ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง - ตอนที่ 55 เหล่าผู้ใหญ่
“ที่แท้ลูกผู้พี่ใหญ่ซ่งก็มาด้วยหรือ?” เว่ยฉางอิ๋งนั้นรู้อยู่แล้วว่าซ่งไจ้เถียนก็มาด้วย เพียงแต่วันนี้ต้องเข้าคารวะเสิ่นโจ้ว ด้วยความตื่นเต้นเกินไปจึงกลับลืมเรื่องของซ่งไจ้เถียนเอาไว้บนเมฆชั้นเก้าโน่น ยามนี้ได้แม่เฒ่าซ่งย้ำเตือนจึงรีบหันตาไปมองอย่างรวดเร็ว พลางโค้งตัวลงคาราวะ “ข้าเคยได้ยินท่านแม่เอ่ยถึงท่านลุงและท่านพี่ทั้งสองอยู่บ่อยครั้ง น่าเสียดายที่แต่ก่อนยังเล็กนัก หาได้จดจำสิ่งใดได้ไม่ เดิมทีนึกว่าหลังจากนี้จึงจะได้พบ ไม่คิดว่าตอนนี้ก็จักได้พบกับลูกผู้พี่ใหญ่แล้ว”
แม้เมื่อเทียบกับการเข้าคารวะเสิ่นโจ้วก่อนหน้านี้ เว่ยฉางอิ๋งกลับดูสนิทสนมกับซ่งไจ้เถียนอย่างเห็นได้ชัด แต่เรื่องนี้กลับมิได้เป็นการทำให้เสิ่นโจ้วรู้สึกขัดเคือง อย่างไรเสียเว่ยฉางอิ๋งก็ยังมิได้ออกเรือน แม้หากว่ากันตามฐานะจริงๆ นางก็นับเป็นคนของตระกูลเสิ่นแล้ว กระทั่งเสิ่นโจ้วเองก็เพิ่งจะกล่าวเช่นนั้น ทว่าแม้ยามยังมิได้เข้าประตูอย่างเป็นทางการ หากสงวนท่าทีสักหน่อยก็เป็นธรรมเนียมที่คุณหนูตระกูลใหญ่พึงปฏิบัติ ทั้งยิ่งทำให้เห็นเกียรติภูมิที่สูงส่งของบุตรสาวสายเลือดตรงของตระกูลเว่ย
ยิ่งไปกว่านั้นเสิ่นโจวเป็นญาติผู้ใหญ่ของนาง ทั้งยังเพิ่งได้พบหน้ากันหนแรก มีเว่ยฮ่วนและแม่เฒ่าซ่งอยู่ด้วย หากเว่ยฉางอิ๋งพูดมากกลับจะเห็นว่าไม่สำรวมเสียอีก ซ่งไจ้สุ่ยและเว่ยฉางอิ๋งเป็นคนในรุ่นเดียวกัน เป็นลูกพี่ลูกน้องแท้ๆ แม่เฒ่าซ่งก็ยังบอกว่ายามที่เว่ยฉางอิ๋งยังห่อผ้าอ้อมอยู่ก็เคยได้พบลูกผู้พี่แล้ว การแสดงความสนิทสนมในยามนี้สักเล็กน้อยก็ทำให้เห็นความเป็นกันเองและเข้ากับคนง่ายของเว่ยฉางอิ๋ง
ยามที่เว่ยฉางอิ๋งกวาดตามองไปนั้น เห็นว่าลูกผู้พี่ของตนผู้นี้หน้าตาหล่อเหลา ท่าทีสุขุม มีกลิ่นอายของผู้คงแก่เรียนเด่นชัดอยู่บนหน้าผาก เพียงมองก็รู้ว่าเป็นคนในตระกูลผู้มีการศึกษา บนตัวสวมชุดยาวสีแดงระเรื่อปักลายอย่างชุดขุนนาง บนศีรษะสวมหมวกผ้าแบบอ่อน คาดเอวด้วยเข็มขัดหยก นิ้วหัวแม่มือยังสวมแหวนยกหนา…นั่งคำนับตอบด้วยท่าทีสำรวม แต่ก็มิได้ไม่มีท่าทีเป็นกันเองกับตระกูลเว่ย มีสง่าราศีของคนในตระกูลสูงศักดิ์ตั้งแต่หัวจรดเท้า แม้จะความสง่างามจะมิได้โดดเด่นจนเป็นที่สนใจของทุกสายตา แต่ก็กลับหาที่ติมิได้เลย
ตามคำที่แม่เฒ่าซ่งและฮูหยินซ่งสอนสั่งอยู่ทุกวี่วัน คนเช่นนี้บางทีมิได้มีข้อบกพร่องให้เห็นเด่นชัด ทว่ากลับเป็นคนระวังตัวเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าเรื่องใดก็จะมีการวางแวนและคิดการเอาไว้ก่อน ไม่ใคร่ยินดีหากถูกผู้ใดต่อต้าน เว่ยฉางอิ๋งจึงคิดว่า ไม่รู้ว่าลูกผู้พี่ผู้นี้จะหัวรั้นเช่นท่านลุงหรือไม่?
แม้เว่ยฉางอิ๋งจะคาดเว่าลูกผู้พี่ผู้นี้มิใช่คนช่างเจรจาสักเท่าใดนัก แต่ยามนี้ซ่งไจ้เถียนกลับมีท่าทีอ่อนโยนบอกให้ลูกผู้น้องลุกขึ้น ยิ้มน้อยๆ พลางว่า “ลำบากให้น้องฉางอิ๋งมาพบแล้ว ท่านพ่อก็คิดถึงท่านอาอยู่เสมอ จะว่าไปแล้วเมื่อได้เจอน้องฉางอิ๋งคราแรกนั้น น้องยังไม่ครบเดือนเลย เพียงพริบตายามนี้ก็จะออกเรือนแล้ว เวลาช่างผ่านไปรวดเร็วนัก ครานี้มาเฟิ่งโจวท่านพ่อยังได้สั่งให้ข้านำของกำนัลมาให้น้องฉางอิ๋งเป็นพิเศษด้วยชิ้นหนึ่ง ถือเสียว่าให้ของกำนัลยามแต่งออกเป็นการล่วงหน้า”
คำกล่าวของเขาอ่อนโยนสีหน้าอบอุ่น ทำให้คนรู้สึกดีด้วยได้อย่างง่ายดายนัก เป็นการแสดงความเอ็นดูต่อผู้มีศักดิ์เป็นน้องอย่างที่บุตรตระกูลใหญ่พึงมี เพียงแต่ถูกเอ่ยถึงเรื่องที่ตนจะออกเรือนต่อหน้าธารกำนัล แก้มนวลดังหยกเนื้อมันแพะของเว่ยฉางอิ๋งก็ยังมีสีแดงระเรื่อฉาบขึ้นมา พลางหันหน้าออกน้อยๆ กรอกตาขึ้นบนเล็กน้อย แม่เฒ่าซ่งพลันหัวเราะออกมาในทันใด “อวี่วั่ง เกรงใจเกินไปแล้ว เจ้าเองก็ต้องลำบากเดินทางมา”
จากนั้นจึงได้เรียกเว่ยฉางอิ๋งมายืนข้างหลังตน
เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกเสียใจยิ่งที่ตนยังไปไหนไม่ได้ แต่ใบหน้ากลับยังต้องทำทีสำรวม แล้วเดินไปยืนตามคำ นางเพิ่งจะยืนเข้าที่ ก็ได้ยินเว่ยฮ่วนเอ่ยปากกับเสิ่นโจ้วว่า “เรื่องการรบกับหัวเมืองทางเหนือครานี้…”
กลายเป็นว่ายังคุยธุระกันไม่ทันเสร็จ แต่กลับไม่รู้เพราะเหตุใจจึงได้เรียกเว่ยฉางอิ๋งเข้ามาคาราวะเสียก่อน
อาศัยจังหวะนี้ เว่ยฉางอิ๋งจึงลอบสังเกตเสิ่นโจ้วอยู่เงียบๆ
อนาคตท่านอาท่านนี้อายุราวครึ่งร้อย ใบหน้านั้นดูกล้าหาญชาญชัยใหญ่โตเช่นเดียวกับเสียงของเขาดังว่า หากพิจารณากันตามตรง เสิ่นโจ้วก็นับว่ามีโหงวเฮ้งสมส่วนงดงาม คิ้วกว้างปากได้รูป แม้ผมและเคราที่ฟูดังสิงโต สีผิวดังทองแดงจะอำพรางใบหน้าไว้บ้าง แต่กลับยังมิอาจปิดบังไอสังหารที่พลุ่งพล่านเอาไว้ได้… เมื่อเอ่ยถึงเรื่องที่พึงพอใจ เขาก็ถลกแขนเสื้อขึ้นมาอย่างตื่นเต้นยินดี กระทั่งน้ำชาหยดเปื้อนอยู่ที่หน้าอกเขาก็ไม่ได้ใส่ใจ ความหยาบกระด้างและไม่ใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ ทั้งหมดทั้งมวลช่างห่างไกลกับชายรูปงามดูสง่าผิวพรรณขาวเนียนซึ่งเป็นที่เชิดชูของคนในตระกูลสูงศักดิ์ในยามนี้ลิบลับ…
เว่ยฉางอิ๋งซึ่งได้รับอิทธิพลทางความคิดมาอย่างลึกซึ้งว่าเหล่าตระกูลสูงศักดิ์นั้นให้ความสำคัญกับความงดงาม แต่ไรมามาตรฐานของชายหนุ่มก็จะต้องนำไปเทียบกับใบหน้าและความสง่างามของเว่ยเจิ้งหง เมื่อได้เห็นใบหน้าของท่านอาท่านนี้ชัดเจนแล้ว นางจึงรู้สึกผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง
…ช่างเถิด อย่างไรข้าก็มิได้วาดหวังว่าเสิ่นจั้งเฟิงจะเป็นที่พึงพอใจของข้า
ก็แค่สามี ขอเพียงให้ถูกข้ากำราบจนอยู่หมัดเป็นพอ!
นางปลุกปลอบตนเองเช่นนี้
ด้วยความผิดหวังที่มหาศาลเช่นนี้ เว่ยฉางอิ๋งถึงกับไม่มีแก่ใจไปฟังการสนทนาของพวกผู้ใหญ่ จวบจนเกือบถึงยามจุดตะเกียง แล้วมีบ่าวไพร่เข้ามารายงาน จึงได้ดึงสตินางกลับมา “ท่านซ่งเจ้ากรมธุรการและบุตรชายของเขาซ่งตวนมาถึงเรือนหน้าแล้ว บอกว่าต้องการขอพบราชทูตเจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งพลันตกใจ เห็นเพียงท่านปู่ลูบเคราที่คางอย่างสงบ พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ ว่า “อ่ะ พวกเขาคงจะเสร็จธุระแล้ว… ในเมื่อเป็นเช่นนี้…อย่างนั้น…ตานเซียวท่านคิดเห็นเช่นไร?”
ตานเซียวคือนามรองของเสิ่นโจ้ว ซึ่งตามธรรมเนียมแล้วผู้ใหญ่จะขานนาม ส่วนผู้อยู่ในรุ่นเดียวกันนั้นขานนามรอง เหตุที่เว่ยฮ่วนเรียกขานเขาเช่นนี้ย่อมเป็นการให้เกียตริต่อราชทูต แต่แม้ว่าเสิ่นโจ้วจะมีอายุครึ่งร้อยแล้ว ทั้งนับรุ่นและนับอายุก็ยังมิเท่ากับเว่ยฮ่วน อีกทั้งสองตระกูลก็กำลังจะเป็นดองกัน ดังนั้นจึงมิได้วางท่าแต่อย่างใด พลันรีบเอ่ยอย่างถ่อมตนว่า “ท่านประมุขเว่ย ขานนามรองของข้าเถิด” จากนั้นจึงตอบไปว่า “ยามนี้ฟ้ามืดแล้ว ข้าก็รู้สึกเหนื่อยล้ายิ่ง เกรงว่าไร้เรี่ยวแรงจะประกาศราชโองการ มิสู้ให้… ท่านเจ้ากรมซ่งโปรดรอไปเสียก่อนสักคืน วันพรุ่งจึงค่อยอ่านราชโองการประกาศเกียรติคุณแก่พวกเขาพ่อลูก?”
เว่ยฮ่วนยิ้มอย่างสุขมเยือกเย็น แล้วว่า “ก็ควรเป็นเช่นนั้น วันนี้พวกต้องเร่งเดินทาง ยามนี้ก็ค่ำแล้ว เร่งรีบประกาศราชโองการ กลับดูไม่งาม… ซ่งหานและซ่งต่วนต่างก็เป็นผู้มีเหตุมีผล จักต้องมิได้เห็นว่าผิดแปลกเป็นแน่”
ทั้งสองคนสบตากันแล้วยิ้ม เว่ยฮ่วนพยักหน้าต่อทุกคนในโถง “ไปกันเถิด”
บ่าวที่เข้ามาบอกข่าวก่อนนี้เข้าใจแล้ว จึงได้โค้งตัวแล้วว่า “ข้าน้อยจะไปบอกกล่าวกับท่านเจ้ากรมซ่งพ่อลูกบัดเดี๋ยวนี้”
ได้ยินถึงตรงนี้ เว่ยฉางอิ๋งพอจะเข้าใจแล้ว…
ด้วยแผนการของจือเปิ่นถาง รุ่ยอวี่ถังรู้อยู่เต็มอกว่าซ่งหานและซ่งตวนแย่งเอาไพร่พลของโม่ปินเว่ยซึ่งเป็นสามัญชน แต่เพื่อมิให้ตกหลุมพรางของเว่ยฉี รุ่ยอวี่ถังจึงมิอาจประกาศออกไปได้ แต่รุ่ยอวี่ถังก็หาใชว่าจะไม่ทำการใดเลย โดยเฉพาะเมื่อขุนนางที่มาประกาศเกียรติคุณที่เฟิ่งโจวในครานี้เป็นเสิ่นโจ้ว… ก่อนหน้านี้เว่ยฉางเฟิงเพิ่งจะดูแลส่งพี่สาวทั้งสองกลับมาจากเขาไผ่น้อย จากนั้นก็ไปเชิญเติ้งจงฉีมารักษาตัวที่บ้านตระกูลเว่ยอีก และมิใช่ว่ายังไม่ทันไรก็ได้รับคำสั่งให้ไปแสดงความชื่มชมและให้เกียรติโม่ปินเว่ยผู้นั้นในทันทีอีกหรือ?
ขอเพียงความจริงไม่ถูกเปิดโปง จนยามนี้ซ่งหานและซ่งตวนต่างก็ยังคงคิดว่าตนได้สร้างคุณงามความดีอันใหญ่หลวง ว่ากันตามจริงแล้ว เมื่อเสิ่นโจ้วอ่านราชโองการประกาศเกียรติคุณแก่เว่ยฮ่วนและเว่ยเซิ่งเหนียนแล้ว แม้ไม่ได้อ่านราชโองการประกาศเกียรติคุณแก่ซ่งหานพ่อลูกในทันที ก็ควรเรียกพวกเขามาที่รุ่ยอวี่ถัง กล่าวคำปลุกปลอบให้กำลังใจสักสองสามประโยคเสียก่อน… แม้เสิ่นโจ้วจะมิได้เป็นคนเอ่ยถึง เว่ยฮ่วนก็ควรจะเป็นคนกล่าว เพื่อเป็นการแสดงว่าพวกเขาซึ่งเป็นขุนนางชั้นสูงหาได้รู้สึกริษยาผู้มีฝีมือที่ต่ำศักดิ์กว่าไม่
เมื่อทำเช่นนี้ก็จะทำให้ชื่อเสียงของซ่งหานและซ่งตวนยิ่งมีโอกาสจะรุ่งเรื่องขึ้นอีกโข
แต่เว่ยฮ่วนต้องการจะบอกกล่าวเรื่องราวที่แท้จริงแก่เสิ่นโจ้วและซ่งไจ้เถียน จึงไม่ต้องการให้ซ่งฮานพ่อลูกมาอยู่ต่อหน้า ทั้งยังไม่ยิมยอมทำให้ชื่อเสียงของขุนนางชั้นสูงหม่นหมอง ดังนั้น… เกรงว่าหากไม่อาจหาเหตุมารั้งซ่งหานและซ่งตวนเอาไว้ ให้พวกเขาไม่สามารถมาหาได้ก่อนหน้านี้ ไม่ก็ให้คนที่ส่งไปนั้น คอยจัก ‘หา’ พวกเขาไม่พบสักที หรือแม้กระทั่งเมื่อพวกเขามาถึงแล้วก็เข้ามาในบ้านตระกูลเว่ยไม่ได้… สรุปก็คือ เป็นเว่ยฮ่วนส่งคนไปหาพวกเขาพ่อลูก แต่คนทั้งสองก็กลับไม่มาถึงสักที…เช่นนั้นความรับผิดชอบย่อมต้องอยู่ที่ตัวซ่งหานและซ่งตวน
และด้วยเว่ยฮ่วนเป็นผู้ที่ ‘หวังดี’ ทั้งยัง ‘เห็นใจ’ ผู้น้อย เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้เข้าหน้ากันไม่ติด จึงได้จงใจเชิญเสิ่นโจ้วมาที่เรือนหลัง ยังมิได้กล่าวถึงเรื่องที่ให้ซ่งไจ้เถียนและแม่เฒ่าซ่งผู้ภริยาคอยอยู่ด้วย ยังได้เรียกให้หลานสาวแท้ๆ ที่มีสัญญาแต่งงานกับตระกูลเสิ่นเข้ามาคารวะด้วย ใช้เรื่องนี่มากลบเกลื่อนมิให้รู้สึกว่าซ่งหานเมินเฉยกับราชทูต และเพื่อให้บรรยากาศผ่อนคลายลงด้วย
ซึ่งนี่ก็คือสาเหตุที่เมื่อเว่ยฉางอิ๋งคาราวะเสิ่นโจ้วและซ่งไจ้เถียนแล้ว จึงมิได้ให้กลับไปยังเรือนเสียซวง หากแต่ถูกรั้งตัวให้อยู่ต่อไป… ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อรั้งนางไว้แล้ว พวกผู้ใหญ่ก็กลับมิได้เอ่ยถึงเรื่องสัญญาแต่งงาน หรือเรื่องการไปรับตัวเจ้าสาวแต่อย่างใด หากแต่ไปเอ่ยถึงเรื่องการงานที่จริงจังในทันที
ที่เรียกนางมาก็เพียงให้เป็นป้ายตั้งอยู่นิ่งๆ เพื่อพิสูจน์ให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้นว่าเว่ยฮ่วนนั้นใจกว้างช่วยออกหน้าแทนซ่งหานพ่อลูกก็เพียงเท่านั้น…
ดังเช่นคำที่แม่เฒ่าซ่งเคยกล่าวไว้ก่อนหน้า ตระกูลซ่งแห่งเจียงหนานเป็นหนึ่งในหกตระกูลสูงศักดิ์ในเขตทะเล ประมุขซ่งซินผิงมีสมญานามว่าหนึ่งคำสัญญาดังทองพันช่าง มิเคยผิดคำ ตระกูลเช่นนี้ เมื่อเอ่ยคำใดย่อมต้องทำตาม แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าตำหนักตะวันออกในยามนี้เมามัวโลกีย์จนสุดจะทนไหว หาได้คู่ควรไม่ แต่จักให้ยกเลิกการแต่งงานได้อย่างไร?! เรื่องยกเลิกการแต่งงานนั้น ตระกูลซ่งไม่มีวันทำแน่! ตระกูลซ่งรักษาคำพูดมาแต่ไหนแต่ไร… แต่ หากเป็นสนมเอกเติ้งหรือผู้อื่นยื่นมือเข้ามาขวาง ให้ซ่งไจ้สุ่ยไม่อาจเข้าอภิเษกกับองค์รัชทายาทได้อีกต่อไป นี่ก็เป็นเรื่องที่หมดหนทางแล้ว!
เพราะตระกูลซ่งเอง ก็เป็นผู้รับเคราะห์เช่นกัน!
สถานการณ์ยามนี้คือ เว่ยฮ่วนพยายามอย่างสุดกำลังที่จะส่งเสริมซ่งหานพ่อลูก แต่พ่อลูกคู่นี้กลับไม่ได้ความ การมาสายเช่นนี้นอกจากจะเป็นการเพิกเฉยต่อราชทูต ยังเป็นการไม่ไว้หน้าเว่ยฮ่วนด้วย… แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ เว่ยฮ่วนยังคงเรียกหลานสาวออกมาช่วยกู้สถานการณ์ให้พวกเขา ขุนนางระดับสูงที่ดีเช่นนี้ เรียกได้ว่ามีคุณธรรมเหลือล้น…ทุกสิ่งล้วนเป็นเพราะซ่งหานพ่อลูกไม่ดี หรือบางทีอาจเป็นเพราะพวกเขาทะนงตนว่ามีความชอบใหญ่หลวงที่เอาชนะศึกกับหัวเมืองเหนือได้ ยามนี้จึงเริ่มยโสโอหังเสียแล้ว?
หากจะว่าไปเว่ยฮ่วนผู้เป็นขุนนางคนสำคัญของแคว้น ได้ขอเกษียณกลับมาพักผ่อนที่บ้านเกิดแต่กลับต้องมาพบกับเจ้ากรมธุรการซึ่งเป็นเพียงข้าราชการในหัวเมืองที่มีสายตาตื่นเขินเช่นนี้ ช่างน่าระอาใจเสียเหลือเกิน…
ทำเช่นนี้เรียกได้ว่ายิงธนูดอกเดียวได้นกสามตัว ไม่เพียงได้โอกาสเจรจากับเสิ่นโจ้วและซ่งไจ้เถียนก่อน ทั้งยังได้ป้ายสีให้ซ่งหานและซ่งตวน สั่นคลอนภาพลักษณ์ของขุนนางที่สร้างความดียิ่งใหญ่ ซึ่งผู้คนที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางต่างคิดไปว่าพวกเขาเป็นเช่นนั้น แล้วยังได้จัดการเรื่องส่วนตัวไปพร้อมกัน…นั่นคือให้หลานสาวแท้ๆ เข้าคราวะผู้ใหญ่ฝ่ายบ้านสามีหนหนึ่ง
ยิ่งไปกว่านั้นในแผนการนี้ยังมีความต้องการส่วนตัวของเว่ยฮ่วนอยู่เล็กน้อย นั่นคือหลานสาวเว่ยฉางอิ๋งคนนี้จะมีความเรียบร้อยอ่อนโยนหรือไม่นั้น เขาหรือจะไม่รู้? แม้จะบอกว่าแม่เฒ่าซ่งและฮูหยินซ่งต่างคอยอบรมมาอย่างถ้วนถี่ แต่แล้วเว่ยฉางอิ๋งก็ยังคงมิใช่คนที่เชื่อฟังคำ! ยามนี้มีเรื่องสำคัญต้องพูด เสิ่นโจ้วหรือจะมีแก่ใจไปสังเกตสังกาหลานสะใภ้…อาศัยโอกาสนี้ทำให้หลานสาวที่เขาไม่ใคร่จะวางใจนักเอาตัวรอดผ่านไปได้…
ในเฟิ่งโจว เมื่อประมุขตระกูลเว่ยต้องการจะลงมือกับผู้ใด ก็ย่อมจะทำได้ไหลลื่นตามใจเป็นธรรมดา
พอตื่นเช้าในวันต่อมา เว่ยฉางอิ๋งก็ได้ยินจูสือและจูหลานคุยเล่นกันอยู่ทางเดิน และเป็นเรื่องเมื่อคืนนี้พอดี นางจึงเรียกบ่าวทั้งสองมาหาเพื่อสอบถาม ที่แท้ยามนี้ทั้งจวนกำลังเล่าลือกันเรื่องนี้ บอกว่าซ่งหานและซ่งตวนนั้นช่างบังอาจนัก แม้กระทั่งราชทูตพวกเขาก็ยังมีท่าทีเพิกเฉยไม่ใส่ใจ ทั้งยังทำให้ประมุขขายหน้า
ข่าวลือนี้เกิดที่เรือนเสียซวง เมื่อยามพลบค่ำ แม่นมซือได้ไปรายงานกับฮูหยินซ่งว่า ข่าวลือได้แพร่ออกไปต่างๆ นานา แม้กระทั่งสาเหตุที่พวกของซ่งหานเพิกเฉยต่อราชทูตก็ยังมีคนปั้นเสริมเติมแต่งจนครบถ้วนแล้ว บอกว่าซ่งหานและซ่งตวนทะนงตนว่าสร้างคุณใหญ่หลวงในหัวเมืองเหนือ ทั้งยังไม่พอใจอย่างมากที่เมื่อราชทูตมาถึงแล้วเว่ยฮ่วนไม่ยอมให้ตนเข้าไปร่วมต้อนรับด้วย ทำให้เมื่อเว่ยฮ่วนรับราชโองการประกาศเกียรติคุณของตนพ่อลูกแล้ว จึงเพิ่งให้คนไปเรียกซ่งหานและซ่งตวนให้มาพบราชทูตก่อน การกระทำเช่นนี้กลับทำให้ซ่งหานเห็นว่าเป็นการลบหลู่ จึงจงใจยื้อเวลาไว้จนถึงยามที่ต้องจุดโคมจึงได้มา
ถึงตรงนี้ยังไม่หมด เมื่อคืนทั้งที่เป็นเว่ยฮ่วนและเสิ่นโจวจงใจไม่อ่านราชโองการ จึงได้ใช้ข้ออ้างว่าฟ้ามืดแล้ว และเสิ่นโจ้วเดินทางมาทั้งวันจึงรู้สึกเหนื่อยล้า และจัดแจงให้ซ่งหานและซ่งตวนกลับไปเสียก่อน แต่แล้วในข่าวลือกลับกลายเป็นว่า ‘ราชทูตเร่งเดินทางมาตลอดวัน ทั้งยังได้อ่านราชโองการประกาศเกียรติคุณให้แก่ท่านประมุขและนายผู้ชายสาม เป็นเหตุให้เหนื่อยล้า ยิ่งไปกว่านั้น ก่อนหน้านั้นยังรอซ่งหานพ่อลูกเสียนานแต่ก็ไม่มาถึงสักที จึงต้องการจะสอบถามถึงสาเหตุ! ไม่คิดว่าเมื่อบ่าวนำคำสั่งไปสอบถามถึงสาเหตุที่พวกเขามาล่าช้า กลับทำให้ซ่งหานพ่อลูกแสดงอำนาจบาตรใหญ่ ชักสีหน้าขึ้นมาทันใด แล้วสะบั้นแขนเสื้อจากไป!’
__________________________