ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง - ตอนที่ 48.2 โอกาสในวิกฤต (2)
เขาชูถ้วยชาขึ้นอย่างเปรมปรีดิ์ แล้วเอ่ยอย่างจริงจังว่า “ข้าขอให้ภายภาคหน้า คุณหนูเว่ยผู้นี้จงมีความสุขยืนยาว มีบุตรธิดาดังหมาย จัดการเสิ่นจั้งเฟิงให้ชี้ตะวันออกไม่กล้ามองตะวันตก ไปทิศใต้ไม่กล้าเหลียวทิศเหนือไปชั่วชีวิต!”
…กู้อี้หรานกระแอมไอหนหนึ่ง แล้วว่า “พวกเรามาว่ากันเรื่องที่ต้องเร่งเดินทางกันต่อไปดีกว่า” คนทั้งกลุ่มมาไกลจากเมืองหลวงถึงเพียงนี้แล้ว ทั้งยังมีราชโองการของฮ่องเต้อยู่กับตัว แต่กลับเอาแต่คิดจะสาปแช่งเสิ่นจั้งเฟิงให้ได้แม่เสือสาวแต่งเข้าบ้าน… หากเป็นเช่นนี้ต่อไปก็จะยิ่งทำให้เสิ่นจั้งเฟิงยิ่งสร้างเงามืดให้กับพวกเขาลึกลงไปอีก
หากพูดต่อไปเกรงว่าชาตินี้จะไม่มีหวังจะเอาชนะคนผู้นี้ได้
จากนั้นไม่นานข้าวปลาอาหารก็จัดเตรียมมาให้เรียบร้อย หลังจากนั้นพวกบ่าวใช้ตะเกียบเงินตรวจสอบดูว่าไม่มีสิ่งแปลกปลอมใด จึงได้ยักมาให้ ทุกคนล้วนเป็นบุตรตระกูลใหญ่ ได้รับการอบรมมาเป็นอย่างดีเวลาทานอาหารไม่พูดจา ร้านสุราจึงได้เงียบลง
เติ้งจงฉีดูท่าทางจิตใจสงบ รับประทานอาหารด้วยท่าทางสุภาพเรียบร้อย แต่ใจเขากลับเต้นเร็ว…
…ที่แท้นั่นคือคุณหนูตระกูลเว่ย มิใช่ว่าที่พระชายาองค์รัชทายาท?
บนเขาไผ่น้อย เติ้งจงฉีเหลียวมองเว่ยฉางอิ๋งที่สวมหมวกคลุมหน้าถึงสามครั้งสามครา แต่นั่นหาใช่เพราะเขาไม่รู้จักมารยาทหรือว่าหลงใหลได้ปลื้มในหญิงงาม
เขาเป็นบุตรชายสายเลือดโดยตรงของตระกูลหลิวแห่งเมืองหรง แต่บิดาได้ล้มป่วยและเสียชีวิตไปเมื่อเขาอายุได้เจ็ดปี ยามเมื่อมีชีวิตอยู่ดำรงตำแหน่งขุนนางขั้นห้า…หากดูตามประวัติการรับราชการที่ผู้เป็นปู่เคยรั้งตำแหน่งขุนนางขั้นสาม เขาก็จะสามารถเข้าเป็นราชองครักษ์ซวินได้ ทว่ายามเมื่อบิดาของเขามีชีวิตอยู่นั้นเป็นคนอารมณ์ร้ายอุปนิสัยไม่ดีเป็นอย่างยิ่ง ยังไม่เอ่ยถึงเรื่องที่เขาสร้างความบาดหมางให้กับพี่น้องทั้งหมด กระทั่งญาติข้างภรรยายังโมโหโกรธาเสียจนตัดขาดไม่คบค้าสมาคมกับเขา
มีบิดาเช่นนี้ เพียงคิดก็รู้ว่ายามเมื่อสิ้นบิดาไปเจิ้งจงฉีจะมีสภาพเช่นไร
แม้จะบอกว่าอย่างน้อยเขาก็มีคุณสมบัติที่จะเป็นราชองครักษ์อี้ แต่ด้วยกลวิธีที่อาและลุงพร้อมใจลงมือ แล้วเขาจะทำเช่นไรได้? หากมิใช่อาหญิงที่เป็นพระสนมเอกชั้นกุ้ยเฟย[1]คอยปกป้อง…
หากเอ่ยถึงฐานะพระสนมเอกในวังหลังแห่งต้าเว่ยนับว่าไม่ได้ต่ำเลย รองจากฮองเฮาลงมาก็คือพระสนมเอกชั้นกุ้ยเฟยแล้ว ดังนี้จึงเห็นได้ว่า ฐานะในวังหลวงของอาหญิงของเติ้งจงฉีนั้นไม่เลวเลย
ทว่าพระสนมเอกเติ้งได้ตำแหน่งสนมเอกกุ้ยเฟยตั้งแต่เข้าวัง หลายสิบปีผ่านไป ตำแหน่งฮองเฮาก็เปลี่ยนมาแล้วถึงสามองค์ แต่นางกลับยังคงเป็นสนมเอก…เรื่องนี้ยากจะไม่รู้สึกน่าเสียดายและน่าเศร้า
เดิมทีพระสนมเอกเติ้งก็ไม่ใช่ว่าไม่มีโอกาส
ในรัชสมัยของฮ่องเต้หยวนเพ่ย เมื่อหลิวฮองเฮาที่ถือกำเนิดในตระกูลหลิวแห่งตงหูประชวรและสิ้นพระชนม์ ตำแหน่งฮองเฮาก็ว่างลง ยามนั้นตำหนักหลังก็มีเสียงร่ำลือกันว่า ฮ่องเต้ทรงไม่มีจิตใจจะเลือกเอาหญิงสูงศักดิ์จากตระกูลสูงเข้ามาในวังอีก แต่กลับคิดจะให้พระสนมเอกกุ้ยเฟยขึ้นมารับตำแหน่งนี้
แม้จะว่าไปแล้วการนำพระสนมซึ่งถือเป็นพระชายาน้อยมาเป็นอัครมเหสีนั้นไม่ถูกต้องตามหลักการ ทว่าในรัชสมัยของฮ่องเต้พระองค์นี้ พระองค์ก็เคยทำเรื่องที่ไม่สอดคล้องกับกฎเกณฑ์ต่างๆ มาก็ไม่น้อยแล้ว ตระกูลสูงศักดิ์ทั้งหลายล้วนรู้เห็น แม้จะมีคนกล้าทำเรื่องที่ทำให้ถูกปลดจากตำแหน่งได้ แต่เมื่อทำลงไปแล้วก็ยังพลอยทำให้วงศ์ตระกูลเดือดร้อน ต่อให้มีคนทำการต่อไปจริงๆ คนในตระกูลก็จะไม่ยินยอมเป็นแน่
หลังจากที่มีขุนนางหลายคนต้องโทษประหารในรัชสมัยนี้ เมื่อฮ่องเต้ประสงค์จะทำการใดก็สามารถทำได้อย่างอิสระแล้ว…
ชาติตระกูลของพระสนมเอกเติ้งไม่ทัดเทียมกับของฮองเฮาหลิวทว่า นางกลับเป็นลูกผู้น้องโดยตรงกับฮ่องเต้…พระมารดาขององค์ฮ่องเต้เป็นสนมขั้นสอง[2]ตำแหน่งซิวหรง[3]ในสมัยฮ่องเต้พระองค์ก่อน และถือกำเนิดในตระกูลเติ้งแห่งเมืองหรงเช่นกัน
ดังนั้นแล้วเมื่อพระสนมเอกเติ้งเข้าวังมาจึงได้เป็นพระสนมเอกชั้นกุ้ยเฟยในทันที…
แต่ผู้ใดเล่าจะคิดว่าในยามที่วาสนากำลังจะมาถึงมือของสนมเอกเติ้ง ลูกผู้น้องฝั่งบิดาของฮองเฮาหลิว ซึ่งเป็นบุตรสาวสายเลือดตรงคนหนึ่งของตระกูลเฉียนแห่งเมืองจ้าวจวิ้นผู้มีใบหน้างดงามยิ่งได้ตามมารดาเข้าวังมาคารวะศพลูกผู้พี่ และ ‘ไม่ระวัง’ เดินหลงทางอยู่ในตำหนักฉางเล่อ จนทำให้ไม่สามารถออกจากวังได้ตามเวลา แต่กลับ ‘บังเอิญ’ พบกับฮ่องเต้ที่มาจุดธูปไหว้อดีตฮองเฮาในยามนั้นพอดี
จึงทำให้ฮองเฮาองค์ที่สองในรัชสมัยนี้แซ่เฉียน
มารดาของฮองเฮาเฉียนผู้นี้ก็คืออาหญิงของฮองเฮาหลิว
ทว่า แม้ตระกูลหลิวแห่งตงหูจะใช้ฮองเฮาเฉียนมาขัดขวางไม่ให้มีฮองเฮาเติ้งปรากฏตัวขึ้นได้สำเร็จ แต่ตระกูลหลิวเองก็ต้องเสียผลประโยชน์เป็นอันมาก หลังจากที่ฮองเฮาเฉียนมีทายาทได้สองปี บุตรชายคนโตที่ถือกำเนิดจากฮองเฮาหลิวซึ่งในยามนั้นดำรงตำแหน่งองค์รัชทายาทผู้สืบบัลลังก์มาสิบปีแล้ว กลับถูกคนเปิดโปงว่าประกอบพิธีพ่อมดหมอผีอยู่ในพระราชวัง ด้วยหวังจักได้สืบราชบัลลังก์เร็วขึ้น…
ฮ่องเต้กลับมิได้ประหารพระราชโอรส แต่ให้พ้นจากตำแหน่งรัชทายาทและสั่งเนรเทศ ทว่าก็ยังทำให้อดีตองค์รัชทายาทที่เคยชินกับชีวิตสุขสบายมาแต่กำเนิดจิตใจบอบช้ำอย่างรุนแรงจึงได้ชักกระบี่ออกมาปลิดชีวิตตนเอง และทิ้งจดหมายเอาไว้บอกเล่าความในใจ พระชายาของอดีตองค์รัชทายาทจึงได้สูญเสียพระสวามีไปพร้อมกัน… ซึ่งนี่ก็คือเรื่องราวน่าเศร้าขององค์รัชทายาทองค์ที่หนึ่งแห่งรัชสมัยนี้
จากนั้น จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ผู้ที่ได้เข้ามาอยู่ในวังตะวันออกในเวลาต่อมา จักต้องเป็นองค์ชายสี่ที่เกิดจากฮองเฮาเฉียน
เมื่อถูกฮองเฮาเฉียนชิงตำแหน่งในวังตะวันออกครานั้น แม้พระสนมเอกเติ้งจะรู้สึกเสียดาย แต่กลับมิได้เจ็บปวดใจนานนัก นั่นเพราะครานั้นนางยังไม่มีทางออก ยังคงเป็นห่วงว่ายามใดจึงจะมีพระโอรสสักคน หลายปีจากนั้น ที่สุดนางก็มีองค์ชายหก ทว่าฐานะของฮองเฮาเฉียนก็มั่นคงดีแล้ว พระสนมเอกเติ้งเองก็มิได้มีความคิดอื่น เฝ้าแต่เอาใจจดจ่อในการอบรมเลี้ยงดูองค์ชายหกเท่านั้น
แต่ผู้ใดเล่าจะคิดว่าองค์ชายหกทั้งเฉลียวฉลาดและมีไหวพริบ พระชันษาก็ยังน้อย จึงทำให้ใครๆ หลงใหลชื่นชอบ จนค่อยๆ ขึ้นมาอยู่เหนือกว่าองค์รัชทายาทองค์ใหม่ที่มีพระชันษาโตกว่าเขาหลายปี… ยามนั้นพระสนมเอกเติ้งยังสาว ปลื้มปิติยินดีที่พระโอรสอันเป็นที่รักเฉลียวฉลาด ทั้งนางยังเป็นลูกผู้น้องของฮ่องเต้ จึงเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ไม่น้อย ฐานะของนางในวังจึงเป็นรองแต่เพียงฮองเฮาเท่านั้น แม้นางจะยังคงคอยปกป้องตนเองจากฮองเฮาเฉียน ทว่าก็จะไม่มีทางยินยอมให้องค์ชายหกเติบโตมาอย่างไร้ความสามารถ
ทว่าผลจากความไม่ยินยอมของนาง กลับคือในปีที่องค์ชายหกอายุยังไม่ถึงกำหนดเกล้าผมก็ประชวรและสิ้นพระชนม์
เพราะเรื่องนี้พระสนมเอกเติ้งเกือบจะเสียสติ ฮ่องเต้ก็กริ้วเป็นอย่างมาก แต่ผลจากสืบสวน สาเหตุกลับเป็นเพราะเจ้านายฝ่ายหญิงพระองค์หนึ่ง พระสนมเอกฮั่ว[4]ที่แต่ไรมามีอุปนิสัยเรียบร้อยและเป็นคนเงียบได้สมรู้ร่วมคิดกับหัวหน้าสำนักแพทย์หลวงจี้อิงวางแผนทำร้ายองค์ชายหก สาเหตุเพราะพระสนมเอกฮั่วและพระสนมเอกเติ้งต่างก็เป็นสนมขั้นหนึ่งเช่นกัน สนมเอกฮั่วในตำแหน่งซูเฟยไม่เพียงอยู่ในลำดับที่รองจากตำแหน่งกุ้ยเฟยของสนมเอกเติ้ง สนมเอกเติ้งยังมีพระโอรส ทว่านางกลับไม่มี…
ด้วยสาเหตุที่น่าขันเช่นนี้ แล้วพระสนมเอกเติ้งจะสามารถรับได้อย่างไร? นางโขกศีรษะอยู่นอกห้องทรงพระอักษรจนใบหน้าเต็มไปด้วยเลือด แต่สิ่งที่นางได้รับกลับคือผู้รับใช้ใกล้ชิดฮ่องเต้ทูลต่อฮ่องเต้ว่านางใส่ร้ายฮองเฮา ลบหลู่ตำหนักกลาง หากมิใช่ว่าครานั้นองค์ไทเฮาเติ้งยังอยู่ นางคงไม่อาจรักษาตำแหน่งสนมเอกกุ้ยเฟยเอาไว้ได้แล้ว แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่พระสนมเอกเติ้งก็ยังถูกกักบริเวณถึงครึ่งปีเต็ม
หลังจากครึ่งปี ภายในวังก็มีคนใหม่มาเพิ่มอีก ความรักใคร่ของฮ่องเต้เมื่อลดลงก็หดหายไปนับพันจั้ง… ทว่าในเวลาครึ่งปีที่ถูกกักบริเวณนี้ ก็หาได้ไร้ประโยชน์ใดเลยไม่ อย่างน้อยเมื่อการกักบริเวณสิ้นสุดลง พระสนมเอกเติ้งก็กลับสงบลงได้ ทั้งยังมีท่าทีเคารพนบนอบฮองเฮาเฉียนเสียยิ่งว่าก่อน เมื่อฮ่องเต้ไต่ถามนางบอกว่าหลังจากสำนึกได้แล้วก็รู้สึกผิดต่อฮองเฮา
ความเคารพนบนอบและรู้สึกผิดนี้ ที่สุดก็ได้รับผลตอบแทน
…ผ่านไปเกือบสิบปี หลังจากที่พระโอรสขององค์รัชทายาทองค์ที่สองในรัชสมัยนี้ประสูติได้ไม่นาน ฮองเฮาเฉียนก็ต้องโทษให้ปลิดชีวิตตนเอง ด้วยข้อหา ‘วางแผนทำร้ายสนมในวังด้วยความริษยา’… จนถึงวันตาย ก็ไม่มีแม้สักคำว่าฮองเฮาเฉียนมีความเกี่ยวพันกับการตายขององค์ชายหก
ทว่าที่สุดแล้วฮองเฮาเฉียนก็ได้รับโทษให้ปลิดชีวิตตนแล้ว ทั้งแพ้พ่ายชื่อเสียงย่อยยับ ทั้งยังพลอยทำให้ตระกูลเฉียนได้รับผลกระทบอย่างใหญ่หลวง
_________________________
[1] พระสนมเอกชั้นกุ้ยเฟย ถือเป็นตำแหน่งสูงสุดในสนมเอกทั้งสี่ตำแหน่ง
[2] สนมขั้นสอง มีชื่อเรียกว่า “จิ่วผิน” มีทั้งสิ้น 9 ตำแหน่ง
[3] ชิวหรง อยู่ในลำดับที่ 5 ของสนมขั้นสองทั้ง 9 ตำแหน่ง
[4] พระสนมเอกฮั่ว ในที่นี้นางอยู่ในตำแหน่ง “ซูเฟย” เป็นอันดับสองของสนมเอกทั้งสี่