ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง - ตอนที่ 53 สายตาเฉียบคมของแม่เฒ่า
แม้ฮูหยินซ่งสั่งให้บุตรสาวปิดบังแม่เฒ่าซ่งไปด้วยกัน แต่ไม่กี่วัน ความเป็นมาของเติ้งจงฉีก็ยังคงส่งมาจากเมืองหลวง ดูจากข้อความในจดหมายของนกพิราบสื่อสาร “เติ้งจงฉีได้รับการดูแลจากสนมเอกเป็นอย่างดี” แม่เฒ่าซ่งขมวดคิ้วแน่น แล้วเงยหน้าขึ้นมาพูดกับฮูหยินซ่งว่า “ที่แท้เติ้งจงฉีผู้นี้มีเจตนาอื่น จักต้องส่งคนไปเพิ่มที่เรือนพักของเขาแล้ว”
ฮูหยินซ่งพยักหน้า “ข้าจักสั่งความให้เรือนชั้นนอกดูแลเรื่องนี้”
“คนผู้นี้ช่วยฉางอิ๋งเอาไว้ แต่แรกก็เป็นพวกเราเองที่ให้ฉางเฟิงไปเชิญเขามารักษาตัวที่บ้านด้วยตัวเอง แม้ยามนี้จะพบว่าเขาไม่น่าไว้วางใจ แต่หากจะขับไล่เขาออกไปเช่นนี้ ก็จะทำให้ชื่อเสียงของฉางอิ๋งเสื่อมเสีย” แม่เฒ่าซ่งครุ่นคิดอยู่เกือบเค่อ จึงว่า “คอยจับตาดูเขาให้ดีเถิด อย่าได้เลินเล่อตกหลุมพรางของเจ้าเด็กคนนี้”
ฮูหยินซ่งกำลังจะตอบรับ แม่เฒ่าซ่งก็เอ่ยออกมาอีกประโยคหนึ่ง “ใช่แล้ว ดูไจ้สุ่ยไว้ให้ดีๆ ด้วย”
ฮูหยินซ่งใจเต้นขึ้นมา แต่ฝืนยิ้มและกล่าวว่า “ท่านแม่โปรดวางใจ หลายวันมานี้ไจ้สุ่ยทำตัวดีมาก และยามนี้นางก็รู้แล้วว่าไจ้เถียนจวนจะถึงแล้ว ทั้งยังรับปากว่าจะรอจนไจ้เถียนมาถึงค่อยเดินทางไปด้วยกัน เด็กคนนี้แม้ไม่อยากจะแต่งเข้าวัง แต่ก็มิใช่ว่าไม่รู้ความ เรื่องบนเขาไผ่น้อยครานี้… นางก็สำนึกเสียใจแล้วที่ทำให้ฉางเฟิงและฉางอิ๋งต้องลำบากไปด้วย…”
“ข้าไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้” แม่เฒ่าซ่งเอ่ยอย่างราบเรียบ “เรื่องบนเขาไผ่น้อยนั้นผ่านไปแล้ว ก็ยังเป็นเด็กกันนี่ มีหรือจะไม่ก่อความวุ่นวาย? ข้าพูดถึงเติ้งจงฉีผู้นี้พุ่งเป้ามาที่ซ่งไจ้สุ่ย ไม่ว่าเขาจะคิดการใดอยู่ ไม่ว่าจะอย่างไร ยามนี้ฉางเฟิงก็ยังเล็ก บ้านเราไม่เหมาะจะเข้าไปข้องเกี่ยวกับปัญหาใด ดังนั้นจักต้องทำให้เขาไม่มีโอกาสใดติดต่อกับไจ้สุ่ยได้”
“เรื่องนี้…?” ซ่งไจ้สุ่ยตื่นตระหนกอยู่ในใจ นางรู้ว่าแม่เฒ่าซ่งปราดเปรื่องมาแต่ไร ยามนี้จึงเดาวัตถุประสงค์การมาของเติ้งจงฉีออกแล้ว ส่วนเรื่องที่จะพบว่าตนและบุตรสาวปิดบังนางนั้นก็เป็นเรื่องที่ไม่ช้าก็เร็วจักต้องเกิดขึ้นแน่ และตนก็ไม่กล้าพูดปด นิ่งเงียบไปเกือบเค่อจึงได้กล่าวว่า “ในเมื่อท่านแม่สงสัยในตัวเติ้งจงฉี ดีชั่วอย่างไรยามนี้เขาก็อยู่ในบ้านเรา หรือว่า…ไปไต่ถามเขาตรงๆ ว่าคิดจักทำการใดกันแน่?”
แม่เฒ่าซ่งแค่นเสียงออกมาคราหนึ่ง กล่าวว่า “เรื่องนี้จักถามเอาความได้หรือ? เขาอยู่ที่เรือนหน้ามาหลายวันแล้ว หากคิดจะบอกสิ่งใดกับพวกเราก็คงจะเอ่ยปากไปเสียตั้งนานแล้ว แต่ตลอดมากลับไม่มีความเคลื่อนไหวใด เห็นชัดว่ามิได้พุ่งเป้ามาที่บ้านเราแต่กลับพุ่งเป้ามาที่คนในบ้านเรา!” พูดถึงตรงนี้แม่เฒ่าซ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยว่า “เฮ่อ…ที่เขามาเพราะต้องการลากบ้านเราเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยอย่างนั้นรึ? สองสามปีมานี้สนมเอกเติ้งนิ่งเงียบมาโดยตลอด แต่เหตุใดเป็นถึงสนมเอก…แล้วต้องพุ่งเป้ามาที่ไจ้สุ่ย คงมิใช่ว่าสนมเอกกำลังลอบคิดการโค่นล้มฮองเฮากู้อยู่หรอกนะ?”
ฮูหยินซ่งก้มหัวลง เอ่ยเสียงเบาว่า “หากเป็นเช่นนี้ บ้านเราควรทำเช่นไรดี?”
“พระสนมเอกไม่มีพระโอรสเป็นของตน” แม่เฒ่าซ่งกลับมิได้ตอบในทันใด หากแต่ดูเหมือนกำลังขบคิดบางสิ่ง พลางค่อยๆ หมุนกำไลที่ข้อมือ แล้วกล่าวว่า “ทั้งตำแหน่งและความรักใคร่ของฮ่องเต้ก็ไม่เทียบเท่าฮองเฮา แต่นางกลับกล้าจะโค่นฮองเฮา… อื่ม คราก่อนเจ้าบอกว่าสนมเสี่ยวอี๋แซ่จงที่ฮ่องเต้เพิ่งจะรับเข้ามานั้นเป็นที่โปรดปรานยิ่ง เพียงคำพูดของนางประโยคเดียว ก็ถึงขั้นส่งราชองครักษ์อี้ไปตามหาญาติให้นางที่ชิงโจว?”
ฮูหยินซ่งตอบว่า “เจ้าค่ะ ราชองค์รักษ์อี้สองสามนายนั้น…”
กลับเห็นแม่เฒ่าซ่งยกมือขึ้นปรามไม่ให้นางพูดต่อ แล้วกล่าวอย่างสงบว่า “ข้ารู้แล้ว สนมเอกเติ้งและฮองเฮากู้เคยมีความแค้นต่อกัน ยามนี้เกรงว่าจะถึงเวลาสำคัญ…ยิ่งไปกว่านั้นพระสนมเอกยังเป็นรอง นางจึงได้วางแผนมาลงมือที่ไจ้สุ่ย!”
เมื่อเห็นว่าฮูหยินซ่งมีท่าทีตกใจ แม่เฒ่าซ่งจึงอธิบายด้วยความอดทนว่า “ฮองเฮากู้ควบคุมตำหนักกลางมานานปี ฐานะของนางมั่นคงมาโดยตลอด แต่นับแต่ปีนี้ มิใช่ว่าพวกเราจะได้ยินข่าวลือว่าฮ่องเต้ลุ่มหลงสนมเมี่ยวที่เพิ่งเข้ามาใหม่ และห่างเหินกับฮองเฮามาหลายเดือน จนทำให้ตำแหน่งของฮองเฮาและผู้สืบทอดบัลลังก์สั่นคลอน? ยิ่งไปกว่านั้นสนมเมี่ยวผู้นี้ยังรับเลี้ยงดูองค์ชายสิบหกและองค์ชายสิบเจ็ดด้วย?”
ฮูหยินซ่งตกใจ กล่าวว่า “จริงหรือ?”
“ฮองเฮาปกครองตำหนักกลาง มีเล่ห์เหลี่ยมเหนือคน อีกทั้งนางยังมีองค์รัชทายาท หากสนมเมี่ยวผู้นี้ไม่มีคนคอยหนุนหลัง มีหรือที่บอกว่าจะโผล่ออกมาจู่ๆ ก็โผล่ออกมาได้?” แม่เฒ่าซ่งกล่าวอย่างดูแคลนว่า “นี่จักต้องเป็นฝีมือของพระสนมเอกเป็นแน่ องค์ชายสิบหก องค์ชายสิบเจ็ดสององค์นี้ก็ไม่แน่ว่าเป็นสนมเมี่ยวที่คิดอยากจะรับเลี้ยงดู น่าจะเป็นความคิดของสนมเอกเติ้งเสียมากกว่า! อย่างไรเสียองค์ชายหกโอรสของสนมเอกเติ้งก็สิ้นพระชนม์ไปนานแล้ว สนมเมี่ยวยังสาว กำลังเป็นที่รักใคร่ของฮ่องเต้แต่กลับยังไม่ทันมีโอรส! เพื่อป้องกันเรื่องเหนือความคาดหมาย ดังนั้นจึงได้รับองค์ชายสิบหกและสิบเจ็ดเอาไว้ดูแล!”
“เพียงแต่สนมเอกเติ้งยังประเมินฮองเฮากู้ไว้ต่ำเกินไป แม้สนมเมี่ยวจะกำลังเรืองอำนาจ จนทำให้ผู้คนแคลงใจว่าฮองเฮาอาจจะต้องเดินซ้ำรอยอตีตฮองเฮาเฉียน… ทว่า สนมจงที่เพิ่งจะปรากฏตัวในยามนี้ ก็มิได้กดความโดดเด่นของสนมเมี่ยวลงไปหรอกรึ?” แม่เฒ่าซ่งยิ้มอย่างเยือกเย็น แล้วว่า “เดิมทีสนมเอกเติ้งคิดจะอาศัยสนมเมี่ยวมาจัดการฮองเฮา แต่ครานี้ฮองเฮากลับจัดหาสนมจงมา… ดังนั้นความรุ่งเรืองของสนมเมี่ยวจึงได้อันตรธานไปสิ้น ก็มิน่าเล่าสนมเอกเติ้งจึงได้ส่งเติ้งจงฉีผู้นี้มา”
สีหน้าของฮูหยินซ่งค่อยๆ เปลี่ยนไป…เว่ยฉางอิ๋งเพิ่งจะเล่าเรื่องที่องครักษ์ของซ่งไจ้สุ่ยไปสอบถามมาได้ให้นางฟังตั้งแต่ต้นจนจบ แต่นางกลับไม่ได้คิดเลยไปถึงเรื่องของสนมเมี่ยวและสนมจง…
“ท่านแม่ เช่นนั้นบ้านเรา?” ฮูหยินซ่งตั้งสติ และสอบถามด้วยเสียงอ่อน
แม่เฒ่าซ่งสงบนิ่งไปนาน จึงได้ค่อยๆ ตอบกลับมาในขณะที่ฮูหยินซ่งจับจ้องมาด้วยสายตากระสับกระส่าย “ก็ทำเป็นว่าไม่รู้ไม่เห็นสิ่งใดทั้งนั้น ดีชั่ว ฮองเฮาก็ได้เปรียบ แต่ก็หาใช่ว่าสนมเอกเติ้งจะไม่มีกำลังตอบโต้! คอยดูไปก่อนค่อยว่ากันเถิด”
“เหตุใดท่านแม่จึงกล่าวว่าพระสนมเอกเติ้งใช่จะไม่มีกำลังตอบโต้?” ฮูหยินซ่งทั้งรู้สึกตกใจและยินดีอยู่ภายในใจ พลางลองสอบถามดู
“หากฐานะของฮองเฮาในตำหนักกลางยังมั่นคงเช่นก่อนมา แล้วยังต้องการสนมจงเพื่อสิ่งใด?” แม่เฒ่าซ่งเอ่ยอย่างไม่ปิดบัง “ในวังมิได้มีสนมขั้นสูงคนใหม่มานานแล้ว สนมเมี่ยวผู้นี้ถือว่ามาสั่นคลอนตำแหน่งของฮองเฮาจริงๆ หาไม่แล้ว ไยฮองเฮาต้องยกนางในแซ่จงที่มีชาติกำเนิดต่ำต้อยผู้นี้ขึ้นมายื้อให้อำนาจตน? ยิ่งไปกว่านั้น ยามนี้ฮองเต้ก็รักใคร่สนมจงผู้นี้แล้ว สนมเมี่ยวก็มิใช่ว่ายังดีอยู่หรือ? ก็มิเห็นได้ยินว่าองค์ชายสิบหกและสิบเจ็ดที่นางเลี้ยงดูเกิดเรื่องใด เห็นได้ว่าสนมเอกเติ้งยังคงมีกำลังอยู่ไม่เบาเลย ยิ่งไปกว่านั้นสนมเมี่ยว…ก็มีฐานะระดับหนึ่งอยู่ในตำหนักกลาง!”
นางมองสะใภ้ใหญ่หนหนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างเป็นนัยว่า “เรื่องสนมเมี่ยวเป็นที่โปรดปรานนั้นเป็นเรื่องตั้งแต่ต้นปีแล้ว เหตุใดพี่ชายเจ้าจึงมิได้บอกกับเจ้าเลย?”
ฮูหยินซ่งยิ้มเจื่อนพลางว่า “จดหมายที่ส่งไปมาก็มิได้เอ่ยเรื่องนี้ กลับมีแต่เรื่องเร่งรัดให้ไจ้สุ่ยขึ้นเหนือไปเมืองหลวงเจ้าค่ะ”
“นี่อาจเป็นเพราะฮองเฮาต้องการกำลังหนุน” แม่เฒ่าซ่งหรี่ตานิ่งคิดไปเกือบเค่อ กล่าวว่า “แม้จะบอกว่ามีสัญญาแต่งงานอยู่ก่อนแล้ว แต่ไจ้สุ่ยก็ยังมิได้ออกเรือน ตระกูลซ่งก็หาใช่คนโง่! ยิ่งไปกว่านั้นแม้ตำหนักตะวันออกจะเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของฮองเฮา แต่เรื่องนี้ก็ไม่พ้นความหลักแหลมของฮองเฮาไปได้! ฮองเฮาเองก็ไม่อาจจะจับตาดูตำหนักตะวันออกได้ทุกเมื่อเชื่อวัน เช่นนี้แล้วที่ไหนจะมีเวลามาจดจ่อเรื่องสู้รบปรบมือกับสนมเอกเติ้งและสนมเมี่ยว? หากไจ้สุ่ยเข้าวังไปแล้ว แม้ไม่อาจช่วยเหลือเรื่องรับมือกับสนมเอกเติ้งได้ อย่างน้อยก็สามารถรักษาไม่ให้ตำหนักตะวันออกเกิดเรื่องเกิดราวได้”
ฮูหยินซ่งอดไม่ได้จึงกล่าวไปว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แล้วเหตุใดฮองเฮาจึงได้ยอมให้ไจสุ่ยรั้งเวลาอยู่ในเฟิ่งโจวนานถึงเพียงนี้? แม้จะพูดได้ว่าระหว่างนี้ท่านพี่ก็ได้เขียนจดหมายมาเร่งรัดนางขึ้นเหนืออยู่หลายครั้ง แต่หากส่งคนมาเร็วกว่านี้ ไจ้สุ่ยอาจจะตามไปเมืองหลวงเร็วกว่านี้แล้ว?”
แม่เฒ่าซ่งขมวดคิ้วพลางว่า “ อาจเป็นเพราะถูกสนมเอกเติ้งขัดขวางอยู่ก็เป็นได้…เดิมทีมิใช่สัญญาเป็นมั่นเหมาะว่าเมื่อไจ้สุ่ยปักปิ่นแล้วก็จะให้แต่งเข้าตำหนักตะวันออกหรอกหรือ? แล้วยามนี้เป็นเวลาใดแล้ว? สามปีก่อนทางเมืองหลวงส่งข่าวมาว่าอย่างไร? ข้าจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่ามิเห็นได้พูดถึงแต่อย่างใดนี่?”
“เป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ” ฮูหยินซ่งพึมพำเสียงเบาว่า “พวกเรามิได้อยู่ที่เมืองหลวง ตอนนั้นก็มิได้สนใจเท่าใดนัก… ยามนี้คิดไปก็รู้สึกว่าแปลก ต่อให้ฮองเฮาไม่เอ่ยถึง ตามธรรมเนียมแล้วขุนนางในราชสำนักก็ควรจะพูดถึงเรื่องนี้บ้าง”
แม่เฒ่าซ่งว่า “ก็อาจมิใช่ว่าจะไม่มีคนเอ่ยถึงเลย เพียงแต่พวกเรามิได้ไปสอบความเท่านั้น” เว่ยฉางอิ๋งอายุน้อยกว่าซ่งไจ้สุ่ยหนึ่งปี สามปีก่อนนางอายุสิบสี่ เป็นเวลาที่เตรียมจะเข้าพิธีปักปิ่น ทั้งแม่เฒ่าซ่งและฮูหยินซ่งต่างก็ตั้งอกตั้งใจตระเตรียมการใหญ่เช่นนี้ให้นางตั้งแต่นางอายุได้สิบสามปีแล้ว เพื่อจะได้จัดพิธีปักปิ่นนี้ให้ยิ่งใหญ่ที่สุด ในสองปีนั้นพวกนางจึงมิได้มีแก่ใจไปสนใจเรื่องอื่น
อีกประการหนึ่ง เรื่องที่ซ่งไจ้สุ่ยได้รับการหมั้นหมายจากราชสำนักต่างก็เป็นที่รู้กันโดยทั่วไป แต่ปรากฏว่าเมื่อถึงอายุที่ตกลงกันไว้กลับมิเห็นว่าจะมีการเคลื่อนไหวใดๆ… แล้วผู้ใดเล่าจะคาดเดามิได้ว่าต้องเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นแล้ว? อย่างเช่นว่าราชสำนักได้ไปหมายตาบุตรสาวของตระกูลใหญ่ตระกูลอื่นเพื่อมาเป็นพระชายาองค์รัชทายาทแล้ว… เพราะที่จริงแล้ว เมื่อตอนที่หยกประดับทองชิ้นนั้นมาถึงมือซ่งไจ้สุ่ย ฮองเฮากู้ก็ยังเป็นเพียงแค่สนมชั้นเจาอี๋เท่านั้น
เมื่อพิจารณาถึงความเป็นไปได้เช่นนี้ อีกทั้งตระกูลเว่ยก็สนิทชิดเชื้อกับตระกูลเว่ยมาแต่ไร การไปซักไซ้เอาความก็มิใช่จะเป็นการทำให้ตระกูลซ่งเสียหน้าเท่านั้นหรอกหรือ? ยิ่งไปกว่านั้นก็มิได้อยู่ที่เมืองหลวง ดังนั้นเมื่อเห็นตระกุลซ่งไม่ได้มีคำอธิบายใดมา ตระกูลเว่ยก็ได้แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น เพื่อมิให้ตระกูลซ่งต้องลำบากใจ
ยามนี้ฮูหยินซ่งลอบโล่งอกอยู่ในใจ เรื่องนี้หากพวกตนยังอยู่ที่เมืองหลวงก็จักไม่มีทางปิดเงียบอยู่เช่นนี้ได้ อย่างน้อยคนอื่นๆ ในตระกูลเว่ยก็ยังคงจะไต่ถาม นางผู้เป็นอาแท้ๆ ของซ่งไจ้สุ่ยก็คงต้องไปสอบถามเอาความต่อหน้าซ่งอวี่วั่ง เมื่อเป็นเช่นนั้นวันนี้ก็ไม่ต้องเปลืองแรงไปดาดเดาสิ่งใดแล้ว
หากมิใช่เพราะแม่เฒ่าซ่งหลักแหลม หนนี้นางก็ยังคงไม่ได้คิดไปถึงตัวสนมเมี่ยวและสนมจงทั้งสองคนซึ่งเป็นคนใหม่ในวัง… แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ นางก็ยังไม่กล้าจะเปิดเผยเรื่องของเติ้งจงฉีไปทั้งหมด ทำได้เพียงสำทับตามคำพูดของฮูหยินผู้เฒ่าว่า “ฟังท่านแม่พูดดังนี้ หนนี้เกรงว่าตระกูลซ่ง…จะลำบากแล้ว?”
“อย่างไร อีกไม่กี่วันไจ้เถียนก็จะมาถึงแล้ว ในจดหมายไม่สะดวกจะเอ่ยถึงเรื่องนี้ เจ้าก็ลองถามเขาดูเถิด” แม่เฒ่าซ่งขมวดคิ้ว พักใหญ่ จึงกล่าวว่า “ทว่า ฮองเฮากู้เป็นบุตรสาวของตระกูลกู้แห่งหงโจว หงโจวมิใช่อยู่ที่เจียงหนานหรอกรึ? ครานั้น ฮองเฮากู้ยังเป็นสนมชั้นเจาอี๋อยู่ ที่นางคิดจะสู่ขอไจ้สุ่ยเป็นสะใภ้ ก็มิใช่ว่าเพราะว่าถิ่นฐานของตระกูลกู้อยู่ใกล้กับบ้านตระกูลซ่งหรอกหรือ? อีกประการก็เพราะหมายตากำลังอำนาจของตระกูลซ่ง จึงได้ต้องการจะดองกับตระกูลซ่ง เมื่อมีตระกูลซ่งที่อยู่ชิดใกล้คอยสนับสนุน ตระกูลกู้ย่อมรุ่งเรืองได้อย่างรวดเร็ว! และด้วยประเด็นที่หงโจวอยู่ในเจียงหนานนี้ ฮองเฮากู้ก็คงจะไม่ทำการใดกับตระกูลซ่งหรอก”
…แต่นั่นเป็นเรื่องก่อนที่ฮองเฮากู้ยังไม่รู้ว่าซ่งไจ้สุ่ยรังเกียจบุตรชายของนางนี่!
ยามนี้ฮองเฮาผู้นี้และองค์รัชทายาทต่างก็รู้แล้วว่าซ่งไจ้สุ่ยไม่ได้พึงพอใจองค์รัชทายาท เอาแต่คิดจะล้มเลิกการแต่งงานอยู่ทุกชั่วขณะจิต!
ก่อนหน้านี้ เพียงเรื่องที่เว่ยฉางอิ๋งมีความคิดจะกำราบควบคุมสามีเล่าลือไปถึงเมืองหลวง ฮูหยินซูยังพลันชักสีหน้าใส่ อีกทั้งตระกูลเสิ่นยังมีฐานะทัดเทียมกับตระกูลเว่ยด้วย! แล้วประสาอะไรกับราชสำนัก?
ยิ่งไปกว่านั้นเว่ยฉางอิ๋งก็ยังไม่เคยมีความคิดจะล้มเลิกการแต่งงานเลย!
หากลองเปลี่ยนมาเป็นตนเอง หากเว่ยฉางเฟิงมีว่าที่ภริยา แล้วให้ฮูหยินซ่งรู้ว่าอนาคตลูกสะใภ้ผู้นี้กลับรังเกียจลูกชายของตนและไม่ต้องการจะแต่งเข้าบ้าน… สะใภ้เช่นนี้นางก็ไม่ต้องการเช่นกัน ไม่เพียงแค่ไม่ต้องการ นางยังอยากจะกลืนกินอีกฝ่ายเข้าไปเสียด้วยซ้ำ! บุตรชายแท้ๆ ของนางไม่ว่าดูอย่างไรก็ดีไปเสียทุกอย่าง นังคนไม่รักษาสัญญาคนนี้มีตาหรือไม่กันแน่! แม้ว่าด้วยธรรมเนียมแล้วอย่างไรก็ต้องแต่งนางเข้าบ้าน ฮูหยินซ่งไม่นับวันรอเวลาคิดบัญชีก็แปลกแล้ว! แล้วจิตใจของผู้ที่เป็นแม่ในใต้หล้าจะแตกต่างกันไปได้สักเท่าใด?
ฮูหยินซ่งนิ่งทนอยู่ครู่ใหญ่ แม้จะไม่กล้าพูดทุกเรื่องออกมา แต่ก็ยังลองสอบถามไปว่า “ท่านแม่ หากฮองเฮากู้รู้เรื่องที่ไจ้สุ่ยไม่ยินยอมแต่งงานกับองค์รัชทายาทเล่า?”
เมื่อคำพูดนี้ออกไป ก็พลันเห็นแม่เฒ่าซ่งกวาดสายตาดังสายฟ้ามาที่ตน!
ฮูหยินซ่งก้มตาลงมองจมูก ส่วนจมูกก็มองลงมาถึงใจ และนั่งอย่างสงบเสงี่ยม
พักใหญ่ แม่เฒ่าซ่งจึงได้เอ่ยอย่างราบเรียบว่า “ฮองเฮาก็จะต้องไม่ยินดีเป็นธรรมดา องค์รัชทายาทก็ด้วย แต่ฮองเฮาเป็นแม่ของแผ่นดิน นางจะต้องมีเหตุมีผล”
แน่นอนว่าฮูหยินซ่งต้องเข้าใจความหมายของคำว่า ‘มีเหตุมีผล’ อยู่แล้ว นางอดจะกัดริมฝีปากแน่นไม่ได้ พลางว่า “หากเป็นเช่นนั้น เมื่อไจ้สุ่ยแต่งเข้าไป วันหน้าเกรงว่าจะเป็น…ภัยแฝงต่อตระกูลซ่งเช่นกัน?”
แม่เฒ่าซ่งเอ่ยอย่างราบเรียบว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่ต้องแต่งเข้าวัง ก็มิใช่สิ้นเรื่องแล้วรึ?”
ฮูหยินซ่งพลันมองเหม่อ แล้วฟังแม่เฒ่าซ่งพูดต่อไปว่า “สองวันก่อนเจ้าเขียนจดหมายหาพ่อเจ้า ก็มิใช่พูดเรื่องนี้หรอกรึ?”
“…” ฮูหยินซ่งกำผ้าเช็ดหน้าในมือแน่น มิรู้จริงๆ ว่าควรจะพูดอะไรดี!
ฮูหยินผู้เฒ่าพูดต่อไปว่า “จดหมายของเจ้านั้น แน่นอนว่าข้ามิได้อ่านหรอก ทว่า… เรื่องนี้ ดีชั่วเติ้งจงฉีก็อยู่ที่บ้านตระกูลเว่ย หากสนมเอกเติ้งคิดการเอาไว้รัดกุมแล้วจริงๆ ในความเห็นค่า มิสู้มอบเรื่องนี้ให้ตระกูลเติ้งจัดการเป็นดี”
“เพราะเหตุใด?” ฮูหยินซ่งตั้งใจกล่าว คำกล่าวนี้จะว่าก็ไปรู้สึกว่าไม่สมเหตุสมผล เห็นเพียงฮูหยินผู้เฒ่ากวาดตามาที่ตนหนหนึ่ง จึงกล่าวอย่างราบเรียบว่า “จะอย่างไรการล้มเลิกสัญญาแต่งงานก็มิใช่ชื่อเสียงที่ดีอะไร แม้ว่าฉากหน้าจะเจรจารอมชอมกันได้ แต่โดยส่วนตัวแล้วเป็นเรื่องเช่นใด ผู้ที่มีความคิดเห็นละเอียดอ่อนจะไม่รู้เชียวหรือ? แต่หากว่าตระกูลซ่งมิได้จงใจยกเลิกการแต่งงาน แต่กลับถูกคนใช้กลอุบายจงใจจับแยก…เช่นนั้นก็ไร้หนทางใดแล้ว”
“…!”
คำกล่าวนี้ของแม่เฒ่าซ่งทำให้ฮูหยินซ่งตกใจและรู้กระจ่าง เมื่อกลับมาที่ห้องของตน ฮูหยินซ่งเร่งเขียนจดหมายไปเจียงหนานอีกฉบับจนแทบรอไม่ไหว แต่กลับสั่งความบ่าวรับใช้ที่อยู่ซ้ายขวาว่า “ไปบอกคนดูแลเรือนนอก นับแต่บัดนี้ไป จงจับตาดูเรือนพักของเติ้งจงฉีเอาไว้ให้ดี… และดูด้วยว่าอาการบาดเจ็บของเขาเป็นเช่นไรแล้ว หากสามารถลุกเดินได้ ก็ให้ดูว่าในยามที่ไม่ผู้คนสังเกตเห็น ให้เขามาเรือนด้านหลังหนหนึ่ง!”
แม่นมซือรีบตอบว่า “บ่าวจะไปบอกเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
_________________________