ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง - ตอนที่ 54.1 ราชทูตมาถึง (1)
…เมื่อฮูหยินซ่งได้พบกับเติ้งจงฉีแล้ว วันต่อมาก็ได้เรียกซ่งไจ้สุ่ยและเว่ยฉางอิ๋งมาพบตน และพูดเข้าประเด็นทันใดว่า “เรื่องงานแต่งครานี้จะต้องขัดขวางเอาไว้แล้ว แม้ว่าจดหมายตอบจากทางเจียงหนานจะยังไม่มาถึง แต่คาดว่าจะต้องเห็นเช่นนี้เช่นกัน สนมเอกเติ้งบอกว่า ในวันคล้ายวันเกิดของสนมจง จะเกิดเรื่องไม่เป็นมงคลในตำหนักกลาง… เพราะตำหนักจาวฮวาซึ่งเป็นที่พำนักของสนมเอกเติ้งอยู่ทางทิศใต้ของพระราชวังเมื่อถึงยามนั้นฮองเฮาและสนมจงจะส่งคนของพวกนางเข้ามาลงมือ”
นิ่งไปสักพัก ฮูหยินซ่งจึงกล่าวต่อไปว่า “เหตุที่องค์ชายใหญ่ในรัชกาลนี้ถูกให้พ้นจากตำแหน่งก็เพราะถูกอดีตฮองเฮาเฉียนให้ร้ายว่าใช้คาถาพ่อมดหมอผีสาปแช่งฮ่องเต้! ดังนั้นหากฮ่องเต้ทรงคิดว่าพระสนมเอกไม่เป็นมงคล ต่อให้ไม่ได้ปลดนางจากตำแหน่งสนมเอก อนาคตของสกุลเติ้งก็จะดำดิ่งลงเหว! ยิ่งไปกว่านั้นองค์ชายเพียงพระองค์เดียวของสกุลเติ้งซึ่งสิ้นพระชนม์ไปแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะถูกกล่าวหาว่ากาลกินี… ตามการคาดการณ์ของพระสนมเติ้ง จะใช้เจ้าเป็นตัวแทนนาง โดยให้เจ้าเข้าวังจากทางประตูทิศใต้ในวันนั้น”
ซ่งไจ้สุ่ยพยักหน้า กล่าวว่า “ขอเพียงไม่ต้องสมรสกับองค์รัชทายาท เรื่องเหล่านี้ข้าหาได้กลัวไม่”
“ไม่” ฮูหยินซ่งมองนางหนหนึ่ง แล้วกลับส่ายหัวบอกว่า “ยามนี้เจ้าใจร้อนเกินไปแล้ว มิได้เห็นว่าคำกล่าวนี้มีช่องโหว่หรอกหรือ?”
ซ่งจุ้ยสุ่ยตกใจ แล้วฟังฮูหยินซ่งกล่าวว่า “ยังมิต้องเอ่ยถึงแผนการของฮองเฮากู้และสนมจง เหตุใดสนมเอกเติ้งจึงรู้มาตั้งนานแล้ว? จึงได้บอกว่าครานี้เพื่อให้สนมจงได้มีรอยยิ้ม ฮ่องเต้ถึงกับให้ราชองครักษ์อี้ลงใต้มาที่ชิงโจวเพื่อค้นหาคนในครอบครัวของสนมจงเป็นพิเศษ… ในสี่คนนั้นมีคนใดที่เป็นคนของฮองเฮากู้หรือสนมจง? แม้กู้อี้หรานก็แซ่กู้เช่นกัน แต่กลับเป็นเพียงคนในตระกูลกู้แห่งเมืองหลวง! ส่วนคนของตระกูลตวนมู่และตระกูลหลิวนั้นมีหรือที่ฮองเฮาจะใช้งานได้ง่ายๆ?”
“หากเจ้าเป็นฮองเฮากู้ เมื่อเห็นรายชื่อราชองค์อี้ทั้งสี่นายนี้… ทั้งที่รู้ว่ายามนี้เจ้าอยู่ที่เฟิ่งโจว และราชองค์รักษ์อี้จะไปชิงโจวก็จะต้องผ่านมาทางเฟิ่งโจว เจ้าจะไม่คำนึงถึงว่าเมื่อเติ้งจงฉีผ่านมาทางเฟิงโจวนั้นจะเกิดเรื่องใดบ้างหรือ?” ฮูหยินซ่งยิ้มเย็น แล้วกล่าวเตือนว่า “อย่าได้ลืมว่าฮองเฮากู้ก็รู้ว่าเจ้าไม่ยินยอมแต่งเข้าวังสิ!”
ซ่งไจ้สุ่ยตกใจ “เช่นนั้นทั้งหมดนี้… เดิมทีก็อยู่ในแผนการของฮองเฮา?”
“และอยู่ในแผนการของสนมเอกด้วย” ฮูหยินซ่งเอ่ยอย่างหนักใจว่า “เติ้งจงฉีเป็นหลายชายแท้ๆ ของสนมเอกเติ้ง ยิ่งไปกว่านั้นยังได้รับการดูแลจากสนมเติ้งมาแต่เล็ก! เมื่อคนของสนมเอกมาแล้ว เจ้าว่าฮองเฮาจะมิได้เตรียมการรับมือรึ? และสนมเอกมีหรือจะไม่ได้คิดถึงประเด็นนี้?”
“บ้านเราอยู่ห่างไกลจากเมืองหลวง ไม่อาจได้ยินข่าวคราวได้ทั้งหมด ไปมาก็ไม่ทันเวลา ยามนี้ก็ยังไม่อาจวางแผนที่รัดกุมได้ แต่คำกล่าวของท่านย่าของฉางอิ๋งนั้นไม่ผิด ตระกูลซ่งเป็นอันดับหนึ่งในหกตระกูลสูงศักดิ์ จึงไม่สามารถทำเรื่องยกเลิกสัญญาแต่งงานเช่นนี้ได้!” เมื่อเห็นว่าซ่งไจ้สุ่ยมีสีหนาเปลี่ยนไป ฮูหยินซ่งจึงพูดต่อไปว่า “แต่หากว่ามีผู้อื่นไม่ยินดีให้ตระกูลซ่งมีพระชายาองค์รัชทายาท แล้วจัดการลงมือทำการบางอย่าง ให้เจ้าไม่อาจแต่งเข้าวังหลวงได้ เช่นนั้นก็ไม่อาจโทษตระกูลซ่งได้!”
ซ่งไจ้สุ่ยคล้ายขบคิดบางสิ่ง แล้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นพระสนมเอกจึง?”
“มิผิด” ฮูหยินซ่งพยักหน้า กล่าวว่า “ในเมื่อเจ้ายินยอมให้ความร่วมมือ สนมเอกเติ้งมีวิธีมากมายให้เจ้าแต่งงานไม่สำเร็จ เติ้งจงฉีผู้นั้นหลักแหลมแต่ก็ใจคอเด็ดเดี่ยว เขามาเฟิ่งโจวครานี้ได้เตรียมการให้ตนกลับไปไม่ได้เอาไว้แล้ว คนประเภทนี้เมื่อถูกบีบบังคับ ก็มิใช่จะไม่กล้าลงมือกับเจ้า! เหตุที่สนมเติ้งเลิกเจ้ามารับเรื่องอัปมงคลแทนนาง ก็เพื่อเป็นการให้ข้ออ่างแก่ตระกูลซ่งว่า… เรื่องแต่งงานหนนี้ถูกตระกูลเติ้งทำลาย มิใช่เพราะตระกูลซ่งต้องการจะล้มเลือกการแต่งงาน เข้าใจหรือไม่?”
เว่ยฉางอิ๋งยิ้มพลางกล่าวว่า “จะว่าไปเรื่องนี้ก็เป็นการเสียสละขอองตระกูลเติ้ง” จากนั้นก็เลิกคิ้ว แล้วว่า “แต่ข้าก็ยังรู้สึกว่าสนมเอกมั่นใจเกินไปหน่อย เรื่องที่จะเกิดขึ้นในอีกสองเดือน ไยนางจึงได้แน่ใจนัก? ประการต่อมาเมื่อท่านพี่ไจ้สุ่ยไปเมืองหลวง แม้จะส่งคนไปคอยจับตาดูตลอดทาง หากข้าเป็นฮองเฮา ในเมื่อรู้ว่าท่านพี่จะเข้าวังในวันคล้ายวันเกิดของสนมจง เหตุใดจึงไม่ทำให้เลื่อนไปสักวัน? ว่าไปแล้วเรื่องอัปมงคลที่จะเกิดในวันคล้ายวันเกิดของสนมจงนั้น…สนมจงจะไม่ได้รับผลกระทบบ้างหรอกหรือ?”
“ใครบอกเจ้าว่าเรื่องอัปมงคลจะต้องมีเพียงฮองเฮาและสนมจงเป็นผู้จัดการ?” ฮูหยินซ่งชี้ไปหานางอย่างเบามือ แล้วเอ่ยอย่างเวทนาว่า “จริงอยู่ว่าเราต้องใช้ตระกูลเติ้ง แต่ก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องฟังพวกเขาไปเสียทุกเรื่องนี่!” สนมเอกเติ้งว่าเช่นนี้ ก็แสดงว่านางยินยอมจะรับความผิดเรื่องการทำลายการแต่งงานของไจ้สุ่ยและตำหนักตะวันออก เพื่อปกป้องหน้าตาของตระกูลซ่ง! ความคิดที่ว่านี้แท้จริงแล้วก็เป็นเพียงฉากบังหน้าเท่านั้น”
เว่ยฉางอิ๋งมองไปยังซ่งไจ้สุ่ย “เช่นนั้นท่านพี่ไจ้สุ่ยจะทำเช่นไรเล่า?”
“ปฏิเสธไม่ยอมแต่งเข้าวังหลวงก็ดี เข่าเจ็บไม่หายเดินเหินไม่สะดวก็ดี” ฮูหยินซ่งมองหลานสาวคราหนึ่ง แล้วว่า “อย่างไรยังพอมีเวลา รอให้ไจ้เถียนมาถึงแล้ว ข้าจะสอบถามเรื่องในเมืองหลวงอย่างละเอียด จึงค่อยตัดสินใจ”
เมื่อได้ยิน ‘เข่าเจ็บไม่หาย’ สี่คำ ซ่งไจ้สุ่ยกระอั่กกระอ่วนใจจนหน้าแดงขึ้นมา กล่าวว่า “ก่อนนี้หลอกท่านอา ข้า…”
“เกรงว่าเจ้าเด็กโง่นี่เป็นคนออกความคิดให้เจ้าล่ะสิ?” ฮูหยินซ่งยิ้มครึ่งไม่ยิ้มครึ่ง มองดูหลานสาวซึ่งฉลาดหลักแหลมและใจกว้างมาโดยตลอด มีอาการทำอะไรไม่ถูกเมื่อถูกพูดแทงใจดำ ในใจรู้สึกขบขันแต่ก็รู้สึกวางตัวไม่ถูกอยู่บ้าง เพราะเมื่อคิดว่าวันก่อนตนยังหลงนึกว่าสามารถปิดบังแม่เฒ่าซ่งได้เป็นอย่างดี ไม่คิดว่าเมื่อแม่เฒ่าซ่งชี้ประเด็นออกมา จึงได้รู้ว่าทุกสิ่งล้วนในอยู่สายตาของฮูหยินผู้เฒ่า…อย่างไรเสียเมื่ออายุร่วงโรยไปก็มิใช่ว่าไม่มีขอดี ปัญญาที่สั่งสมมาตามอายุคือสิ่งที่พรสวรรค์ไม่อาจจะทดแทนได้
แม้ซ่งไจ้สุ่ยจะมีปัญญาล้ำเลิศทั้งยังได้รับการอบรมเลี้ยงดูมาอย่างดี ทว่าอย่างไรก็อายุยังน้อยไปสักนิด เมื่อคิดถึงตรงนี้ ยามเมื่อฮูหยินซ่งอยู่ต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่าและถูกนางรุกไล่นั้นก็ได้รับการปลอบโยนเพียงน้อยนิด ตนจึงไม่กล้าจะหัวเราะเยาะซ่งไจ้สุ่ยแล้ว หากแต่เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เมื่อครู่นี้ได้รับข่าวคราวมาแล้ว อีกสามวันราชทูตจะมาถึง พวกเจ้าจงอย่าคิดฟุ่งซาน จงเตรียม…ทุกสิ่ง…เอาไว้ให้ดี อย่างไรก็มีผู้ใหญ่อย่างพวกเราอยู่!”
เว่ยฉางอิ๋งหัวเราะฮิๆ พลางพยักหน้า ซ่งไจ้สุ่ยก็ระบายลมออกมายาวๆ แต่กลับรีบลุกขึ้นคราวะฮูหยินซ่งหนหนึ่ง โดยไม่สนใจว่าฮูหยินซ่งจะพยายามขัดขวางนางไว้เพียงใด แล้วยิ้มหวานพลางว่า “ข้าเชื่อในตัวท่านอา!”
นางเงยหน้าขึ้น พอแย้มยิ้มแววตาก็เป็นประกาย ความรู้สึกพึ่งพาและซาบซึ้งของซ่งไจ้สุ่ยกับท่าทีมั่นอกมั่นใจของเว่ยฉางอิ๋งที่แสดงออกมาในเวลาเดียวกันช่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทำให้ฮูหยินซ่งเสียสมาธิ และในระหว่างนั้นนางจึงได้ลอบตัดสินใจอย่างแน่วแน่อยู่ในใจว่าไม่ว่าจะอย่างไรก็จะต้องช่วยหลานสาวที่น่าสงสารผู้ให้จงได้… ฮูหยินซ่งหาได้คิดว่าบุตรสาวของตนไม่ได้สำนึกขอบคุณ แต่กลับรู้สึกสะท้อนใจที่นางเว่ยจากไปเร็วเกินไป หลานสาวแสนดีเช่นนี้ไร้มารดาคอยปกป้องคุ้มครอง นางหวาดกลัวการแต่งเข้าตำหนักตะวันออกเพียงนั้น แต่กลับต้องอดทนเอาไว้ไม่กล้าเอ่ยกับตน…คงเพราะเกรงจะถูกปฏิเสธ
ยามนี้ตนเองซึ่งเป็นอาเพิ่งจะตัดสินใจยื่นมือเข้าช่วยเอาเมื่อตอนที่สถานการณ์มีแนวโน้มเปลี่ยนไป แต่กลับทำให้นางซาบซึ่งเป็นนักหนา หลานสาวที่รู้ความเช่นนี้ กลับยิ่งทำให้ฮูหยินซ่งรู้สึกผิดยิ่งขึ้น
“ได้แต่หวังว่าไจ้เถียนจะนำข่าวดีมา ให้เด็กทั้งสองคนมีที่พึ่งพิงดีๆ สักแห่งเถิด” ฮูหยินซ่งกล่าวกับแม่นมซือด้วยความกลัดกลุ้ม หลังจากส่งแม่นางทั้งสองออกไปแล้ว