ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง - ตอนที่ 49 เติ้งจงฉี
ในราชโองการให้ฮองเฮาเฉียนปลิดชีวิตตนเองได้ระบุเอาไว้ว่าต้องโทษฐานวางแผนทำร้ายสนมในวัง และผู้ที่ถูกฮองเฮาวางแผนทำร้ายก็คือสนมขั้นเจ็ดตำแหน่งอวี้ชี ผู้ซึ่งเยาว์วัยและงดงามยิ่ง และเพิ่งจะเข้าวังมาไม่ถึงครึ่งปี
ทั้งที่เป็นเพียงสนมขั้นเจ็ดแต่กลับทำให้ฮองเฮาผู้สูงศักดิ์ต้องชดใช้ด้วยชีวิต ยิ่งไปกว่านั้นสนมขั้นเจ็ดผู้นี้ยังเป็นสามัญชนธรรมดา เหล่าขุนนางผู้ใหญ่ต่างรู้สึกว่าทำเช่นนี้มากเกินไป แต่คงเพราะฮ่องเต้รักใคร่สนมขั้นเจ็ดผู้นี้เป็นอย่างยิ่ง จึงยืนกรานให้ฮองเฮาต้องโทษปลิดชีวิตตนเอง
ไม่เพียงเท่านี้ กระทั่งองค์รัชทายาทก็ยังถูกฮ่องเต้กล่าวโทษว่าเป็น ‘บุตรของหญิงเพศยา เป็นผู้อกตัญญูยิ่ง’ พลอยติดร่างแหไปด้วย เช่นเดียวกับพี่ชายคนโตของเขาก็ถูกขับออกจากตำแหน่งองค์รัชทายาททั้งยังถูกเนรเทศออกนอกเมือง
รัชทายาทองค์นี้ไม่ได้ปลิดชีวิตตนเอง แต่หลังจากนั้นหลายปีเขาก็ตรอมใจจนตาย… ซึ่งนี่ก็คือเรื่องราวน่าอนาถขององค์รัชทายาทองค์ที่สองในรัชกาลปัจจุบัน
ในคืนที่พระสนมเอกรู้ข่าวการตายของเขา นางก็เมามายอย่างหนัก
ตำแหน่งผู้สืบทอดบัลลังก์ว่างลงเป็นครั้งที่สอง ครานี้ฮ่องเต้ถึงกับออกพระโอษฐ์ต่อสนมเอกเติ้งเองว่าจะแต่งตั้งนางเป็นฮองเฮาองค์ต่อไป…
แต่แล้ว…
สุดท้ายฮ่องเต้กลับแต่งตั้งให้สนมขั้นสองตำแหน่งเจาอี๋ซึ่งถือกำเนิดในตระกูลกู้แห่งหงโจวมาเป็นฮองเฮา
แม้แต่บำเหน็จรางวัลตามสมควร สนมเอกเติ้งก็มิได้รับ
เมื่อฮองเฮากู้เข้าปกครองตำหนักฉางเล่อนั้น นางก็มีองค์ชายเก้าซึ่งเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของฮ่องเต้แล้ว ไม่นานนัก นางจึงได้หมั่นหมายบุตรสาวสายเลือดตรงของตระกูลซ่งแห่งเจียนหนานให้เป็นพระชายาใหญ่ขององค์ชายเก้า…ซึ่งก็คือซ่งไจ้สุ่ยนั่นเอง
หลังจากนั้นอีก องค์ชายเก้าก็ได้รับราชโองการแต่งตั้งให้เป็นองค์รัชทายาทองค์ที่สามในรัชกาลปัจจุบันอย่างราบรื่น
ตำแหน่งฮองเฮาของฮองเฮากู้นั้นมั่นคงยิ่งนัก มั่นคงจนกระทั่งปลายปีมานี้ แม้ว่าสนมเอกชั้นกุ้ยเฟยจะเป็นรองก็แต่ฮองเฮาองค์เดียว ทว่าพวกนางกำนัลกลับแทบจะจดจำสนมเอกกุ้ยเฟยไม่ได้แล้ว…
การต่อสู้อย่างลับๆ ในวังหลวงเช่นนี้ แม้เติ้งจงฉีจะไม่ได้จงใจไปสอบถามอาหญิงเป็นพิเศษ ทว่าจากการอธิบายเรื่องราวโดยคร่าวด้วยท่าทีราบเรียบของสนมเอกเติ้ง ก็ยังสัมผัสได้ถึงความรู้สึกตื่นตระหนกจนตัวสั่นสะท้านของนางแล้ว
แม้ตัวเติ้งจงฉีจะไม่ชอบเรื่องราวดำมืดในวังหลวง แต่พระสนมเอกมีบุญคุณอันใหญ่หลวงกับเขา… ยิ่งไปกว่านั้นการที่สนมเอกช่วยเขาเช่นนี้ แต่กลับมิได้ร้องขอสิ่งใดจากเขาเลย ผู้เฒ่าที่อยู่ข้างกายท่านอาหญิงผู้นี้เผยให้รู้ว่าลูกหลานในตระกูลเติ้งมีมากมาย แต่พระสนมเอกกลับเอาใจใส่เติ้งจงฉีเป็นพิเศษ สาเหตุมีเพียงประการเดียว ซึ่งก็คือหน้าตาของเติ้งจงฉีละม้ายคล้ายกับองค์ชายหกที่สิ้นพระชนม์ไปแล้วถึงสี่ห้าส่วน…
ข้าราชบริพารวังหลวงผู้นั้นเอ่ยเช่นนี้ ก็เพียงเพราะต้องการให้เติ้งจงฉีวางใจว่าที่พระสนมเอกดีกับเขานั้นมิได้คิดเป็นใดอื่นอย่างแน่นอน เพียงแค่ต้องการจะแสดงความคิดคำนึงถึงองค์ชายหกผ่านตัวเขาเท่านั้น
แต่นี่ก็มิได้หมายความว่าเติ้งจงฉีจะเอาแต่มองพระสนมตกที่นั่งลำบากแต่กลับนิ่งดูดาย….
เมื่อคิดถึงเรื่องราวก่อนจะออกจากเมืองมาหนนี้ นี่เป็นครั้งแรกในเวลาหลายปีแล้วที่ท่านลุงใหญ่เพิ่งจะเรียกตนมาพบเป็นการส่วนตัว… ดวงตาของเติ้งจงฉีค่อยๆ แข็งกร้าวขึ้นมา แล้วแววตาพลันเปลี่ยนเป็นแน่วแน่ หากไม่พยายามตอบแทนคุณพระสนมเอก แม้กระทั่งครานี้นางต้องเจออันตรายร้ายแรงในวังแต่กลับไม่คิดจะให้ตนล่วงรู้ หากไม่เป็นเพราะท่านลุงใหญ่คิดว่าบ้านตระกูลเติ้งไม่อาจเลี้ยงดูเติ้งจงฉีมาเสียเปล่า ก็เกรงว่าตั้งแต่ต้นจนจบเติ้งจงฉีจะไม่รู้ว่าเหตุใดสนมจงจู่ๆ จึงได้รุ่งเรืองขึ้นมา…
ที่ท่านลงุใหญ่ทำเช่นนี้ แน่นอนว่ามิใช่เพราะหวังดีต่อเติ้งจงฉี แต่ผู้ใหญ่ที่รู้สึกเกลียดชังบิดาของเติ้งจงฉีเป็นอย่างมากผู้นี้ก็ได้พูดออกมาชัดเจนว่า เติ้งจงฉีไม่จำเป็นต้องช่วยเหลือพระสนมเอก ทว่าหากสนมเอกเกิดเรื่องแล้ว ก็จะส่งผลกระทบต่อตระกูลเติ้ง ถึงยามนั้น ตำแหน่งราชองครักษ์อี้ของเติ้งจงฉีก็ไม่มีทางจะดำรงอยู่ต่อไปได้
หากดำรงตำแหน่งต่อไปไม่ได้ก็ได้แต่ต้องกลับเมืองหรงเท่านั้น
ยิ่งมิต้องเอ่ยถึงพระสนมเอก ลำพังเพียงเติ้งจงฉีผู้เดียว เขากลับมิได้สนใจว่าจะมีความก้าวหน้าหรือไม่ ภายใต้การสืบทอดอำนาจการปกครองของเหล่าตระกูลใหญ่และราชสำนักมาหลายชั่วอายุคนเช่นนี้ ทั้งยังถูกพวกลุงและอาที่ผูกใจพยาบาทและหมายมั่นปั้นมือไว้แต่แรกแล้วว่าจะไม่ให้เขามีวันได้โอกาสแสดงผีมือ…ทว่าเขายังมีน้องสาวร่วมท้องอยู่ผู้หนึ่ง
น้องสาวที่มีนามเรียกขานเล่นๆ ว่าวานวาน เมื่อเกิดมาก็ไร้มารดา อายุได้สองปีก็บิดาตายจาก เรียกได้ว่านางและพี่ชายคนโตต้องพึ่งพากันมาแต่เกิด นางล้วนต้อง
อาศัยเติ้งจงฉีพี่ชายคนนี้ทุ่มเทดูแล และต้องคอยระแวดระวังตัวในบ้านตระกูลเติ้งจึงสามารถเติบโตมาได้… ภาษิตว่าพี่ชายคนโตเป็นดั่งบิดา หากมิเคยได้ประสบกับตัว ก็ยากจะเข้าใจความรู้สึกเช่นนี้ได้
แม้เติ้งจงฉีจะอายุมากกว่าวานวานห้าปี ทว่ามีครึ่งหนึ่งที่เขากลับมองน้องสาวประหนึ่งเป็นบุตรสาว…เขาไม่อาจลืมภาพยามมารดามีปัญหาในการคลอดและดิ้นรนบอกกล่าวเขาอย่างสุดชีวิตว่าจักต้องดูแลน้องสาวให้ดี เขายิ่งไม่อาจลืมเลือนวันที่บิดาของเขาจากโลกนี้ไปในเหมันตฤดูอันแสนเหน็บหนาว ในชินถางที่เย็นเฉียบ ดวงตาที่เบิกโพลงจนเห็นตาขาวและดำชัดเจนของเติ้งวานวานที่อายุยังน้อยเพียงสองขวบ นางเอื้อมมือน้อยๆ ออกมาดึงชายเสื้อเขาอย่างขวัญผวา สงสัยและหวาดกลัว
…แววตาแห่งความหวาดกลัวว่าจะถูกปฏิเสธและถูกทิ้งขว้างเช่นนั้น ทำให้ความเจ็บปวดประเดประดังเข้ามาภายในจิตใจของเติ้งจงฉี นับแต่พระสนมเอกออกปากให้เขาได้เข้ามาเป็นราชองครักษ์อี้ เบี้ยหวัดของเติ้งจงฉีแทบจะนำไปใช้กับน้องสาวจนหมด สิ่งที่คุณหนูคนอื่นๆ ของตระกูลเติ้งมี เขาก็จะพยายามหามาให้เติ้งวานวานอย่างสุดกำลัง
แต่แม้จะเป็นเช่นนั้น เติ้งจงฉีก็ยังคงรู้สึกว่าเขาทำให้น้องสาวต้องลำบาก นั่นเพราะก่อนที่จะได้รับการช่วยเหลือจากพระสนมเอก ความเป็นอยู่ในบ้านตระกูลเติ้งของพวกเขานั้นช่างต่ำต้อยและยากเย็นแสนเข็ญเสียเหลือเกิน
ยามนี้น้องสาวที่เขาเฝ้าดูแลมาอย่างยากลำบาก ที่สุดก็ใกล้จะถึงวัยออกเรือนแล้ว การตระเตรียมเรื่องงานแต่งที่เหมาะสมให้นางนี้ ยากเย็นเสียยิ่งกว่าดูแลนางอย่างระมัดระวังมาจนเติบใหญ่ และยากเย็นยิ่งกว่าจัดหาอาภรณ์ชั้นเลิศอย่างคุณหนูตระกูลเติ้งคนอื่นมีเสียอีก
ปีนี้เติ้งวานวานอายุสิบสี่แล้ว เขายังมิได้ยกนางให้ผู้ใด หากบิดาของพวกเขายังอยู่ ป่านนี้ก็ควรจะได้หาคู่ครองให้แล้ว
แม้เติ้งจงฉีเองก็ยังมิได้มีคู่ครอง ทว่าเขาเป็นชาย ภายภาคหน้าของเพียงสร้างฐานะมีการงานมั่นคง ก็มิต้องกังวลว่าจะสู่ขอคุณหนูตระกูลใหญ่ไม่ได้ ทว่าวัยแรกแย้มของหญิงสาวคนหนึ่งเช่นเติ้งวานวานจะรั้งรอได้อย่างไร? ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงสมบัติติดตัวของสตรียามออกเรือน…ทรัพย์สมบัติที่บิดามารดาทิ้งเอาไว้ให้ล้วนอยู่ภายในตระกูล หากท่านลุงใหญ่ไม่อนุญาตเขาก็ยากจะเอามาให้ถึงมือได้
…ครานี้ท่านลุงใหญ่รับปากเขา ไม่ว่าจะทำการสำเร็จหรือไม่ ขอเพียงเขาไปทำ ลุงใหญ่ก็จะมองเติ้งวานวานประหนึ่งบุตรสาวแท้ๆ และจะหาตระกูลที่เหมาะสมให้นาง และจัดงานแต่งให้อย่างยิ่งใหญ่
เติ้งจงฉีรู้ว่าแม้ท่านลุงใหญ่จะเกลียดชังบิดาของตน แต่เขาก็เป็นคนรักษาคำพูด
ไม่ว่าจะเพื่อพระสนมเอกหรือเพื่อน้องสาว เขาก็ไม่มีเหตุผลใดจะต้องสั่นคลอน
เพียงแต่ครานี้ เรื่องราวเริ่มต้นมาราบรื่น แต่เมื่อใกล้จะบรรลุเป้าหมาย กลับพลาดเป้าไปเพียงน้อยนิดเท่านั้น
เขายังคงไม่ได้พบกับซ่งไจ้สุ่ย
ข่าวคราวที่พระสนมเอกเติ้งเสาะหามาได้อย่างยากเย็นว่าว่าที่พระชายาองค์รัชทายาทผู้นี้มิได้ต้องการจะแต่งเข้าวังเลยแม้แต่น้อย และด้วยเหตนี้ซ่งไจ้สุ่ยจึงได้ยื้อเวลาอยู่ที่บ้านตระกูลเว่ยไม่ยอมมาเมืองหลวงสักที
หากผู้ที่บังเอิญได้พบบนเขาไผ่น้อยมิใช่คุณหนูตระกูลเว่ยแต่คือซ่งไจ้สุ่ย ว่ากันว่าฮูหยินผู้เฒ่าซ่งได้อบรบเลี้ยงดูคุณหนูผู้นี้มาตั้งแต่ยังเล็กเพื่อเตรียมให้เป็นฮองเฮาในอนาคต ดังนั้นไม่ว่าจะด้านฐานะวงศ์ตระกูลหรือว่า กลวิธีในการปกครองบ้านเมือง ล้วนคู่ควรที่จะเป็นชายาองค์รัชทายาท… เมื่อถูกจดจ้องไปหลายครั้งหลายครา นางก็ย่อมต้องเกิดความเคลือบแคลงขึ้นมาในใจ
ขอเพียงทำให้ซ่งไจ้สุ่ยเกิดความเคลือบแคลง เติ้งจงฉีก็มีวิธีของเขา หากวันนี้ซ่งไจ้สุ่ยได้มีโอกาสสนทนากับเขาเพียงลำพัง เรื่องว่าจะทำเช่นใดให้ว่าที่พระชายาองค์รัชทายาทหลบเลี่ยงการแต่งเข้าวัง… หรือหากไม่อาจเกลี่ยกล่อมซ่งไจ้สุ่ยได้จริงๆ แสงสว่างวาบในวันนี้ ก็มิใช่ว่าจะให้เอียงไปอีกสักหน่อยไม่ได้…
ใช้ตนเองแลกกับชีวิตของพระสนมเอกและอนาคตของน้องสาว เติ้งจงฉีก็นับว่าคุ้มแล้ว
ทว่า แม้เขาจะเตรียมการเสียสละตนเช่นนี้ แต่โชคชะตากลับไม่เข้าข้าง เดิมทีนั้นระหว่างทางได้รับข่าวสารมาว่าเว่ยฉางเฟิงพี่น้องและซ่งไจ้สุ่ยล้วนออกมาจากรุ่ยอวี่ถัง และมาพักอยู่บนเขาไผ่น้อยเป็นเวลาสั้นๆ เขาจึงได้สู้อุตส่าห์เร่งพวกพ้องรีบเดินทางมาให้ทันโอกาสนี้…แต่ยามนี้…กลับไม่เข้าทีเสียแล้ว
เกรงว่าอีกไม่กี่วันซ่งไจ้เถียนก็จะมถึงเฟิ่งโจวพร้อมด้วยเสิ่นโจ้ว เมื่อเขามาถึงแล้ว ก็ย่อมจะไม่อนุญาตให้น้องสาวยื้อเวลาอยู่ที่บ้านตระกูลเว่ยต่อไป
อีกทั้งจากที่นี่ไปชิงโจวต่อให้เร่งรีบปานใดก็ยังต้องใช้เวลาสามวันถึงจะไปถึง รวมกับที่ต้องเสาะหาคนในครอบครัวของสนมจงก็มิรู้ต้องใช้เวลาอีกนานเท่าใด…นอกเสียจากว่าซ่งไจ้เถียนจะพักอยู่ที่เฟิ่งโจวกับน้องสาวจนถึงยามที่พวกเขาย้อนกลับมา แต่เรื่องนี้จะเป็นไปได้อย่างไรกัน?
ยิ่งไปกว่านั้นรอจนซ่งไจ้เถียนมาถึงแล้ว แม้ซ่งไจ้สุ่ยจะยอมให้ความร่วมมือกับเขา ก็เกรงว่าจะไม่สะดวกเสียแล้ว
เมื่อเติ้งจงฉีทานอาหารเสร็จ เขาก็ตัดสินใจได้แล้ว
เมื่อทุกคนดื่มน้ำชาหมดและออกมาจากร้านสุกรา บ่าวไพร่จูงม้ามา ทุกคนต่างพากันจัดแจงอานและดึงตัวขึ้นบนหลังม้า ในขณะที่กำลังจะเร่งออกเดินทางต่อไป…ม้าของเติ้งจงฉีพลันร้องเสียงฮี่ยาวๆ ยกขาสูง แล้วถีบเจ้าของกระเด็นออกไป จนไปตกกระทบพื้นดังพั่บและไปนอนมอบอยู่กับพื้น เขากระเสือกกระสนขยับตัวอยู่พักหนึ่งแต่กลับยากจะลุกขึ้นได้!
“จงฉี?!” พวกของกู้อี้หรานทั้งสามคนพากันตื่นตกใจอย่างยิ่ง! พากันรีบลงจากม้ามาดู…และพบว่าเติ้งจงฉีกระอักเลือดออกมาแล้ว!
สถานการณ์เช่นนี้ แน่นอนว่าเขาไม่อาจจะเดินทางต่อไปได้ ทว่าก็มิอาจจะขัดราชโองการได้เช่นกัน ดังนั้นจึงจำต้องหาโรงเตี๊ยมในเฟิ่งโจวให้เขาได้พักรักษาตัว
เขาส่งพวกพ้องออกเดินทางทั้งลมหายใจรวยรินและต้องออกจากภารกิจนี้ เติ้งจงฉีนอนพักอยู่ในโรงเตี้ยมด้วยใบหน้าซีดขาว แต่จิตใจกลับสงบนิ่ง มองไปบนเพดาน คิดในใจว่า ‘ด้วยความกว้างขวางของตระกูลเว่ยในเฟิ่งโจว เกรงว่าสองสามวันก็จะต้องมีคนมาแสดงความขอบคุณข้า เพียงแต่ว่าฉางซานกงฉลาดหลักแหลม เช้านี้ข้าเพิ่งจะช่วยหลานสาวของเขา และปฏิเสธคำเชิญของหลานชายเขา ผ่านไปไม่นานก็ถูกม้าของตัวเองถีบบาดเจ็บ จนไม่อาจไม่หยุดพักที่เฟิ่งโจวได้…เกรงว่าเขาจะเกิดระแวงสงสัยขึ้นมา’
แต่ว่าเรื่องนี้ก็ไม่มีทางอื่น หากไม่ทำลายสัญญาที่ฮองเฮากู้ได้ทำไว้กับซ่งอวี่วั่ง พระสนมเอกเติ้งก็จะมีอันตราย ยิ่งไปกว่านั้นความคิดและแผนการของซ่งไจ้สุ่ยก็มิใช่ธรรมดา ยามนี้นางไม่ต้องการจะแต่งงานกับองค์รัชทายาท แต่หากวันใดได้แต่งขึ้นมาและได้เป็นพระชายาองค์รัชทายาท เพื่อตนเองแล้วมีหรือนางจะไม่ช่วยฮองเฮาและองค์รัชทายาท? ถึงยามนั้นพระสนมเอกเติ้งก็จะต้องมีอุปสรรคเพิ่มขึ้นอีก
ตระกูลเว่ย… คิดดูแล้วการที่ตระกูลเว่ยยอมให้ซ่งไจ้สุ่ยยื้อเรื่องอยู่นานเช่นนี้ แม้ไม่สนับสนุนให้นางปฏิเสธการแต่งงาน แต่ก็มิได้เห็นดีเห็นงามกับเรื่องงานแต่งครานี้ แม้ตระกูลเว่ยและตระกูลซ่งจะเชื่อมสัมพันธ์ด้วยการแต่งงานมาหลายชั่วคน แต่แท้จริงแล้วก็เป็นสองตระกูล… และซ่งไจ้สุ่ยเองมิใช่บุตรสาวของตระกูลเว่ย!
หลายปีมานี้อำนาจของรุ่ยอวี่ถังในรัชสมัยนี้น้อยลงทุกที ในรุ่นของเว่ยฉางเฟิงก็ก็ยังมิได้โตเป็นผู้ใหญ่ ด้วยความหลักแหลมของเว่ยฮ่วน ต่อให้มองเรื่องนี้ออก แต่ก็ใช่ว่าจะเปิดโปงแผนการของเขา อย่างไรรุ่ยอวี่ถังในยามนี้ก็จำเป็นต้องสงวนท่าทีเอาไว้ รอจนคนในรุ่นของเว่ยฉางเฟิงเติบใหญ่เสียก่อน
เว่ยฮ่วนคงไม่บุ่มบ่ามเข้าไปพัวพันกับความขัดแย้งใดๆ ในยามนี้ ต่อให้ซ่งไจ้สุ่ยเป็นหลานสาวของเขาก็ตาม
แน่นอนว่าเมื่อเติ้งจงฉีช่วยเว่ยฉางอิ๋งเอาไว้ ทั้งยังพักรักษาตัวอยู่ที่เฟิ่งโจว แล้วเข้าไปในรุ่ยอวี่ถังเพื่อเกลี่ยกล่อมให้ซ่งไจ้สุ่ยปฏิเสธการแต่งงาน เรื่องนี้ก็จะทำให้ตระกูลเว่ยเข้าไปพัวพันด้วย เว่ยฮ่วนจะต้องแค้นเคืองเขาเพราะเรื่องนี้… แต่นั่นก็ช่างประไร
อย่างไร พระสนมเอกก็อยู่ที่เมืองหลวง เติ้งวานวานก็อยู่ที่เมืองหลวง
ในเฟิ่งโจวแห่งนี้ ก็มีเพียงเขาผู้เดียวเท่านั้น
ในยามที่เติ้งจงฉีอยู่ในโรงเตี๊ยม ใคร่ครวญอย่างละเอียดว่าจะทำลายการแต่งงานของซ่งไจ้สุ่ยและองค์รัชทายาทได้อย่างไรนั้น พวกของเว่ยฉางอิ๋งทั้งสามคนก็ได้มาถึงตีนเขาเสียที
ยังไม่ทันได้ขึ้นรถ กลับมีองครักษ์นายหนึ่งวิ่งเข้ามาแต่ไกลและรายงานต่อเว่ยฉางเฟิงว่า “คุณชายขอรับ มีคนต้องการจะขึ้นเขามาชมป้ายขอรับ”
“ให้เขารอก่อน” เว่ยฉางเฟิงกำลังกำชับกำชาให้คนที่ประคองพี่สาวทั้งสองให้ระวังให้มากหน่อย เมื่อได้ยินคำจึงกล่าวว่า “บอกเขาว่าพวกเรามีนายผู้หญิง รอสักพักพวกเราไปแล้ว จึงจะให้เขาขึ้นเขามา” นับแต่ซ่งไจ้สุ่ยตัดสินใจจะมาเที่ยวที่เขาไผ่น้อย ตระกูลเว่ยก็ได้ส่งคนมาปิดล้อมตรวจตราและปิดเขาไผ่น้อยเอาไว้ ซึ่งนี่ก็คือสาเหตุแท้จริงที่เว่ยฉางอิ๋งบอกว่าซ้ายขวาไร้ผู้คน… ยามนี้ฤดูร้อนค่อยๆ เลือนหายไป ซึ่งเป็นโอกาสดีที่จะออกไปท่องเที่ยว หากตระกูลเว่ยไม่ไล่คนไป บนเขาไผ่น้อยที่เต็มไปด้วยต้นไผ่สีเขียวชอุ่ม บวกกับป้ายสลักหิน ‘บันทึกเขาไผ่น้อย’ จะไม่มีผู้คนมาท่องเที่ยวได้อย่างไร?
วันนี้พวกเขาจะกลับแล้ว แต่ยังไม่ได้ออกจากเขาไป จึงแน่นอนว่าเขาไผ่น้อยยังคงปิดเอาไว้อยู่ เขาไผ่น้อยแห่งนี้เป็นสมบัติของตระกูลเว่ย ป้ายสลักหิน ‘บันทึกเขาไผ่น้อย’ นั้นอยู่ที่ตีนเขา เพื่อให้ผู้คนในหล้าได้มาชม… ซึ่งนี่ก็คือความใจกว้างของตระกูลเว่ย แต่หากเมื่อคนในตระกูลเว่ยมีความจำเป็น และต้องปิดเขาไผ่น้อยเป็นการชั่วคราวก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว
องครักษ์รับคำ แต่กลับไม่ได้ไป หากแต่มีสีหน้าครุ่นคิด
เว่ยฉางเฟิงเอ่ยถามอย่างสังสัยว่า “ยังมีเรื่องใดอีก?”
“ข้าน้อยเห็นว่าคนผู้นั้นช่างดูไม่ธรรมดา…” ครานี้องครักษ์ลังเลสักพักจึงได้กล่าวว่า “คล้ายมิใช่คนธรรมดาทั่วไปขอรับ”
สิ่งที่สืบทอดกันมาภายในตระกูลเว่ยนั้น พวกบ่าวไพร่นั้นรู้ดีกว่ามิใช่เป็นสิ่งที่คนทั่วไปจะเทียบเทียมได้ ยิ่งไปกว่านั้นตระกูลเว่ยเองก็มีพี่น้องที่ใบหน้ามีสง่าราศีกว่าคนทั่วไปจำนวนไม่น้อย ความไม่ธรรมดาของผู้ที่มา ถึงกับทำให้องครักษ์ลังเลไม่กล้าปฏิบัติตามคำสั่ง เห็นได้ชัดว่าราศีของคนผู้นี้ดูไม่แพ้คนตระกูลเว่ย หรืออย่างน้อยก็ไม่ด้อยกว่าคนตระกูลเว่ยสักเท่าใด ไม่เพียงแค่เว่ยฉางเฟิงที่รู้สึกสงสัยไม่เบา แม้แต่เว่ยฉางอิ๋งและซ่งไจ้สุ่ยก็รู้สึกประหลาดใจขึ้นมาเช่นกัน “ไม่ธรรมดาเช่นใด?”
องครักษ์ตอบอย่างหนักแน่น “หลายปีก่อน ข้าน้อยเคยได้เห็นนายท่านหนหนึ่ง เมื่อได้เห็นทีท่าของคนผู้นั้น รู้สึกว่าช่างคล้ายกับนายท่านอยู่หลายส่วน”
ซ่งไจ้สุ่ยไม่เคยได้เข้าคารวะท่านอาที่ร่างกายอ่อนแอขี้โรคผู้นี้มาก่อน แต่เว่ยฉางเฟิงพี่น้องกลับมีสีหน้าตกใจ… แม้เว่ยเจิ้งหงจะไม่ค่อยพบคนภายนอก แต่เป็นผู้ที่แม้มองเพียงผ่านก็ยังดูสง่างาม ทว่ากลับมีคำร่ำลือในเหล่าตระกูลสูงศักดิ์ว่าเขาเป็น ‘บุตรชายที่ร่างกายอ่อนแอไร้ความหวัง ทั้งยังทำลายชื่อเสียงของวงศ์ตระกูล’ แม้จะร่ำลือว่าเขามีร่างกายอ่อนแอ แต่กลับไม่อาจใช้คำว่า ทำลายความหวังของวงศ์ตระกูลมาอธิบายได้ กระทั่งลูกหลานตระกูลมีชื่อทั้งหลายก็ยังห่างชั้นจากเขายิ่งนัก
หลายปีมานี้ ในบรรดาคนตระกูลใหญ่เมื่อเอ่ยถึงความสง่างามก็จะต้องนำมาเปรียบเปรยกับความสง่างามของเว่ยเจิ้งหง เพียงแต่ผู้ที่เคยพบเว่ยเจิ้งหงนั้นมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย และคนส่วนใหญ่ก็เล่าขานกันมาเช่นนั้น… แต่องครักษ์ที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้เคยได้เห็นเว่ยเจิ้งหงมาก่อน
เมื่อกล่าวมาดังนี้ ความสง่างามของผู้ที่ต้องการขึ้นเขามาชมป้ายผู้นี้จึง…
เว่ยฉางอิ๋งเข้าไปกระซิบข้างหูน้องชายในทันที “ข้าและท่านพี่ไจ้สุ่ยจะขึ้นรถไปก่อน เจ้าเชิญคนขึ้นมาพูดคุย พวกเราคอยดูอยู่ในรถว่าเป็นผู้ใดกันแน่ ถึงขั้นสามารถเทียบเทียมท่านพ่อของพวกเราได้?”
___________________________