ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง - ตอนที่ 51.2 หยกสลักนกกระเรียนเซียน...อื่ม...นกกระจอกเหลือง (2)
- Home
- ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง
- ตอนที่ 51.2 หยกสลักนกกระเรียนเซียน...อื่ม...นกกระจอกเหลือง (2)
“ประหลาดแน่นอน” ซ่งไจ้สุ่ยนิ่งคิดไปเกือบเค่อ แล้วพลันเงยหน้าขึ้นและสั่งให้บ่าวไพร่ออกไป ครานี้จึงได้ยิ้มเย็นออกมาและเอ่ยว่า “เดิมทีข้าคิดอยากจะวาดภาพนกกระเรียนเซียน แต่ครานั้นอายุยังน้อยเกินไป ทั้งยังมิได้เรียนวาดภาพด้วยพู่กัน จึงวาดออกมา… อ้วนไปสักหน่อย ปรากฏว่าพี่รองที่ดวงตาไร้แววของข้าผู้นั้นจึงได้มองนกกระเรียนเซียนของข้าเป็นนกกระจอกเหลืองเสียนี่!”
เว่ยฉางอิ๋งตกตะลึง ครึ่งเค่อดวงตาจึงพลันเบิกโพลงและกล่าวอย่างติดขัดว่า “ละ…ลูกผู้พี่รอง?!”
“เจ้าบอกว่าบนเขาวันนั้นเติ้งจงฉีเอาแต่มองเจ้าไม่หยุด…” ซ่งไจ้สุ่ยหลักแหลมเสียจริงๆ เข้าใจเรื่องราวได้ในทันใด “เกรงว่าเขาจะนึกว่าเจ้าเป็นข้า จึงอยากจะดึงดูดความสนใจจากเจ้ากระมัง?” แล้วถามว่า “วันนั้นเขาอาจจะห้อย…อื่ม หยกประดับรูปนกกระจอกเหลืองที่ว่านี้?”
เว่ยฉางอิ๋งเผยมือออก ยิ้มเจื่อนพลางว่า “เขาจักรู้ได้อย่างไรว่าหยกประดับชิ้นนั้นมีความเกี่ยวข้องกับท่านพี่? ยามนั้นข้าคิดแต่เพียงว่าคนแปลกหน้าผู้นี้ช่างไร้มารยาทยิ่งนัก ยิ่งไปกว่านั้นข้าก็ไม่ได้มองเขานานนัก ยิ่งมิต้องเอ่ยว่าจะสนใจเครื่องประดับบนตัวเขา”
ซ่งไจ้สุ่ยยกมือขึ้นมาเท้าคาง ทอดถอนใจว่า “ข้ารู้อยู่แล้วเชียวว่าพึ่งพาเจ้าไม่ได้ ช่างเถิด ยังดีที่ยามนี้เขาอยู่ข้างหน้านี้…”
“ท่านพี่ ท่านอย่าได้เลอะเลือน!” เว่ยฉางอิ๋งตื่นตกใจ รีบกล่าวว่า “ท่านจะไปที่นั่นได้อย่างไร?”
“ข้าไปด้วยตนเองไม่ได้…” ซ่งไจ้สุ่ยเอ่ยเสียงหนักว่า “แต่หากให้องครักษ์ไป กลับพอมีโอกาสบ้าง”
เว่ยฉางอิ๋งกล่าวอย่างเป็นกังวลว่า “องครักษ์ของท่านพี่? เชื่อใจได้หรือ? ลูกผู้พี่รองอุตส่าห์สั่งคนมาส่งข่าวให้ท่านพี่ทั้งที…”
“มีองครักษ์นายหนึ่งที่เป็นของพี่รอง” ซ่งไจ้สุ่ยขมวดคิ้วพลางว่า “ข่าวคราวที่พี่รองส่งมาให้ข้าก่อนนี้ก็จะให้คนผู้นี้ส่งมา น่าแปลก ครานี้ไยเปลี่ยนคนแล้ว? ทั้งยังเป็นคุณชายเติ้ง ข้ามิเคยได้ยินมาก่อนเลยว่าเขาเป็นสหายของพี่รอง”
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยว่า “หรืออาจเป็นเพราะครานี้ท่านลุงเพ่งเล็งอย่างหนัก? อีกประการท่านพี่ก็มิได้อยู่ในเมืองหลวง หากอาศัยแต่จดหมาย ลูกผู้พี่รองก็คงมิอาจเขียนทุกเรื่องที่ต้องการบอกกับท่านพี่ไว้ในจดหมายแล้วมอบให้สหายสนิททุกครั้งไปหรอกกระมัง?”
“เป็นไปได้อย่างยิ่ง” ซ่งไจ้สุ่ยกล่าวเสียงหนัก “หยกสลักนกกระเรียนเซียน…อื่ม…นกกระจอกเหลืองชิ้นนั้น พี่รองเป็นคนแกะสลักเอง เพียงเรื่องนี้เรื่องเดียว ทั้งยามปกติเขาก็ไม่ชอบพกติดตัว หากแต่เอาใส่กล่องไม้และวางเอาไว้เท่านั้น คนนอกล้วนไม่มีผู้ใดล่วงรู้ถึงที่มาของของสิ่งนี้ คาดว่าหากพี่รองไม่ได้เป็นคนพูด เติ้งจงฉีก็ไม่มีวันรู้ความหมายของของสิ่งนี้ ที่เขาด่าทอบ่าวไพร่อย่างเกรี้ยวกราดในบ้านตระกูลเว่ยไปเช่นนี้… เกรงว่าบ่าวผู้นั้นจะได้รับคำสั่งจากเขาให้ทำหยกประดับแตก เพื่อดึงดูดความสนใจของข้า!”
นางนิ่งคิดเกือบเค่อ จึงเอ่ยต่อไปว่า “จักต้องหาวิธีไปไถ่ถามคนผู้นี้ดู!”
…ซ่งไจ้สุ่ยเอ่ยแล้วพลันลงมือ นางเรียกองครักษ์ของตนเข้าพบในทันที เหตุผลนั้นมีอยู่แล้ว ว่านางเตรียมตัวจะกลับเมืองหลวง จึงต้องเรียกองครักษ์มาสอบถามว่าเตรียมการไปถึงไหนแล้ว
อาศัยข้ออ้างนี้เรียกองครักษ์ที่คอยรับคำสั่งของซ่งไจ้เจียงนายนั้นเข้ามาที่เรือนหลัง แล้วมอบภารกิจแก่เขาให้ไปติดต่อกับเติ้งจงฉี
เติ้งจงฉีพักรักษาตัวอยู่ที่บ้านตระกูลเว่ยในฐานะแขกคำสำคัญ หาใช่นักโทษไม่ จึงไม่อาจให้คนมาคอยจับตาดูเขาไว้ตลอดวัน องครักษ์ตระกูลซ่งก็อยู่ที่เรือนด้านหน้ามาหลายเดือนแล้ว จึงคุ้นเคยกับบริเวณบ้านเป็นอย่างดี ไม่ถึงสองวันก็ได้พบกับเติ้งจงฉี และบอกว่าจะไปรายงานคุณหนูบ้านตนเรื่องเตรียมการกลับเมืองหลวง แล้วนำความของเติ้งจงฉีตั้งแต่ต้นจนจบรายงานต่อนาง
เพียงได้ยินประโยคแรก สีหน้าของทั้งซ่งไจ้สุ่ยและเว่ยฉางอิ๋งก็เปลี่ยนไปทันใด…
“คุณชายเติ้งกล่าวว่า องค์ฮองเฮาทรงทราบแล้วว่าคุณหนูปฏิเสธการแต่งงานมาหลายครา และถูกนายผู้ชายเรียกตัวกลับ ทั้งยังขัดเคืองอย่างมาก ตำหนักตะวันออกก็กล่าวลับหลังว่านายผู้ชาย…ไม่รู้จักอบรมบุตรสาว” องครักษ์คุกเข่าอยู่นอกม่านและเล่าความอย่างระมัดระวัง
เว่ยฉางอิ๋งกลับสูดหายใจลึก และกุมมือซ่งไจ้สุ่ย กล่าวว่า “ท่านพี่ เช่นนี้แล้วจักทำเช่นใดดี?!”
หากจะว่ากันจริงๆ ก่อนนี้นางรู้สึกเห็นใจซ่งไจ้สุ่ยที่ต้องแต่งงานกับองค์รัชทายาทแห่งตำหนักตะวันออกที่บ้าตัณหามากรัก แม้จริงๆ จะรักใคร่เอ็นดูนางแต่ก็ช่วยเหลือสิ่งใดมิได้ แม้จะเกิดเรื่องบนเขาไผ่น้อย และช่วยซ่งไจ้สุ่ยคิดหาหนทางปฏิเสธการแต่งงาน…และกลัวว่าซ่งไจ้สุ่ยจะยิ่งคิดสั้นไปเสียกว่าเดิม จะอย่างไร เมื่อซ่งไจ้สุ่ยต้องการรูปโฉมนางก็มีรูปโฉม ต้องการวงศ์ตระกูลก็มีวงศ์ตระกูล ต้องการอุบายก็มีอุบาย… แล้วหากลูกผู้พี่ผู้นี้ไม่อาจนั่งในตำแหน่งว่าที่พระชายาองค์รัชทายาท แล้วในใต้หล้านี้จะมีหญิงใดนั่งในตำแหน่งนี้ได้อีก?
นั่นเพราะหากต้องการจะยกเลิกสัญญาการแต่งงานที่ตกลงกันไว้นานแล้ว ทั้งยังเป็นสัญญาที่มีต่อราชสำนักจึงมีความกดดันใหญ่หลวง และมีผลติดตามมาอย่างหนัก แม้เว่ยฉางอิ๋งจะประเมินความสามารถของท่านปู่ไว้ด้วยการมองโลกในแง่ดีที่สุด แต่ก็กลับรู้ดีว่าเรื่องนี้มีทางเป็นไปได้น้อยมาก แม้อุบายจะแยบยลปานใดก็ยังต้องระมัดระวังเป็นที่สุด ดังนั้นแม้จะเห็นใจซ่งไจ้สุ่ย แต่กลับไม่กล้าลงมือทำสิ่งใดเพื่อนาง ทำได้แต่เพียงใช้วิธีเล่นละครสลับฉาก พยายามให้ลูกผู้พี่ผู้นี้เป็นกังวลกับเรื่องอื่นๆ แทนบ้างเท่านั้น
แต่ยามนี้…ทั้งฮองเฮาและองค์รัชทายาทต่างก็ทรงทราบแล้วว่าซ่งไจ้สุ่ยไม่ยินยอมสนองคำสัญญาแต่งงาน อีกทั้งฮองเฮากู้ผู้นี้ก็คือผู้ที่เหยียบย้ำบนชีวิตของฮองเฮาเฉียนและองค์รัชทายาทองค์ที่สองในรัชกาลนี้จนสามารถขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งสูงส่งนี้ได้!
การแต่งงานครานี้ก็เป็นเรื่องที่ฮองเฮาเฉียนเป็นผู้เสนอออกมา… แต่ยามนี้ว่าที่พระชายาองค์รัชทายาทกลับหาเรื่องไม่ยอมแต่งงานกับองค์รัชทายาทครั้งแล้วครั้งเล่า หากเป็นแม่สามีทั่วไปมาได้ยินว่าสะใภ้ยังมิทันได้แต่งเข้าบ้านก็รังเกียจลูกชายของตนแล้ว ก็ย่อมอดไม่ได้ที่จะพูดจาออกมาเช่นนี้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยว่าเป็นฮองเฮา… และผู้ที่ถูกรังเกียจนั้นคือองค์รัชทายาท!
แม้ซ่งไจ้สุ่ยจะทะนงตนว่าในบรรดาหญิงสาวด้วยกัน หากว่ากันเรื่องกลอุบายแล้วนางโดดเด่นกว่าผู้ใด เมื่อนำเรื่องนี้มาเปรียบกับคนที่อยู่ในวัยไล่เลี่ยกัน นางไม่มีทางหวั่นเกรงต่อผู้ใด แต่หากเอ่ยถึงฮองเฮากู้ นางกลับต้องระมัดระวังอย่างสุดตัว!
เดิมทีเว่ยฉางอิ๋งหาได้มีความรู้สึกใดกับฮองเฮากู้ ดีเลวอย่างไรคนที่นางต้องแต่งงานด้วยก็มิใช่องค์ชาย แต่จากท่าทียามซ่งไจ้สุ่ยเอ่ยถึงฮองเฮากู้ทุกครั้ง ก็สามารถมองออกถึงความหวาดกลัวที่ซ่งไจ้สุ่ยมีต่อฮองเฮาผู้นี้
เว่ยฉางอิ๋งพลันรู้สึกขึ้นมาว่าการครั้งนี้เกิดจะรับมือแล้ว!
ทั้งฮองเฮากู้และองค์รัชทายาทต่างรู้เรื่องนี้ เช่นนั้นต่อให้ซ่งไจ้สุ่ยคิดจะเปลี่ยนความตั้งใจในยามนี้ แล้วยอมแต่งเข้าตำหนักตะวันออกแต่โดยดี ทว่าจะได้มีวันอยู่อย่างสุขสงบหรือ? หรือต่อให้ซ่งอวี่วั่งไม่เร่งรัดนางไประยะหนึ่ง แต่ภายหน้าผู้ใดเล่าจะรับประกันได้? ไม่แน่ว่า ไม่เพียงแค่ซ่งไจ้สุ่ยผู้เดียวที่จะลงเอยไม่สู้ดี แม้แต่ซ่งอวี่วั่งก็จะต้องพลอยลำบากไปด้วย!
…หากองค์รัชทายาทได้ขึ้นครองบัลลังก์ ตระกูลซ่งก็จะไม่มีบทลงเอยที่น่าพึงใจ แต่หากองค์รัชทายาทไม่ได้ขึ้นครองบัลลังก์ แล้วซ่งไจ้สุ่ยจะมีบทลงเอยที่น่าพึงใจได้หรือไม่?
เดิมทีตั้งท่าปฏิเสธงานแต่งอย่างสุดกำลัง แต่ยามนี้หากไม่ปฏิเสธงานแต่งก็ยิ่งไม่มีทางรอด! แต่ว่าฮองเฮาและองค์รัชทายาทต่างก็รู้ถึงความไม่ยินยอมของซ่งไจ้สุ่ย อุบายแกล้งว่าอาการบาดเจ็บที่หัวเข่ายังไม่หายก่อนหน้านี้ยังมีพอมีประโยชน์บ้างไหม?!
ซ่งไจ้สุ่ยคอยระมัดระวังตัวอย่างดีมาโดยตลอด แต่เมื่อยามนี้ได้ยินเรื่องนี้ ก็พลันร้อนรนสับสนขึ้นมา มีเสียงอึกอักในคำพูด “ข้าจักรู้ได้อย่างไร? หรือชีวิตข้าจะอับโชคเช่นนี้แล้วจริงๆ?!”
_______________________________