ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง - ตอนที่ 50 ฝากตัว
เว่ยฉางอิ๋งและซ่งไจ้สุ่ยขึ้นไปนั่งในรถเรียบร้อย และปลดม่านคลุมรถบางเบาลงมา ครานี้เว่ยฉางเฟิงจึงได้สั่งองครักษ์ผู้นั้นว่า “ไปเชิญผู้มาเยือนมาพบ”
ในเมื่อคนผู้นั้นต้องการจะขึ้นเขามาชมป้าย ก็จะต้องไม่ปฏิเสธคำเชิญของเว่ยฉางเฟิง
เมื่อเห็นคนชุดสีขาวเดินตามองครักษ์มาอย่างคล่องแคล่วว่องไง เว่ยฉางอิ๋งและซ่งไจ้สุ่ยที่อยู่ในรถต่างตกใจเล็กน้อย“ชุดขาว? หรือจะเป็นชาวบ้านทั่วไป?” ชุดขาวไม่ได้ผ่านการย้อมสี ดังนั้นราคาจึงถูก และเป็นเสื้อผ้าที่ชาวบ้านทั่วไปสวมใส่ บ่อยครั้ง ‘ชุดขาว’ สองคำนี้ก็ได้นำไปใช้เรียกแทนชาวบ้านทั่วไปด้วย
ความเคารพต่อตระกูลสูงศักดิ์และการดูแคลนชาวบ้านทั่วไปที่มีในรัชสมัยปัจจุบันนี้เห็นชัดปานใด แม่นางทั้งสองต่างรู้ดี ชาวบ้านทั่วไปก็มิใช่ว่าจะไม่มีคนเข้าไปเป็นขุนนางในวัง ทว่า…ตำแหน่งมีชื่อที่สุด มีอำนาจมากที่สุดนั้นไม่มีวันถึงมือพวกเขา
ยิ่งไปกว่านั้นแม้ชาวบ้านจะมีทรัพย์สมบัติแต่ก็ยังห่างไกลกับตระกูลใหญ่หลายขุม หากไร้ซึ่งมรดกตกทอดไร้ซึ่งความมั่งคั่งมหาศาล พวกเขาหรือจะมีแก่ใจสงบนิ่งมาสร้างความสง่างามให้ตนเอง?
เช่นนั้นระหว่างชนชั้นสูงจึงให้ความสำคัญกับความสง่างาม…และแต่ไรมาก็จะมีเฉพาะในชนชั้นสูง
ทว่าเรื่องราวในโลกยากหยั่งถึง กลับมีคนจำนวนน้อยเหลือเกินที่แม้จะมีชาติกำเนิดต่ำต้อย แต่กลับเกิดมาสง่างามและมิได้แปดเปื้อนด้วยโลกิยะทั้งปวง
คนประเภทนี้ ก็เอ่ยได้เพียงประโยคเดียวว่าเป็นสวรรค์ประทานให้
หรือว่าครานี้ ก็คือคนประเภทนี้?
เมื่อคนเข้ามาใกล้ ก็เป็นชุดขาวที่เป็นสัญลักษณ์ของชาวบ้านทั่วไปดังว่า ทั้งยังเปรอะเปื้อนฝุ่นดินเล็กน้อย หาได้สะอาดหมดจดไม่ ชายเสื้อตัวยาวถึงขั้นมีรอยโคลนหลังฝนติดอยู่สองสามจุด
แต่องครักษ์มิได้โป้ปดจริงๆ คนผู้นี้มีความสง่างามเหนือธรรมดา
เครื่องแต่งกายของเขาเรียบง่ายเป็นอย่างมาก เสื้อตัวยาวสีขาว บนหัวสวมหมวดสีเขียวไผ่ เท้าสวมรองเท้าไม้ เครื่องแต่งกายที่เรียบง่ายจนดูยากจนเช่นนี้ เป็นการแต่งกายของผู้ยากไร้ที่ได้ร่ำเรียนหนังสือซึ่งพบเห็นได้บ่อยที่สุด
แต่อาภรณ์ที่เรียบง่ายเช่นนี้เมื่ออยู่บนกายของชายหนุ่มแน่นที่เรียกตนว่าซินหย่งแล้วกลับให้ความรู้สึกว่ามีความห่างไกลลึกลับหาที่สุดมิได้ฉาบอยู่บนตัวเขาชั้นหนึ่ง
ซินหย่งผู้นี้หน้าตาหล่อเหลา ผิวพรรณขาวผ่องหมดจด แต่สิ่งที่จับใจคนเสียยิ่งกว่าความหล่อเหลาผุดผ่องกลับคือความรู้สึกเหินห่างยิ่งนัก… แต่ภาพของเขาซึ่งสวมชุดขาวหมวกสีไผ่และยืนอยู่บนพื้นดินที่เป็นโคลน ค่อยๆ ก้าวเข้ามาด้วยจิตใจสงบนิ่งเช่นนี้ กลับทำให้ทุกคนต่างรู้สึกว่าเขาควรจะเป็นขุนนางตำแหน่งสูงผู้หนึ่ง หรือกระทั่งเป็นผู้มีชื่อเสียง
ความสง่างามที่ทำให้คนรู้สึกนับถือ ให้ความเคารพอย่างไม่มีเงื่อนไข กระทั่งชื่นชอบตั้งแต่แรกเห็นเช่นนี้…แม้แต่เว่ยฉางเฟิงและเว่ยฉางอิ๋งก็ยังอดจะพลอยรู้สึกไปด้วยไม่ได้ แม้แต่พวกเขาก็ยังเคยได้เห็นจากตัวของเว่ยเจิ้งหงเท่านั้น
มิน่าเล่าองครักษ์นายนั้นจึงได้บอกกับนายว่าผู้ที่ขอขึ้นเขามาชมป้ายสลักนั้นไม่ธรรมดา
เดิมทีตัดสินใจไว้แล้วว่าหากเป็นคนในตระกูลมีชื่อ ก็จะพูดคุยสานสัมพันธ์กัน แต่ยามนี้ในเมื่อเป็นชาวบ้านทั่วไปเว่ยฉางเฟิงจึงเกิดความคิดจะทาบทามคนเข้าบ้านขึ้นมาในทันใด เดิมทีเขายืนอยู่หน้ารถม้าเพื่อรอคารวะผู้มาเยือน… ด้วยฐานะหลานชายบ้านใหญ่ของตระกูลเว่ยและอีกฝ่ายเป็นเพียงชาวบ้านชุดขาว ทำเช่นนี้ก็ไม่นับว่าเป็นการเย่อหยิ่ง ทว่าเขากลับถูกความสง่างามของผู้มาเยือนทำให้ลุ่มหลงเสียนี่ เขาจึงจงใจก้าวไปข้างหน้าสองก้าว แล้วประสานมือคารวะและเอ่ยทักก่อน
เว่ยฉางอิ๋งเห็นดั้งนั้นจึงรีบหันสายตากลับมาแล้วกล่าวด้วยเสียงต่ำว่า “คนผู้นี้ไม่ธรรมดาจริงๆ และไม่รู้ว่าวันนี้จงใจมาหรือไม่?” หากเป็นคนตระกูลใหญ่ นางก็กลับเชื่อว่าอีกฝ่ายจะต้องบังเอิญมาถึงและพบว่าเขาไผ่น้อยปิดอยู่ แต่ในเมื่อเป็นชาวบ้านทั่วไป แม้จะมีความสามารถเกินคนแต่ก็ควรลำพองตัว หรือไม่สมควรเป็นฝ่ายขอพบพวกตระกูลใหญ่ และจงใจเลือกโอกาสเช่นนี้เพื่อเข้าใกล้เว่ยฉางเฟิงและขอให้ช่วยทำการบางอย่าง… แม้จะน่าสงสัยว่าเขาต้องการยกฐานะตนเอง แต่ผู้ที่ทำเช่นนี้ โดยมากแล้วล้วนเป็นผู้ที่ทะนงตนว่ามีความสามารถเหนือผู้อื่น
หากเทียบกับความสามารถของพวกเขา ชนชั้นสูงก็มิได้รังเกียจที่จะไว้หน้าพวกเขาสักน้อย
ดังนั้นเว่ยฉางอิ๋งจึงเอ่ยเพียงเท่านี้ และกลับมิได้ดูแคลนซินหย่งด้วยเหตุนี้ แต่ซ่งไจ้สุ่ยกลับรู้สึกไม่สบอารมณ์กับซินหย่งผู้นี้เป็นอันมาก กล่าวว่า “คนผู้นี้มีความสง่างามเช่นท่านอาแค่เพียงบางส่วนเท่านั้น ที่แท้ท่านอางดงามถึงเพียงนี้! มิน่าเล่าท่านย่าจึงได้เล่าว่าปีนั้นที่ท่านอาหญิงออกเรือน เหล่าตระกูลใหญ่ทั้งหกล้วนมีความประสงค์จะแต่งงานด้วย แต่ท่านอาหญิงกลับยืนยันว่าจะยอมแต่งกับท่านอาเท่านั้น”
“ท่านพ่อสง่างามเหนือธรรมดาจริงๆ เหนือกว่าคนผู้นี้ เพียงแต่ร่างกายของท่านพ่อ…” น้ำเสียงของเว่ยฉางอิ๋งนั้นทั้งภูมิใจและทั้งเสียดาย
ซ่งไจ้สุ่ยปลอบประโลมว่า “จนยามนี้ท่านอาก็ไม่ใช่ว่าอาการดีแล้วหรอกหรือ? แม้จะอ่อนเพลียอยู่บ้าง ไม่ชอบความวุ่นวาย แต่รุ่ยอวี่ถังยิ่งใหญ่เพียงนี้ ให้ท่านพักผ่อนอย่างสงบก็ไม่เห็นเป็นไร ยิ่งไปกว่านั้นบางทีผ่านไปอีกสักหน่อยก็จะหายดีแล้ว”
หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ ก็คงดี… เว่ยฉางอิ๋งนึกถึงจี้ชวี่ปิ้งขึ้นมา พลันรู้สึกหนักอึ้งในหัวใจ…แล้วเริ่มคิดล่องลอยไปไกล
รอจนนางได้สติคืนมา เว่ยฉางเฟิงก็สั่งให้ทุกคนออกเดินทางแล้ว
เว่ยฉางอิ๋งเรียกน้องชายมาสอบถามที่ข้างรถ “คนเมื่อครู่นี้เล่า?”
เว่ยฉางเฟิงตอบว่า “เขาขึ้นเขาไปชมป้ายหินแล้ว”
“เป็นเช่นไร?”
ที่ว่าเป็นเช่นไร ก็คือสอบถามเว่ยฉางเฟิงว่ารู้สึกอย่างไรกับคนผู้นี้ และ ความสามารถของคนผู้นี้สมควรทาบทามมาทำงานหรือไม่ และทาบทามได้สำเร็จหรือไม่… เว่ยฉางเฟิงกล่าวยิ้มๆ “ครานี้ ถือว่าองครักษ์นายนั้นได้สร้างคุณงามความดี คนผู้นี้วาจาไม่ธรรมดา ไหวพริบดี ทั้งที่เป็นชาวบ้านทั่วไป เหมาะสมที่จะเรียกเข้าไปทำงานในตระกูล… ข้าได้บอกกับเขาเรียบร้อยแล้ว หากชมป้ายสลักแล้วยังต้องการจะชมลายมือของจริง สามารถไปหาข้าที่รุ่ยอวี่ถังได้”
เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “กระทั่งลายมือ ‘บันทึกเขาไผ่น้อย’ ของจริง เจ้าก็อนุญาตให้เขา? เรื่องนี้จักต้องบอกกล่าวต่อท่านปู่”
“จะให้เขาได้อย่างไร?” เว่ยฉางเฟิงกล่าว “ข้าบอกว่าให้เขาไปชมเท่านั้น และแน่นอนว่าต้องไปชมในบ้านเรา”
เขาพึมพำกับตนเองว่า “ข้าคิดว่าอีกสองสามวันคนผู้นี้จะต้องมาหาที่บ้าน หาไม่แล้วเขาจักต้องขอขึ้นเขามาชมป้ายในวันนี้ให้ได้เพื่อสิ่งใด?”
เห็นได้ชัดว่าเว่ยฉางเฟิงก็คิดว่าเป้าหมายของซินหย่งที่มาขอชมป้ายสลักหินนี้เป็นเรื่องเท็จ แต่ความต้องการเข้าใกล้ตนต่างหากที่เป็นเรื่องจริง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อให้คนผู้นี้มิได้ตอบรับการทาบทามของเขาเช่นหนนี้ ก็เพียงแสร้งปล่อยเพื่อรอจับเท่านั้น…ทำวางท่าไปเช่นนั้นเอง
ผู้มีความสามารถแท้จริงโดยมากแล้วล้วนไม่ยอมคุกเข่าให้ใคร ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อถูกทาบทามให้มาทำงานก็กลับตอบรับในทันที..เช่นนี้มิสู้เข้าไปขอฝากตัวเสียแต่แรกเลยดีกว่า!
เมื่อตระกูลสูงศักดิ์คัดเลือกคนเข้าบ้าน ก็หาได้รังเกียจที่จะใช้วิธีลดตัวลงไปสนิทสนมด้วย เพราะขอเพียงอยู่ในขอบเขตที่พวกเขาสามารถรับได้ เช่นนั้นก็พอดีเป็นดังคำกล่าวที่ว่าตระกูลมีชื่อย่อมให้เกียรติผู้มีความสามารถ
ดังนั้นวันนี้ เมื่อเห็นว่าซินหย่งยังคงเอ่ยคำลากับเว่ยฉางเฟิง แล้วขึ้นเขาไปชมป้ายสลัก… สองพี่น้องจึงมิได้รู้สึกว่าเหนือความคาดหมาย สมมติว่าเว่ยฉางเฟิงพูดจากับเขาสักพักก็พาเขากลับตระกูลเว่ยได้แล้ว เช่นนั้นต่างหากที่จะทำให้รู้สึกเคลือบแคลงใจ!
เว่ยฉางเฟิงได้รับการอบรมจากเว่ยฮ่วนมาแต่เล็ก หาได้ต้องเร่งรีบ ขอเพียงทำตามเหตุผลของอีกฝ่ายที่ต้องการมาชมป้ายสลักบนเขาไผ่น้อย แล้วให้สัญญาว่าจะให้อีกฝ่ายไปชมลายมือ ‘บันทึกเขาไผ่น้อย’ ของจริง นอกจากจะรักษาหน้าตาของอีกฝ่ายแล้ว ยังเป็นการแสดงความใจกว้างของตนอีกด้วย.. อย่างไรก็เพียงให้อีกฝ่ายเข้าไปเยี่ยมชมในจวน สำหรับเว่ยฉางเฟิงแล้วก็มิได้เสียหายแต่อย่างใด แต่ลายมือจริงนี้ล้ำค่ายิ่ง มีเพียงคนในตระกูลเว่ยที่จะได้ชม และมิใช่ใครก็ได้จะสามารถได้เห็น
สำหรับชาวบ้านธรรมดาเช่นซินหย่ง คำสัญญานี้นับว่าเป็นสิ่งยั่วยวนยิ่ง ทั้งยังเป็นความจริงใจและให้เกียรติที่ไม่เลวเลยจริงๆ
เว่ยฉางอิ๋งพยักหน้า “เช่นนี้ เราก็สามารถได้เขา แปด เก้าส่วนจากสิบส่วน” เมื่ออีกฝ่ายมีความต้องการอยู่ก่อนแล้ว เว่ยฉางเฟิงมีท่าทีอ่อนน้อมทั้งยังให้คำสัญญา ตามหลักการแล้ว คนผู้นี้ก็จะต้องเป็นคนของเว่ยฉางเฟิง …แม้ข้างกายของเว่ยฉางเฟิงจะมีเว่ยชิงอยู่แล้ว และยังมีโม่ปินเว่ยที่แม่เฒ่าซ่งหมายตาเอาไว้ แต่จนถึงยามนี้ก็ยังหาตัวไม่พบ หากจะว่ากันจริงๆ เขายังไม่มีผู้มีความสามารถมาเป็นมือขวา แต่เรื่องนี้ล้วนเป็นสิ่งที่ผู้ใหญ่เป็นผู้ตระเตรียมให้ หากทาบทามซินหย่งผู้นี้ได้สำเร็จ ก็จะเป็นผู้มีความสามารถคนแรกที่เว่ยฉางเฟิงเป็นผู้สรรหามาได้
แม้จะอาศัยชื่อเสียงของตระกูลเว่ย แต่นี่ก็ถือเป็นการพิสูจน์ความสามารถและ ความสง่างามของเว่ยฉางเฟิง
เว่ยฉางเฟิงที่อายุได้สิบห้าปี ทั้งยังเป็นบุตรชายคนเดียวของบ้านใหญ่ จึงต้องการการพิสูจน์ตนเองเช่นนี้เป็นอย่างยิ่ง
เว่ยฉางอิ๋งย่อมรู้สึกยินดีกับน้องชายเป็นธรรมดา
ในวัยที่เพิ่งได้เกล้าผมก็มีคนมีความสามารถเข้ามาขอฝากตัว…แม้วิธีการจะดูไม่ตรงไปตรงมาไปสักหน่อย แต่อารมณ์ของเว่ยฉางเฟิงก็ยังดีอยู่มาก จึงได้เกิดความคิดจะทาบทามคนขึ้นมา เขาปั้นหน้าไม่ใส่ใจและกล่าวว่า “กลับไปแล้วยังต้องให้คนไปตรวจสอบดูสักหน่อย ลำพังแค่ฟังดูยังตัดสินสิ่งใดมิได้” คำพูดพูดไปเช่นนั้น แต่มุมปากกลับอดจะโค้งขึ้นมาไม่ได้
“จะต้องสอบถามดูหัวนอนปลายเท้าให้ดี” เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกพึงพอใจในตัวน้องชายเสียยิ่งกว่าเก่า “คนที่ต้องอยู่ใกล้ตัว ต้องระวังไว้ให้มาก”
ตลอดทางไม่มีการพูดจาใด
เมื่อกลับถึงจวน ฮูหยินซ่งร้อนใจจึงไปรอตรงที่ลงรถ แม้จะไม่ได้พบหน้าเพียงวันสองวัน เมื่อฮูหยินซ่งพบหน้าบุตรชายบุตรสาวก็กลับตื่นเต้นเสียยิ่ง ราวกับพรากจากกันมานานปีเช่นนั้น เมื่อไต่ถามหนแล้วหนเล่าจนได้ความว่าทั้งสามคนต่างไม่เป็นอะไรแล้วนั่นล่ะ ครานี้จึงได้ผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งใจ และพาพวกเขาไปพบแม่เฒ่าซ่ง
เมื่อเทียบกับสะใภ้ใหญ่ แม่เฒ่าซ่งซึ่งเป็นห่วงหลานๆ ไม่แพ้กัน กลับควบคุมท่าทีได้ดีกว่ามาก ยามหลานๆ ทั้งสามคนมาคารวะต่อหน้า ก่อนอื่นใด นางรีบห้ามซ่งไจ้สุ่ยด้วยสีหน้าอ่อนโยนว่ามิต้องคุกเข่าลงคารวะ ให้นางมานั่งตรงหน้าจากนั้นสีหน้าก็พลันหนักอึ้ง แล้วให้เว่ยฉางเฟิงและเว่ยฉางอิ๋งคุกเขาลง และตำหนิพวกเขาทั้งสองด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่าประมาทเลินเล่อ ดูแลแขกไม่ทั่วถึง กระทั่งทำให้ซ่งไจ้สุ่ยบาดเจ็บอยู่บนเขาไผ่น้อย
แน่นอนว่านี่เป็นการจงใจทำให้ซ่งไจุ้ส่ยดู แม้จะแสดงท่าทีให้เกียรตินาง แต่ก็เป็นการบ่งบอกเป็นนัยว่าการกระทำของนางนั้นทำให้พี่น้องบ้านใหญ่ต้องลำบาก
และเป็นธรรมดาที่ซ่งไจ้สุ่ยจะไม่มีทางดูไม่ออก แม้นางจะมีแผนการในใจ แต่เพราะเป็นสาวเป็นแส้ผิวพรรณบอบบาง ยิ่งไปกว่านั้นนางก็รู้สึกผิดต่อลูกผู้น้องทั้งสองอยู่ในใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อเห็นภาพนี้ ในหน้าของนางจึงเดี๋ยวซีดเดี๋ยวแดง อดจะเอ่ยคำขอความเห็นใจทั้งที่รู้สึกอึดอัดในใจไม่ได้… รอจนที่สุดแม่เฒ่าซ่งอนุญาตให้เว่ยฉางอิ๋งและเว่ยฉางเฟิงลุกขึ้นแล้ว ซ่งไจ้สุ่ยพลันรู้สึกหวาดกลัวว่าจะถูกไต่ถามต่อไปว่าบาดเจ็บได้อย่างไร จึงรีบเอ่ยเรื่องที่ต้องการกลับเมืองหลวง
แน่นอนว่าแม่เฒ่าซ่งจะต้องรั้งนางไว้ ฮูหยินซ่งก็กล่าวว่า “ยามนี้อาการบาดเจ็บของเจ้ายังไม่หายดี แล้วจู่ๆ ก็จะไปได้อย่างไร? หรือยังขัดเคืองฉางเฟิงและฉางอิ๋ง หากเป็นเช่นนั้น ดูซิว่าข้าจะทำโทษพวกนางอย่างไรอีก?”
“เป็นเพราะยังไม่หายดี จึงอยากจะขอลาเจ้าค่ะ” ซ่งไจ้สุ่ยทำตามคำเตือนของเว่ยฉางอิ๋ง นางกำผ้าเช็ดหน้าในมือแน่นแล้วกล่าวเสียงเบาอย่างช้าๆ ว่าครานี้หากมิได้น้องฉางอิ๋งช่วยไว้ และไม่ได้น้องฉางเฟิงคอยดูแล มีหรือข้าจะยังเป็นเช่นยามนี้? เพียงแต่ข้าไม่ขอปิดบังท่านอาว่าสองวันมานี้ข้าหกล้มอีกหลานหน ก่อนนี้ท่านหมอจี้บอกว่าเมื่อเลือดสลายไปแล้วก็จะหาย ยามนี้รอยฟกช้ำยังไม่จางไปหมด แต่ข้ากลับรู้สึกว่ามีบางสิ่งไม่ค่อยปกติ.. ฉางอิ๋งก็บอกว่าตอนนางเล็กๆ และหกล้มจนช้ำเป็นรอยเขี้ยวบ้างม่วงบ้าง แต่ก็ไม่ได้มีอาการดังเช่นข้า… แม้ว่ายามนั้นนางไม่ได้หกล้อมโดนหัวเข่าก็ตาม”
“ข้าหาได้กังขาต่อวิชาแพทย์ของท่านหมอจี้ เพราะอย่างไรเขาก็เป็นผู้ให้การรักษาท่านปู่ วิชาแพทย์ของเขาย่อมต้องดีเป็นแน่ แต่ว่ากันว่าแต่ละศาสตร์มีความรู้เฉพาะด้าน อาการบาดเจ็บภายนอกของข้าครานี้ ท่านหมอจี้มิได้มีความชำนาญด้านนี้ อาการบาดเจ็บดังเพลิงเผา ยิ่งรั้งรอนานยิ่งยุ่งยาก ดังนั้นนข้าจึงคิดว่ารีบกลับไปเมืองหลวงจะดีกว่า..อย่างไรเสียที่นั่นก็มีหมอหลวงอยู่จำนวนมาก”
แม่เฒ่าซ่งและฮูหยินซ่งสบตากันคราหนึ่ง แล้วนิ่งเงียบไปเกือบเค่อ แม่เฒ่าซ่งจึงได้เอ่ยว่า “จี้อวิ๋นไม่ชำนาญอาการบาดเจ็บภายนอกจริงๆ หัวเข่าของเจ้า.. ยามนี้มีอการเช่นใดกันแน่?”
ซ่งไจ้สุ่ยยิ้มเจื่อน กล่าวว่า “จนยามนี้เมื่อลุกขึ้นและเดินยังรู้สึกปวดอยู่บ้าง ซึ่งมีสาเหตุมาจากเลือดคั่ง แต่…ดีๆ อยู่กลับพลันไร้เรียวแรงขึ้นมาเสียอย่างนั้น และล้มลงไป จนเดี๋ยวนี้ข้ายังไม่กล้าให้พวกชุนจิ่งอยู่ห่างข้าแม้ครึ่งก้าว”
คนในห้องโถงได้ยินคำแล้วต่างหันกลับมา ปรากฏว่าพวกสาวใช้ทั้งชุนจิ่งและเซี่ยจิ่งแทบจะยืนประกบติดตัวยามซ่งไจ้สุ่ยยืนอยู่ กระทั่งยังเตรียมพร้อมจะประคองซ่งไจ้สุ่ยอยู่ทุกเมื่อ
เมื่อเห็นสภาพการณ์ดังนี้ สีหน้าของแม่เฒ่าซ่งและฮูหยินซ่งพลันหนักอึ้งขึ้นมา ฮูหยินซ่งเองก็เป็นอาแท้ๆ ของซ่งไจ้สุ่ย ยิ่งทำให้รู้สึกเป็นกังวลต่ออาการบาดเจ็บของนาง พลันเอ่ยอย่างตกใจว่า “ไม่ใช่จี้อวิ๋นบอกว่าสองสามวันก็จะหายหรอกหรือ…ที่เจ้าว่าเช่นนี้ คือยังไม่หาย? หรือยังไม่หายดี?”
“ยังไม่หายเจ้าค่ะ” ผู้ที่ตอบคำมาคือเว่ยฉางอิ๋ง นางขมวดคิ้วแล้วว่า “วันนี้ บนรถม้าตลอดทางกลับบ้านมา ท่านพี่ยังเซไปข้างหน้าหนหนึ่ง โชคดีชุนจิ่งตาดีมือไวดึงเอาไว้ มิเช่นนั้นอีกเพียงน้อยก็จะตกออกไปนอกรถแล้ว!”
คำกล่าวนี้แม้แต่แม่เฒ่าซ่งยังมีสีหน้าเปลี่ยนไป พลันว่า “เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้!”
ในเมื่อกลับมาที่จวนแล้ว หากต้องการจะเรียกหมอมาก็แน่นอนว่าจะสะดวกยิ่งกว่าเดิม หนนี้ไม่เพียงแค่จี้อวิ๋น แพทย์มีชื่อในเมืองมีเท่าใดก็เรียกมาจนเกือบหมด…แต่ทั้งที่เป็นเช่นนี้ ก็ไม่มีใครสามารถให้การวินิจฉัยที่ดีได้
ทุกคนต่างบอกว่าชีพจรของซ่งไจ้สุ่ยเป็นปกติ… แต่เหตุใดจึงเกิดอาการเข่าอ่อนแรงอยู่เรื่อยๆ ต่างก็ไม่มีใครบอกได้ชัดเจน
เมื่อข่าวนี้แพร่ออกไป แม้แต่เว่ยฮ่วนยังมาสอบถามด้วยตนเอง เขาไม่คุ้ยเคยกับซ่งไจ้สุ่ย และไม่สะดวกที่จะไถ่ถามซ่งไจ้สุ่ยตรงๆ จึงให้บ่าวไพร่ไปสอบถามดู คิดก็ยังไม่ทันได้คิด เขาก็ให้คนไปบอกกับแม่เฒ่าซ่งว่า “เรื่องนี้น่าสงสัย”