ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง - ตอนที่ 56.1 แผนค่อยๆเข้าที่ (1)
เว่ยฉางอิ๋งฟังอย่างขบขัน กล่าวว่า “ถึงขั้นนั้นแล้วหรือนี่?”
“เช่นนี้ฮ่องเต้ก็จะไม่เลื่อนขึ้นให้พวกเขาทั้งยังให้ไปจากเฟิ่งโจวด้วย” เว่ยฉางเฟิงจิบชาไปอึกหนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างราบเรียบว่า “แม้จะบอกว่าพวกเขาไปจากเฟิ่งโจวแล้ว ก็มิใช่ว่าบ้านเราจะจัดการพวกเขาไม่ได้ แต่หากสามารถจัดการให้เสร็จสิ้นเสียแต่ในเฟิ่งโจว ก็ควรจะทำในเฟิ่งโจวเป็นดี”
แม้น้ำเสียงของเขาจะราบเรียบ แต่ภายในกลับปิดบังความกังวลเอาไว้ไม่ได้ เว่ยฉางอิ๋งอดจะหันหน้าไปถามเขาด้วยความสงสัยไม่ได้ว่า “เจ้าเป็นทุกข์เรื่องใด?”
เว่ยฉางเฟิงมองไปรอบๆ หนหนึ่ง แม่นมซือจึงสั่งให้คนอื่นๆ ออกไป ฮูหยินซ่งก็เอ่ยถามอย่างเป็นห่วงว่า “ฉางเฟิง มีเรื่องใด?”
“โม่ปินเว่ยไม่ยอมเข้าสวามิภักดิ์” เว่ยฉางเฟิงถอนหายใจอย่างจนใจ
เมื่อได้ยินคำฮูหยินซ่งขมวดคิ้วแน่น เว่ยฉางอิ๋งก็ถามอย่างประหลาดใจ “เพราะเหตุใด? หรือเป็นเพราะซ่งหานและซ่งตวน?” เรื่องราวของเรือนหน้าเช่นนี้ปกติแล้วนางจะไม่สนใจ ยังนึกว่าเรื่องนี้จัดการสำเร็จตั้งนานแล้วเสียอีก ว่ากันตามหลักการทั่วไปแล้ว ยามนี้โม่ปินเว่ยผู้นั้นไม่มีทางใดให้เดินอีก หากไม่มาพึ่งพาเว่ยฉางเฟิง แม้จะชีวิตอยู่ต่อไปก็ยังมีอันตราย คนผู้นี้ไยมิยอมเข้าสวามิภักดิ์?”
“เป็นเช่นนั้น” เว่ยฉางเฟิงพยักหน้า
“ยามนี้มีความเป็นไปได้เก้าส่วนว่าคนทั้งสองจะไม่ไปจากเฟิ่งโจว รอให้ผ่านวันสองวันนี้ไปก่อน ให้พวกเขาหลงภูมิใจในคุณงามความดีเสียให้เต็มที่ ใช้ชื่อเสียงเสียให้เต็มอิ่ม ต่อให้มอบให้โม่ปินเว่ยลงมือแก้แค้นด้วยตนเองก็หาได้เป็นไรไม่” ฮูหยินซ่งเอ่ยเตือนสติ
เว่ยฉางเฟิงยิ้มเจื่อนๆ พลางว่า “ท่านแม่ยังไม่ทราบ ข้าก็ให้คำมั่นกับเขาไปเช่นนี้ แต่โม่ปินเว่ยกลับยืนกรานว่าต้องการเรียกร้องความยุติธรรม”
“ความยุติธรรม?” สีหน้าของฮูหยินซ่งค่อยๆ หม่นลงไป “หรือว่าเขาต้องการ…?”
“ท่านแม่กล่าวถูกต้องแล้ว เขาต้องการจะกอบกู้ชื่อเสียงคืนมา” เว่ยฉางเฟิงถอนใจ “แต่คำประกาศเกียรติคุณนั้นเป็นดำริของฮองเต้ จนบัดนี้ราชโองการก็มาถึงแล้ว แล้วข้าจะรับคำเขาได้อย่างไร?”
ฮูหยินซ่งพลันมีสีหน้าเคืองโกรธ “คนผู้นี้ช่างไม่รู้จักซาบซึ้งในน้ำใจของผู้อื่นเสียจริงๆ !”
เว่ยฉางเฟิงได้รับอิทธิพลจากเว่ยฮ่วน มักใจกว้างยิ่งนักกับผู้ที่มีความสามารถ จึงกลับกล่าวเตือนฮูหยินซ่งว่า “เรื่องของชาวบ้านผู้นี้ก็น่าอนาถ เมื่อหนีออกมาจากเมืองเหลียวนั้นมีความเป็นได้เก้าส่วนว่าอาจต้องตาย อาศัยความเก่งกาจอาจหาญของตนดักซุ่มโจมตีชนเผ่าหรง ทั้งยังบุกเข้าไปสังหารผู้นำของศัตรูด้วยตนเอง… ไม่คิดว่าพอซ่งหานไปถึง ไม่เพียงสิ่งเหล่านี้ล้วนกลายเป็นผลงานของซ่งตวน กระทั่งมั่วปิ่นเว่ยยังถูกกล่าวหาว่าเป็นคนขลาดไร้สามารถ หลบหนีการรบด้วยความกลัวอีก! การสับเปลี่ยนดำเป็นขาวเช่นนี้ หากเป็นพวกเราก็เกรงว่าจะโกรธแค้นยิ่งกว่าเขาเสียอีก”
ฮูหยินซ่งคิดอยากช่วยบุตรชายอย่างสุดใจ แค่นคำออกมาว่า “หากมิใช่เพราะเจ้าต้องใช้เขา คนผู้นี้จะมีชีวิตอยู่ต่อไปหรือไม่ก็ยังมิรู้ได้! ยามนี้ เรื่องนี้เกี่ยวพันกับเรื่องอื่นกว้างขวางนัก จนสามัญชนผู้นี้มิอาจจะจินตนาการได้เลย! เขานึกว่าเขาจะกอบกู้ชื่อเสียงกลับมาได้ง่ายดายถึงเพียงนั้นรึ?”
“เท่าที่ฟังฉางเฟิงว่า โม่ปินเว่ยผู้นี้เป็นคนหัวรั้นเอาการ” เว่ยฉางอิ๋งได้ยินถึงตรงนี้ พลันหยุดคิดสักพัก จึงกล่าวว่า “กลัวแต่เพียงว่าเมื่อเข้าพบฉางเฟิงคราแรก ก็นึกว่าจะมีหวังได้กอบกู้ชื่อเสียงคืนมา? รออีกสักสองสามวันให้เขาสงบลงบ้าง เกรงว่าเขาจะเข้าใจเองว่าสิ่งใดควรไม่ควร อย่างไรเสียคนผู้นี้ก็สามารถนำกองกำลังของเมืองเหลียวที่เหลือเพียงน้อยนิดเข้าสู้รบด้วยยุทธวิธีใช้อ่อนเอาชนะแกร่ง เมื่อดักซุ่มโจมตีชนเผ่าหรงได้แล้ว ยังเข้าสังหารผู้นำของศัตรูด้วยตนเอง…จักต้องมิใช่ผู้ที่ไร้สมองหรือรู้จักแต่เพียงหัวรั้นท่าเดียวเป็นแน่”
เว่ยฉางเฟิงนิ่งคิดเป็นนาน จึงพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ที่ท่านพี่กล่าวก็ถูกต้อง ยามนี้ข้าได้ให้เขาไปอยู่ในที่สงบลับตาคน เขาก็มิเคยปฏิเสธ ด้วยข้อนี้ ยังพอมีหวังว่าคนผู้นี้จะยอมสวามิภักดิ์กับเรา”
ฮูหยินซ่งฟังบุตรชายบุตรสาวล้วนเห็นดีว่าควรให้เวลาแก่โม่ปินเว่ยสักสองสามวัน จึงได้มีน้ำเสียงอ่อนลงว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ให้โอกาสเขาสักครั้งหนึ่งก็แล้วกัน”
เว่ยฉางอิ๋งเห็นเว่ยฉางเฟิงมิได้มีเรื่องอื่นที่ต้องการจะปรึกษาอีก จึงได้เอ่ยถามฮูหยินซ่งว่า “ใช่แล้ว ท่านแม่ลูกผู้พี่ใหญ่ได้พบกับท่านพี่ไจ้สุ่ยแล้วหรือยัง? เรื่องของฮองเฮาและสนมเอก?” วานนี้นางยืนอยู่ข้างหลังแม่เฒ่าซ่งอยู่สองชั่วยาม จนถึงเวลาอาหารเย็นจึงได้รับอนุญาตให้ไปได้ สำหรับเว่ยฉางอิ๋งแล้วการยืนสองชั่วยามนั้นหาได้เป็นเรื่องใหญ่ไม่ ทว่าการที่ต้องยืนอยู่เบื้องหน้าคนตระกูลเสิ่นสองชั่วยาม…แม้จะบอกว่านอกจากเสิ่นโจวจะเอ่ยวาจาตามมารยาทยามเมื่อนางเข้าคารวะ จากนั้นก็ไปปรึกษาเรื่องชัยชนะที่เมืองเหนือกับเว่ยฮ่วน แล้วก็มิได้สนใจนางเลยแม้แต่น้อยก็ตาม
แต่ผู้ใดจะรู้ว่าคนผู้นี้จะมีแผนที่ใช้ได้สองทางหรือไม่? แล้วคอยลอบแอบสังเกตกริยาของตนโดยมิให้ผู้ใดรู้? และเพราะเป็นกังวลเช่นนี้ แม้ว่าในโถงจะไม่มีคนสนใจตน เว่ยฉางอิ๋งที่ยืนอยู่ข้างหลังแม่เฒ่าซ่งก็ยังไม่กล้าผ่อนคลายหรือทำเมินเฉย จึงเอาแต่ยืนก้มตามองจมูก จมูกก้มมองหัวใจ สำรวมท่าที สงบเสงี่ยมเรียบร้อยอยู่ตรงนั้นตลอดเวลา
แต่ก็มิใช่เป็นการยืนตัวตรงธรรมดา นางต้องคอยปรายตาดูปอยผมเสื้อผ้ากระโปรงที่โดนลมซึ่งพัดเข้ามาจากประตูห้องโถงพัดจนยุ่งเหยิง ทั้งคิดว่าที่ตนเองเอาแต่ยืนอยู่เช่นนั้นจะเป็นการเหม่อลอยเกินไปหรือไม่ แล้วยังคิดอีกว่าการยืนรออย่างสงบอยู่ตั้งแต่ต้นจนจบเช่นนี้คล้ายกับไม่ค่อยเหมาะควรเท่าใด? เพียงแต่เรื่องที่พวกผู้ใหญ่ปรึกษาหารือกันนั้นก็มิได้มีที่ใดให้ตนพูดแทรกได้…
มีความคิดต่างๆ นานาเช่นนี้พลิกไปพลิกมาอยู่ภายในใจ ทั้งยังไม่กล้าขยับตัวจนเกินงาม ท่ามกลางความสำรวมนั้น หางตาก็คอยจะปรายไปทางเสิ่นโจ้ว ด้วยเกรงว่ายามเขาหันมาสังเกตตน แล้วตนจะมีท่าทางไม่สวมรวมและสง่างามพอ ตาต้องคอยสังเกตไปทุกทางหูก็ต้องเบิกกว้างไปทั่วทิศอยู่เช่นนี้… มิรู้ว่าลำบากเสียยิ่งกว่าที่ตนไปฝึกวรยุทธ์กับเจียงเจิงเช่นปกติอีกกี่มากน้อย
ดังนั้นเมื่อแม่เฒ่าซ่งปล่อยนางไปแล้ว ทันทีที่นางถึงเรือนเสียซวงก็แทบจะล้มหัวลงนอน ส่วนเรื่องที่พี่น้องตระกูลซ่งพูดคุยกันในยามนั้น นางจึงมิรู้เลยแม้สักน้อย
ฮูหยินซ่งเห็นว่าตอนนี้ไม่มีผู้ไม่เกี่ยวข้องอยู่ จึงพยักหน้าแล้วว่า “สนมเอกและฮองเฮาเปิดศึกกันขึ้นแล้ว”
“หลายปีก่อนองค์ชายหกสิ้นพระชนม์ไปอย่างมีเงื่อนงำ แม้อดีตสนมเอกฮั่วจะเคยเป็นหนึ่งในสนมเอกซึ่งอยู่ในขั้นเดียวกับสนมเอกเติ้ง แต่แล้วด้วยเหตุผลที่นางเป็นบุตรจากภรรยาน้อย จึงเป็นผู้ที่มีนิสัยขลาดกลัว โดยเฉพาะเมื่อได้ให้กำเนิดองค์หญิงหลิงเซียนแล้ว ความรักใคร่ของฮ่องเต้ที่มีต่อนางก็ลดน้อยลงมา นางจึงทำได้เพียงใช้ชีวิตอยู่ด้วยการดูแลองหญิงค์หลิงเซียนตลอดมา” ฮูหยินซ่งจิบน้ำชาอึกหนึ่ง จึงกล่าวต่อว่า “ยิ่งไปกว่านั้นวิชาแพทย์ของจี้อิงก็ล้ำเลิศนัก หากจะวางยาพิษองค์ชายหกจริงๆ มีหรือจะให้คนตรวจพบได้อย่างง่ายดาย? อีกประการการไปช่วยสนมฮั่ววางยาองค์ชายหกนั้นมีประโยชน์ใดกับจี้อิง! จากนั้นจึงเกิดเรื่องกับอดีตฮองเฮาเฉียน พวกเราต่างคิดว่าจะต้องเป็นเพราะนางเฉียนเป็นกังวลว่าองค์ชายหกเป็นที่พอพระทัยของฮ่องเต้เป็นอย่างมาก แล้วจักสั่นคลอนการสืบทอดบัลลังก์ของบุตรชายนาง ดังนั้นเมื่อวางยาองค์ชายหกแล้ว จึงได้ใส่ร้ายสนมฮั่วและจี้อิง เมื่อมองในยามนี้ กลับน่าจะมีความเกี่ยวพันกับฮองเฮากู้องค์ปัจจุบันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”
เว่ยฉางอิ๋งฟังอย่างปวดหัว จึงกล่าวว่า “เหตุใดเรื่องก็นานมากแล้ว จนยามนี้ยังไม่จบสิ้น? ทั้งยังพลอยมาเกี่ยวพับกับท่านพี่ไจ้สุ่ยอีก”
“กว่าจะถึงที่สิ้นสุดนั้นยังเร็วเกินไป!” ฮูหยินซ่งส่ายหัวหนแล้วหนเล่า กล่าวว่า “สนมเอกเติ้งมีองค์ชายหกเป็นพระโอรสเพียงองค์เดียว ผู้ใดทำร้ายองค์ชายหก สนมเอกก็ยอมพร้อมแม้ชีวิตก็ไม่ต้องการ ขอเพียงได้แก้แค้นให้กับองค์ชายหกให้จงได้! เมื่อมองดังนี้แล้ว เติ้งจงฉีก็กลับมีหลายส่วนที่เชื่อถือได้” ฮูหยินซ่งเห็นบุตรชายและบุตรสาวเป็นดังชีวิต ความต้องการแก้แค้นหลังจากสนมเอกเติ้งสูญเสียบุตรชายอันเป็นที่รักไป นางย่อมเข้าใจได้เป็นอย่างดี
“ใช่แล้ว ท่านแม่ หยกประดับรูปนกกระจอกเหลือง” เว่ยฉางอิ๋งพลันนึกขึ้นมาได้ จึงได้เอ่ยเตือนว่า “เป็นลูกผู้พี่รองให้แก่เติ้งจงฉีหรือไม่?”
ฮูหยินซ่งขมวดคิ้วพลางว่า “เรื่องหยกนี่เจ้ากลับไปอย่าได้เอ่ยกับไจ้สุ่ยอีกเชียว คืนก่อนลูกผู้พี่ใหญ่ไม่พอใจเป็นอันมาก…และที่บ้านเราไม่ได้ทำการใดๆ ก็ด้วยเหตุนี้ รอจนเขากลับเมืองหลวงไปแล้ว หรือไม่ก็เขียนจดหมายกลับไป ก็ยังเกรงว่าทางโน้นก็จะยังคงเกิดเรื่องอีกหน”
เว่ยฉางเฟิงและเว่ยฉางอิ๋งเอ่ยถามพร้อมกันอย่างประหลากใจว่า “เหตุใด?”