ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง - ตอนที่ 51.1 หยกสลักนกกระเรียนเซียน...อื่ม...นกกระจอกเหลือง (1)
- Home
- ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง
- ตอนที่ 51.1 หยกสลักนกกระเรียนเซียน...อื่ม...นกกระจอกเหลือง (1)
ต่อให้เว่ยฮ่วนไม่เตือน แม่เฒ่าซ่งและฮูหยินซ่งก็สงสัยอยู่แล้วว่าซ่งไจ้สุ่ยกำลังแกล้งทำ แต่การสงสัยเช่นนี้กลับหาหลักฐานออกมาไม่ได้ และจะไปสอบถามให้แน่ชัดก็ไม่สะดวก… แม่นางคนนี้กระทั่งเรื่องทำให้ตัวเองเสียโฉมก็ยังทำออกมาได้ หากยิ่งไปบังคับนาง สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่านางจะทำเรื่องใดออกมาได้อีก
จะขว้างของใส่หนูก็กลัวถูกของแตก เหมือนไม่มีหนทางใดเลย
จะอย่างไร ซ่งไจ้สุ่ยผู้เป็นอาแท้ๆ ก็กลัวว่าหลานสาวจะเกิดเรื่องจริงๆ แต่ในใจก็ยังมีความสงสัยอยู่เจ็ดส่วนว่าซ่งไจ้สุ่ยจะแกล้งทำ แต่เพื่ออีกสามส่วนที่เหลือจึงไปปรึกษากับแม่เฒ่าซ่ง “หากไจ้สุ่ยไม่ได้แกล้ง เช่นนั้น หรือว่า… ควรรีบให้นางกลับเมืองหลวงโดยเร็ว? เพื่อมิให้พลาดโอกาสรักษาในเวลาที่สมควร? นั่นเพราะในแถบนี้ของเราก็ไม่มีหมอมีชื่อที่ชำนาญการรักษาอาการบาดเจ็บภายนอกจริงๆ”
เมื่อได้ยินคำว่า “พลาดโอกาสรักษาในเวลาที่สมควร” แม้จะไม่ได้ยินชื่อว่า ‘จี้ชวี่ปิ้ง’ สามคำนี้ กล้ามเนื้อบนใบหน้าของแม่เฒ่าซ่งก็ยังกระตุกหนหนึ่ง ดวงตาก็ล่องลอยไปหลายส่วน เกือบเค่อจึงได้กล่าวว่า “ซ่งไจ้เถียนจวนจะมาถึงแล้ว บ้านเราก็ไม่มีคนที่เหมาะสมจะไปส่งเด็กคนนี้ หากให้นางซึ่งเป็นหญิงเดินทางลำพังผู้เดียว ต่อให้มีองครักษ์ติดตามไปด้วยก็ยังดูน่าสงสารเกินไป ยิ่งไปกว่านั้นนางยังบาดเจ็บอยู่ด้วย! อาการบาดเจ็บนี้แม้จะเกิดจากเจตนาของนาง แต่อย่างไรก็ยังได้รับบาดเจ็บบนเขาไผ่น้อย อย่าให้ผู้คนคิดว่าบ้านเราไม่อยากจะรับผิดชอบ จึงได้เร่งไล่นางไป อย่างไรก็รอให้ซ่งไจ้เถียนมาถึงเสียก่อนเถิด”
นิ่งไปสักพัก จึงกล่าวต่อว่า “ส่วนเรื่องที่บาดเจ็บจริงหรือแกล้งนั้น ก็ให้ซ่งไจ้เถียนไถ่ถามเองเถิด เพราะนางก็มิใช่ลูกของบ้านเรา บางเรื่องหากพูดความจริงออกมา… กลับกลายเป็นเรื่องกระอั่กกระอ่วนใจของพวกเราเสียอีก”
เรื่องของซ่งไจ้สุ่ยนี้น่าลำบากใจยิ่งนัก แต่แม่เฒ่าซ่งก็ยังคงห่วงใยหลานสาวในไส้ ดังนั้นจึงตัดสินใจอย่างไม่มากความว่าจะรั้งตัวซ่งไจ้สุ่ยเอาไว้จนกว่าซ่งไจ้เถียนจะมาถึง แล้วจึงเอ่ยถึงอีกเรื่องว่ามีข่าวส่งมาจาก ‘ปี้อู๋’ ว่าพอจะได้เบาะแสที่อยู่ของโม่ปินเว่ยบ้างแล้ว ควรจะไปหาคนผู้นี้ด้วยตนเองสักหน เพื่อทาบทามมาให้ฉางเฟิง”
ฮูหยินซ่งจึงได้พักเรื่องของหลานสาวเอาไว้ก่อน แล้วกล่าวอย่างตื่นเต้นดีใจว่า “ขอบคุณท่านแม่! เมื่อใดต้องออกเดินทางเจ้าคะ?”
“ฉางเฟิงเพิ่งจะกลับมาจากเขาไผ่น้อย ให้เขาพักสักหน่อย… แล้วไปพาตัวโม่ปินเว่ยกลับมาให้ได้เสียก่อนที่เสิ่นโจ้วจะมาถึง” แม่เฒ่าซ่งนิ่งคิดสักพักจึงกล่าวว่า “ข้อเท็จจริงของชัยชนะครั้งใหญ่หลวงที่หัวเมืองทางเหนือนั้น มิอาจจะเปิดเผยออกไปได้ แต่…บางทีอาจจะบอกกล่าวกับตระกูลเสิ่นได้บ้าง”
คำกล่าวเช่นนี้ก็คือต้องการโม่ปินเว่ยผู้นี้มาเป็นพยาน!
หลังจากลงมาจากเขาไผ่น้อย เว่ยฉางเฟิงดูเหมือนจะมีโชคไม่น้อย ยังมิทันกลับถึงบ้านก็ได้ชาวบ้านนามว่าซินหย่งเข้ามาหา ซึ่งรู้กันเป็นนัยว่าคือการขอฝากเนื้อฝากตัว เพิ่งจะกลับถึงบ้านท่านย่าก็ได้บอกกับเขาว่าได้เบาะแสของโม่ปินเว่ยแล้ว…ข้างฝั่งของซินหย่งก็รอแต่เพียงเว่ยฮ่วนไปตรวจสอบดูหัวนอนปลายเท้าของเขาให้แน่ชัดเสียก่อน แล้วจึงไปสอบถามเขาดูสักหนสองหน แสดงท่าทีออกมาให้ชัดเจนว่าบ้านตระกูลเว่ยต้องการรับคนซึ่งมีความทะนงตนว่าเก่งกาจเหนือคนเช่นซินหย่ง แล้วทุกอย่างก็จะสำเร็จโดยดี
ส่วนเรื่องของโม่ปินเว่ยทางนี้ ก็ได้แม่เฒ่าซ่งไปสอบถามลวี่จื่อเกี่ยวกับความถนัดตลอดจนอุปนิสัยใจคอของเขามาเรียบร้อยแล้ว เมื่อตัดสินใจเรื่องวิธีการทาบทามคนเข้าบ้านแล้ว ก็คาดการณ์ว่าจะไม่มีสิ่งใดเกินความคาดหมาย
เรื่องเหล่านี้ไม่ค่อยมีความเกี่ยวข้องกับเว่ยฉางอิ๋งเท่าใดนัก แต่เรื่องที่เติ้งจงฉีพักอยู่ที่เฟิ่งโจวนั้นได้แพร่สะพัดมาถึงจวนตระกูลเว่ยอย่างรวดเร็ว
ด้วยฐานะคุณหนูใหญ่ตระกูลเว่ยผู้สูงศักดิ์ แน่นอนว่าไม่อาจติดหนี้บุญคุณแต่กลับไม่ยอมทดแทน
เว่ยฉางเฟิงยังไม่ได้ไปหาโม่ปินเว่ย แต่เขากลับไปที่โรงเตี๊ยมหนหนึ่ง พูดจาหวานล้อมจนปากคอแห้ง ที่สุดก็สามารถรับเติ้งจงฉีมารักษาตัวที่รุ่ยอวี่ถัง
ซึ่งแน่นอนว่าแม่เฒ่าซ่งรู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของเติ้งจงฉีที่ช่วยให้หลานสาวแท้ๆ ของตนให้รอดพ้นจากเขี้ยวงูหางไหม้เป็นอันมาก ถึงขั้นตั้งใจให้เฉินหรูผิงพาตนมาที่เรือนรับแขกเพื่อขอบคุณเติ้งจงฉี แต่ว่าพวกผู้เฒ่ามักจะคิดการล้ำลึกยิ่งกว่า เมื่อเฉินหรูผิงออกจากจวนไป ก็มีองครักษ์ขี้ม้าเร็วไปยังเมืองหลวง เพื่อตรวจสอบความตื่นลึกหนาบางของเขาแล้ว
เพียงแต่ว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่เติ้งจงฉีคาดการณ์เอาไว้แล้ว เขารู้อยู่ก่อนแล้วว่าแม้จะอาจเข้าไปในรุ่ยอวี่ถังได้ และโอกาสของเขาก็มีเพียงไม่กี่วันนี้เท่านั้น บางที่ตระกูลเว่ยอาจจะไต่ถามไม่ได้ว่าท่านลุงใหญ่บอกกล่าวกับเขาเช่นใดตอนเรียกเข้าไปพบ แต่คนจำนวนมากในเมืองหลวงต่างก็รู้กันดีว่าพระสนมเอกเติ้งดูแลเขาเป็นอย่างดี
หากมิใช่ว่าหลายปีมานี้พระสนมเอกไม่ได้มีอำนาจใด และฐานะของตระกูลเติ้งในบรรดาตระกูลใหญ่ต่างๆ ก็อยู่ในระดับกลาง หลายปีมานี้ตระกูลเติ้งไม่ค่อยเป็นที่สนใจของผู้คน เกรงว่าแม้ตระกูลเว่ยจะไม่ต้องสอบถามดูเป็นพิเศษก็สามารถคาดเดาวัตถุประสงค์ของเขาออก ดังนั้นก่อนที่บ้านตระกูลเว่ยจะรู้ตัว จึงต้องจัดการเรื่องราวให้เรียบร้อยให้ได้เสียก่อน
ตัวของซ่งไจ้สุ่ยอยู่ที่เรือนด้านหลัง และมีเรือนต่างๆ กั้นอยู่ระหว่างกลาง หากต้องการจะติดต่อละทำให้นางเชื่อใจเขาก็เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเอาเสียเลย แต่เติ้งจิงฉีได้เตรียมตัวเอาไว้เป็นดิบดีมาตั้งแต่ตอนที่อยู่เมืองหลวงแล้ว แม้ว่าความจริงแล้วสิ่งที่เขาทำต้องอาศัยสวรรค์เข้าข้าง แต่ครานี้โชคของเติ้งจงฉีก็มิได้ย่ำแย่…
บ่าวไพร่ที่ตระกูลเติ้งส่งมาปรนนิบัติดูแลเขาหนนี้ ยามจัดเก็บห่อผ้าของเติ้งจงฉีนั้น ไม่ทันระวังทำหยกประดับชิ้นหนึ่งหัก เห็นชัดว่าหยกประดับชิ้นนี้มีความสำคัญเป็นอย่างมาก กระทั่งแม้ยามนี้ที่เติ้งจงฉีรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ ทั้งยังอยู่ในบ้านของผู้อื่น แต่เขาก็ยังคงโมโหโกรธาเป็นอย่างมากถึงขึ้นยกถ้วยน้ำชามาตีหัวบ่าวผู้นั้น และไล่ให้เขาไสหัวออกไป!
บ่าวตระกูลเว่ยที่อยู่ข้างๆ เข้าไปเตือนเขาว่าอาการบาดเจ็บของเขานั้นไม่ควรมีอารมณ์เกรี้ยวกราด และได้ไถ่ถามดึงประวัติของหยกประดับชิ้นนี้ดูว่าตระกูลเว่ยจะชดใช้คืนให้เขาได้หรือไม่ เติ้งจงฉีกลับทอดถอนใจออกมาว่า “หยกประดับสีเหลืองไขมันแพะสลักรูปนกกระจอกเหลืองชิ้นนี้หาใช่ของที่ตระกูลมีชื่อทำขึ้น หากแต่เป็นสหายสนิทผู้หนึ่งมอบให้ เป็นหยกที่เขาสลักเองกับมือ และข้าเป็นคนขอมา ไม่คิดว่าครานี้กลับถูกบ่าวโง่ทำเสียหาย… เรื่องที่ข้าเป็นทุกข์ก็คือมิรู้ว่ายามเมื่อกลับถึงเมืองหลวงแล้วจะบอกกล่าวกับเขาเช่นใด”
เมื่อคำพูดนี้ถูกถ่ายทอดไปจนถึงเรือนหลัง แม่เฒ่าซ่งจึงได้กล่าวว่า “เอาเศษหยกที่หักมาต่อกัน แล้วไปหาช่างฝีมือดีสลักอีกอันตามแบบอันเดิมก็สิ้นเรื่องแล้ว หากเขาไม่ต้องการ ก็ลองไปดูว่าในคลังของบ้านเรามีหยกประดับชิ้นใดที่เหมาะสมจะให้เขาได้สักชิ้น เมื่อกลับไปเมืองหลวงแล้วก็นำไปไถ่โทษกับสหายผู้นั้น ไม่ว่าจะอย่างไรเขาก็เคยช่วยฉางอิ๋งมาก่อน แม้บ่าวของเขาจะเป็นคนทำของแตก แต่บ้านเราชดเชยให้เขาก็เป็นสิ่งสมควรแล้ว”
เพราะเติ้งจิงฉีเคยช่วยเว่ยฉางอิ๋งเอาไว้จึงได้ถูกเชิญตัวเข้ามาพักรักษาในรุ่ยอวี่ถัง หยกประดับที่เขาหวงแหนแตกและแม่เฒ่าซ่งตัดสินใจชดเชยให้นี้ย่อมเป็นธรรมดาที่ต้องบอกให้เว่ยฉางอิ๋งรู้
ซ่งไจ้สุ่ยไปที่เรือนหมิงเซ่อเพื่อเยี่ยมเยือนซ่งไจ้สุ่ย และเรื่องราวที่เกิดขึ้นในจวนก็มีแต่เพียงน้อยนิด นานๆ สักครั้งจะมีเรื่องราวใหม่ๆ นางจึงบอกกับลูกผู้พี่ไปเรื่อยเปื่อยว่า “…ท่านย่าตัดสินใจจะเลือกหยกประดับโบราณชิ้นหนึ่งมอบให้คุณชายเติ้ง เพียงแค่ไม่รู้ว่าเขาจักยอมรับไว้หรือไม่ แต่จะว่าไปสหายผู้นี้ของคุณชายเติ้งก็ช่างประหลาดคนนัก ข้าเคยได้ยินแต่หยกสลักหงส์ หยกสลักนกยูง หยกสลักนกกระเรียนเซียน…แต่กลับไม่เคยได้ยินหยกสลักนกกระจอกเหลืองมาก่อนเลย!”
รอยยิ้มของซ่งไจ้สุ่ยหดหายไปในทันใด แล้วว่า “หยกสลักนกกระจองเหลืองหรือ?”
“ใช่แล้ว” เว่ยฉางอิ๋งกล่าว “นกกระจอกเหลืองอย่างในเรื่องตั๊กแตนจับจั๊กจั่นและมีนกกระจอกเหลืองอยู่ข้างหลังนั่นล่ะ… ภาพของนกกระจอกเหลืองนี่มันมีสิ่งใดพิเศษนักหนาหรือ? ท่านพี่ว่าแปลกประหลาดหรือไม่?”