี้!”
ทุกคนรู้ว่าเขาพ่ายแพ้การประลองให้กับเสิ่นจั้งเฟิงถึงสามครั้งสามครา แม้ปากมักไม่เอ่ยถึง แต่ในใจกลับอดจะขัดเคืองไม่ได้ แม้แต่คู่หมายก็ยังเก่งกาจถึงเพียงนี้… กู้อี้หรานกำลังจะปลอบเขา ไม่คิดว่าเพียงหลิวซีสวินขยับดวงตา แววแห่งความแค้นในใจพลันหายไปสิ้น แล้วกลับพลิกวิฤกตให้เป็นโอกาสขึ้นมา “คุณหนูตระกูลเว่ยเก่งกาจถึงเพียงนี้ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อถูกงูเขียวหางไหม้ทำให้ตกใจ ต่อหน้าแขกซึ่งเป็นคนนอกเช่นพวกเจ้า กลับมิได้หลบเลี่ยงที่จะสังหารงูเขียวหางไหม้อีกตัวเป็นการแก้แค้น…ความร้ายกาจเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ เกรงว่าคงจะเป็นแม่เสือสาวเสียกระมัง? เกรงว่าปีหน้ายามเข้าบ้านก็จะถลกแขนเสื้อขึ้น แล้วจัดการเสิ่นจั้งเฟิงเสียสิ้นฤทธิ์ ควบคุมเขาจนอยู่หมัด…งานแต่งครานี้ จัดได้ดี! จัดได้ดีจริงๆ!”
————————————————————–
[1] ผู้ยังไม่ได้สวมหมวก หมายถึง ชายหนุ่มที่อายุยังไม่ถึง 20 ปี