ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง - ตอนที่ 54.2 ราชทูตมาถึง (2)
เวลาสามวันไม่นานก็มาถึงแล้ว
วันนี้รุ่ยอวี่ถังเปิดประตูกลางของจวนออกเพื่อน้อมรับราชโองการ เว่ยฮ่วนนำอยู่ข้างหน้าลูกชายและหลานชาย ส่วนพวกสตรีในตระกูลอยู่แถวหลัง เมื่อถูกพวกผู้ชายที่อยู่ข้างหน้าบังไว้หมด ยิ่งทำให้พวกสตรีอยู่ห่างจากราชทูตที่อ่านราชโองการไกลออกไปอีก ยามรับราชโองการนั้นยังต้องคุกเข่าลงกับพื้น ดั้งนั้นเมื่อรับราชโองการประกาศเกียตริคุณให้แก่เว่ยฮ่วนและเว่ยเซิ่งเหนียนเรียบร้อยแล้ว จึงมิได้มองเห็นใบหน้าของราชทูตอย่างชัดเจน แม้แต่สายตาเฉียบคมของเว่ยฉางอิ๋ง ก็ทำได้เพียงอาศัยช่วงเวลาหมุนตัวเพียงสั้นๆ เขย่งปลายทำลอบมองเห็นแค่เพียงชุดสีม่วงของขุนนางใหญ่เท่านั้น
ครานี้เว่ยห่วนได้นำบุตรชายและหลายชายมาห้อมล้อมต้อนรับราชทูต พวกสตรีต่างต้องตามฮูหยินซ่งกลับเรือนหลังแล้ว
เครื่องแต่งกายบนตัวของเว่ยฉางอิ๋งได้แม่เฒ่าซ่งและฮูหยินซ่งใช้เวลาคัดเลือกและแก้ไขให้หลายวัน หลังจากค่อยๆ ลองทีละชิ้นแล้วจึงได้ตัดสินใจเลือก นางจัดแจงเสื้อผ้านั่งสงบเสงี่ยมรอที่เรือนเสียนซวงอยู่กว่าหนึ่งชั่วยาม จนกระทั่งนึกว่าเสิ่นโจ้วและท่านปู่จะคุยกันออกรส แล้ววันนี้ไม่คิดจะพบตนเสียแล้ว เมื่อนั้นเองจึงเห็นซวงหลี่มาเชิญนาง “ท่านประมุขและฮูหยินผู้เฒ่าให้คุณหนูใหญ่ไปคารวะผู้ใหญ่ในโถงเจ้าค่ะ”
แม้จะบอกว่าได้เตรียมตัวมาตั้งนานแล้ว และวันนี้ก็หาได้ต้องไปพบกับพ่อแม่สามี แต่เมื่อเวลาจวนเจียน เว่ยฉางอิ๋งก็ยังรู้สึกตื่นเต้นอยู่บ้าง แล้วเร่งให้นางเฮ่อช่วยตรวจความเรียบร้อยของอาภรณ์และหน้าตาให้ตนอีกครั้ง ความจริงแล้วนางเฮ่อรู้สึกเป็นกังวลกับนางอยู่ในใจ แต่ในยามนี้ก็จะต้องสงบใจ พลางยิ้มและกล่าวว่า “คุณหนูใหญ่งดงามมาแต่กำเนิด และเครื่องแต่งกายในวันนี้ก็ยังเป็นฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยินเป็นผู้จัดหามาให้ ยังเกรงว่าตระกูลเสิ่นจะพยายามจับผิดอีกหรือ?”
ซวงหลี่กล่าวอีกว่า “ข้าน้อยเข้ามา ยังมองคุณหนูใหญ่จนเกือบเหม่อเลยเชียว!”
…ความจริงแล้วเครื่องแต่งกายของเว่ยฉางอิ๋งในวันนี้มิได้มีสีสันฉูดฉาด จะอย่างไรหนนี้ก็เป็นการเข้าคารวะเสิ่นโจ้ว หาได้เข้าพบเสิ่นจั้งเฟิงไม่ แม้พวกผู้อาวุโส จะชอบให้ลูกหลานแต่งกายสีสันสดใส แต่นี่เป็นการพบกันครั้งแรก และเว่ยฉางอิ๋งก็จะไปเป็นสะใภ้ที่บ้านตระกูลเสิ่น ทุกอย่างจึงเน้นที่ความภูมิฐานสง่างามเป็นหลัก
ดังนั้นแม่เฒ่าซ่งจึงได้เลือกเสื้อคอป้ายตัวสั้นสีน้ำทะเลเข้มปักลายกิ่งก้านไม้ที่วางตัวเป็นภาพแมนดาล่า[1] ข้างนอกทับด้วยเสื้อส้างหรูตัวสั้นคอป้ายแขนกว้างสีเหล้าแดงระเรื่อปักรูปใบชาขาว ตัวท่อนล่างสวมกระโปรงหลิวซานจีบรอบสีงาช้าง ที่เอวคาดด้วยผ้าพื้นสีม่วงเข้มอมแดงปักดิ้นทองลายเมฆขดทรงสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด มีผ้าคล้องแขนสีเขียวหยกลายดอกไม้เล็กๆ เวลานี้ฤดูร้อนเพิ่งจะผ่านไป อากาศเริ่มหนาว แต่ฤดูใบไม้ร่วงก็ยังไม่ปรากฏชัดเจน ในรุ่ยอวี่ถังยังคงมีดอกไม้บานสะพรั่งอย่างที่เคย ดอกสีแจ่มชัดใบหนาแน่น เป็นการขับให้ตัวนางดูเรียบง่ายและสง่างามได้พอดิบพอดี ทำให้เว่ยฉางอิ๋งยิ่งดูภูมิฐานเป็นพิเศษ
แต่ยังได้คำนึงถึงว่าเว่ยฉางอิ๋งยังเป็นสาวน้อย ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อแต่งกายเรียบง่ายแล้ว ก็จะไม่สามารถขับเอาความสง่างามออกมาให้เห็นได้ ดังนั้นฮูหยินซ่งจึงได้เสนอให้เปลี่ยนหยกประดับเป็นหยกเขียวเหลือบห้าสีรูปผีเสื้อที่มีสีสันแวววาว สายห้อยหยกประดับก็เปลี่ยนเป็นเชือกถักร้อยลูกปัดสีแดงทับทิมเลือดที่มีสีสด
ส่วนเครื่องประดับศีรษะ ปิ่นคู่หยกสีเลือดที่ฮูหยินซูให้มาคู่นั้นก็จะต้องนำมาปักด้วย… แม่เฒ่าซ่งเลือกเสื้อและกระโปรงที่สีสันไม่เข้มนักให้หลานสาวก็เพื่อไม่ให้โดดเด่นกว่าปิ่นคู่นี้ด้วยนั้นเอง ยังถือเป็นการให้เกียรติแก่ปิ่นและต่างหูที่ฮูหยินซูมอบให้มา รวมทั้งพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อแสดงให้เห็นว่าเว่ยฉางอิ๋งนั้นคู่ควรกับปิ่นคู่ซึ่งมีชื่อเสียงยิ่งในบรรดาตระกูลสูงศักดิ์คู่นี้อย่างแน่นอน
ความตั้งใจของแม่เฒ่าซ่งนั้นช่างล้ำลึก ยามนี้บนช่อผมที่แยกม้วนเป็นสองมวยซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของสาวน้อยที่ยังมิได้ออกเรือนมีเพียงปิ่นคู่ปักอยู่ และไม่มีเครื่องประดับใดอื่นอีก
มวยผมที่ดำขลับดังปีกกาและปิ่นหยกสีเลือดสีสดที่ห้อยระย้าลงมา ช่างขับกันยิ่ง ดูคล้ายเรียบง่าย แต่กลับเป็นเพราะสองสีเข้มที่ตัดกัน กลับทำให้ผู้พบเห็นประทับใจเป็นยิ่งนัก เดิมทีเว่ยฉางอิ๋งก็มีใบหน้างดงามผิวพรรณผุดผ่อง เมื่อยิ่งถูกขับขึ้นมาด้วยผมสีขนกาและปิ่นสีเลือด ยิ่งทำให้คิ้วดูเข้มริมฝีปากแดง แก้มผ่องดังหิมะ สันจมูกเด่นชัด เห็นแล้วยากจะลืมเลือน
นางถูกห้อมล้อมไปด้วยบ่าวไพร่ และมาถึงเรือนหลังด้วยความสง่างาม ซวงหลี่เขาไปรายงานก่อน ไม่นานนัก จึงได้ออกมาและพยักหน้า เว่ยฉางอิ๋งสูดหายใจลึกหนหนึ่ง พลางจัดจีบกระโปรง และวางท่าทีให้สุภาพเรียบร้อย แล้วเดินเข้าไปอย่างสง่าผ่าเผย…
เรือนหลังมีการจัดวางแจกันดอกไม้สนเพิ่มเติมจากเดิมบ้าง ทั้งยังเปลี่ยนพรมปูพื้นผืนใหม่ นอกจากนี้ก็มิได้มีสิ่งใดแตกต่างไปจากยามปกติ แม่เฒ่าซ่งจัดที่นั่งทางซ้ายมือของที่นั่งหลักไว้ให้เว่ยฮ่วน ตนเองนั่งอยู่ทางด้านขวา ด้านหลังมีเฉินหรูผิงยืนรออยู่ สาวใช้หลักของฮูหยินผู้เฒ่า ทั้งซวงจูและซวงเจียงต่างคอยอยู่ข้างที่นั่งทั้งสองข้างของนายตน
เว่ยฉางอิ๋งรู้ว่าหนึ่งในคนที่นั่งในที่นั่งสองที่นี้จะต้องเป็นเสิ่นโจ้ว ซึ่งยามนี้กำลังจับจ้องมาสำรวจตน นางจึงไม่กล้าวอกแวก หันมาคารวะเว่ยฮ่วน และแม่เฒ่าซ่งด้วยดวงตาตรงนิ่งไม่ไหวติง เมื่อคารวะท่านปู่และท่านยาแล้ว… แม่เฒ่าซ่งยิ้มน้อยๆ พลางแนะนำนาง “ยังไม่รีบมาพบท่านอาตระกูลเสิ่นของเจ้า?”
เมื่อได้ฟังคำของท่านย่า เว่ยฉางอิ๋งจึงได้หันตัวไปทางที่นั่งของแขกสำคัญเพื่อคารวะ และเอ่ยเรียกท่านอา นางโค้งตัวต่ำ แล้วพลันได้ยินเสียงหัวเราะก้องกังวานพลางเอ่ยว่า “เอ๋ นี่คือแม่นางที่สู่ขอให้แก่หลานจั้งเฟิงของบ้านข้ารึ? ช่างงดงามทั้งใบหน้าและกริยา สมแล้วกับที่เป็นบุตรสาวของสกุลเว่ย…ลุกขึ้นเถิด ต่างก็เป็นคนครอบครัวเดียวกัน ไม่ต้องมากพิธี”
เสียงนี้กังวานดังระฆัง มีพลังเหลือล้น พูดได้ว่ายามเมื่อพูดจาเสียงก็ดังสะนั่นห้องไปหมด แต่ลำพังเพียงเสียงนี้ ช่างเข้ากับภาพของสนามรบกว้างไกลสุดลูกหูลูกตาที่มีเสียงร้องตะโกนอย่างดุดันยามเข้ารบเช่นในความคิดของคนทั่วไปทุกประการ
เว่ยฉางอิ๋งอดจะคิดไปถึงว่าที่สามีของตนผู้นั้นไม่ได้ ว่าจะมีลักษณะเป็นเช่นนี้ด้วยหรือไม่? หากเป็นเช่นนี้ หากเปลี่ยนเป็นบุตรสาวตระกูลอื่นที่แสนบอบบาง ขวัญอ่อนสักหน่อย อย่างเช่นจูหลานที่มาคราวก่อน หากถูกเจียงเจิงตะคอกเสียงดังใส่หนหนึ่งก็จะต้องตกใจจนล้มทั้งยืนเป็นแน่…
ในเมื่อต้องเป็นสะใภ้ตระกูลเสิ่น ไม่อาจไม่ถือสาเลยจริงๆ!
นางกำลังคิดฟุ้งซ่านอยู่ว่า เพื่อพิสูจน์ว่าตนเป็นบุตรสาวตระกูลใหญ่ที่สุภาพสง่างาม และสามารถแบกรับตำแหน่งนายผู้หญิงของตระกูลเสิ่นได้อย่างแน่นอน! ยิ่งไปกว่านั้นในยามนี้ก็ยังคงมีความเหนียมอายเช่นเด็กสาวที่ยังไม่ออกเรือน นางจึงทำได้เพียงฝืนใจข่มความต้องการที่อยากจะเงยหน้าขึ้นมาดูสักหน่อยว่าเสิ่นโจ้วมีหน้าตาเป็นเช่นไรกันแน่ ทั้งนี้ก็เพราะความร้อนใจใคร่ศึกษาดูให้ละเอียดว่าหน้าตาของเสิ่นจั้งเฟิงน่าจะเป็นเช่นไรนั่นเอง จึงได้แต่ก้มหน้าลงเล็กน้อย สิบนิ้วเรียวที่ถนัดในการถือมีดซานเตา[2]และกระบี่ชิงเฟิงกำผืนผ้าเช็ดหน้าจิ่นซิ่วสีสดแน่น และเพียงยืนอยู่กับที่อย่างสงบนิ่ง… เสิ่นโจ้วมิได้รู้ว่าว่าที่หลานสะใภ้กำลังมีความคิดแผลงๆ มากมายอยู่ในใจ เมื่อเห็นรูปโฉมนางงดงาม กริยามารยาทเรียบร้อยก็รู้สึกพึ่งพอใจยิ่ง กลับเอ่ยชมนางจากใจจริงว่าเรียบร้อยสง่างามไปสองสามประโยค จนเว่ยฮ่วนและแม่เฒ่าซ่งต่างต้องกล่าวถ่อมตนแทนนางไปอีกสองสามประโยค
เว่ยฉางอิ๋งเสียสมาธิไปฟังคำของท่านปู่และท่านย่า และทำทีขวยเขินให้รับกับสถานการณ์ รอจนท่านปู่ท่านย่าและเสิ่นโจ้วกล่าวคำชื่นชมในรูปโฉมและกริยามารยาทของตนตามมารยาทเสร็จแล้ว ก็คาดว่าท่านย่าจะสั่งให้ตนออกไปหรือไม่ก็เรียกตนให้มาอยู่ข้างๆ นาง…จากนั้น… การเข้าคารวะผู้ใหญ่ของนางครั้งนี้ก็จวนจะสมควรแก่เวลาแล้ว
ไม่คิดว่าเมื่อการสนทนาตามมารยาทนั้นจบแล้ว แม่เฒ่าซ่งกลับชี้ไปทางที่นั่งที่อยู่ถัดจากของเสิ่นโจ้ว อมยิ้มแล้วว่า “นี่คือลูกผู้พี่ พี่ใหญ่ซ่งของเจ้า ก่อนนี้ยามเจ้ายังห่อผ้าอ้อมของทารกอยู่เคยได้พบกัน หลังจากนั้นเมื่อพวกเรากลับเฟิ่งโจวแล้ว หลายปีมานี้ก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย คิดว่าคงจะจำไม่ได้แล้ว”
___________________
[1] แมนดาล่า เป็นภาพวงกลมที่มีลวดลายต่างๆ อยู่ภายใน
[2] ซานเตา คือมีดพกขนาดกลาง มีใบมีโค้งเล็กน้อย