ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง - ตอนที่ 56.2 แผนค่อยๆเข้าที่ (2)
“เจ้าว่าเติ้งจงฉีผู้นี้รู้เรื่องหยกประดับรูปนกกระจอกเหลืองมาได้อย่างไร?” ฮูหยินซ่งส่งเสียงหึออกมา “เป็นเพราะพี่สะใภ้รองของพวกเจ้า! หลังจากนางแต่งเข้าบ้าน ก็พบว่าลูกผู้พี่รองของพวกเจ้าแยกเก็บหยกประดับชิ้นนี้ไว้ในกล่องไม้เพียงชิ้นเดียว และยังกำชับบ่าวไพร่ว่าห้ามแต่ต้องตามใจ ไม่รู้ว่าลูกผู้พี่รองของพวกเจ้าเก็บเรื่องราวของพวกเขาพี่น้องเมื่อครั้งยังเยาว์ไว้ระลึกถึง แต่กลับสงสัยว่าก่อนที่ลูกผู้พี่รองของพวกเจ้าจะแต่งงานกับนางเคยมีเรื่องเจ้าชู้มากรักมาก่อน… นางก็หาได้สอบถามลูกผู้พี่รองของพวกเข้า อาศัยโอกาสว่าลูกผู้พี่รองของพวกเจ้าไม่ได้หยิบเอาหยกชิ้นนั้นมาดูบ่อยครั้ง จึงได้ไปหยิบออกมาสอบถามกับพวกบ่าวไพร่ในบ้านตระกูลซ่ง ท่านป้าสะใภ้ของพวกเจ้าเสียไปเร็ว จนยามนี้บ้านตระกูลซ่งก็เป็นพี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้าคอยดูแล ซึ่งนางก็รู้เรื่องหยกชิ้นนี้ เมื่อได้ยินพวกบ่าวไพร่เอ่ยถึงเข้า จึงได้ไปบอกถึงสาเหตุที่เก็บหยกชิ้นนี้เอาไว้แก่คนแซ่ตวนมู่ แล้วคนแซ่ตวนมู่ผู้นี้จึงได้นำหยกประดับนี้ไปคืน!”
“ลูกผู้พี่ใหญ่ของเจ้าก็ได้ยินจากพี่สะใภ้ใหญ่เล่าให้ฟังเป็นการส่วนตัว จึงมิได้เอามาใส่ใจ เมื่อคืนยามเมื่อได้พูดคุยกับไจ้สุ่ย และได้เอ่ยถึงว่าลูกผู้พี่รองของพวกเจ้าหาได้สนิทสนมกับเติ้งจงฉีไม่ แล้วเติ้งจิงฉีไปเอาหยกสลักนกกระจอกเหลืองที่หน้าตาคล้ายกันมาจากที่ใด? คิดไปคิดมาก็มีเพียงเรื่องที่พี่สะใภ้รองของพวกเจ้าที่เคยไถ่ถามครานั้น จึงทำให้มีคนรู้มากมาย เอาไปเอามาก็แพร่สะพัดออกไป! โชคดีที่ครานี้มิใช่เรื่องใหญ่ หาไม่แล้วคงไม่แคล้วทำร้ายไจ้สุ่ยและทำร้ายบ้านเราจนยับเยิน?” ฮูหยินซ่งทอดถอนใจพลางว่า “คนแซ่ตวนมู่ผู้นี้ก็ช่างไรคุณธรรมเสียจริง!”
เว่ยฉางอิ๋งพี่น้องได้ยินแล้วก็ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี แล้วว่า “พี่สะใภ้รองก็มีเจตนา เรื่องเช่นนี้เพียงไต่ถามลูกผู้พี่รองก็มิใช่สิ้นเรื่องแล้วหรือ? ไยต้องทำให้เกิดเรื่องราวใหญ่โตเช่นนี้?”
เว่ยฉางอิ๋งถามเรื่องการแต่งงานของซ่งไจ้สุ่ยต่อไป “ยามนี้ลูกผู้พี่ใหญ่ก็มิใช่ว่าเอ่ยถึงเรื่องที่ท่านพี่ไจ้สุ่ยจะแต่งเข้าตำหนักตะวันออกหรอกหรือเจ้าคะ?”
“หากเขายังว่าเช่นนี้ ข้าคงต้องขอถามเขาเสียหน่อยแล้วว่าเขาเป็นพี่ชายคนโตประสาอะไร” ฮูหยินซ่งส่งเสียงหึออกมาหนหนึ่ง ราวกับว่าเมื่อวานได้สั่งสอนซ่งไจ้เถียนไปแล้วเขาจึงได้ยอมให้คำสัญญาที่นางพึงพอใจ แล้วว่า “ปัญหาในยามนี้ก็คือจะยกเลิกสัญญาแต่งงานอย่างไร” นิ่งไปพักหนึ่ง ฮูหยินซ่งถอนใจพลางว่า “เมื่อครู่นี้มีจดหมายจากท่านตาของพวกเจ้ามาแล้ว กลับมีความเห็นเดียวกับท่านย่าของพวกเจ้า ว่าเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องอาศัยความช่วยเหลือจากตระกูลเติ้งจึงจะสำเร็จได้”
เว่ยฉางเฟิงตั้งสติอยู่เกือบเค่อ กล่าวว่า “ยังคงยุ่งยากอยู่บ้าง ก่อนนี้คำพูดของเติ้งจงฉี ก็เพียงมาบอกความต้องการแทนพระสนมเอก ทว่าการจะยกเลิกการแต่งงานจริงๆ แล้ว มิใช่เรื่องง่ายเลย” ที่ว่าจะให้เข้าวังตามวันเวลา แล้วใช้ดวงชะตะที่ชงกับฮ่องเต้มาหลบเลี่ยงการแต่งเข้าตำหนักตะวันออก… ความคิดนี้เป็นพระสนมเอกเสนอออกมา แม้เติ้งจงฉีจะบอกว่าพระสนมเอกมีความมั่นใจอยู่มากจึงได้ให้คำสัญญาเช่นนี้ ทว่าในส่วนที่ไม่มั่นใจนั้น เป็นธรรมดาที่เติ้งจงฉีย่อมไม่ยอมพูดออกมา…ในความเป็นจริงแล้วเขาเองก็อาจจะไม่รู้เสียด้วยซ้ำ แต่มีหรือที่ตระกูลซ่งจะอาศัยเพียงคำพูดของเจ้าเด็กหนุ่มผู้นี้แล้วจะให้เชื่อไปเสียหมด? หากสนมเอกพลาดพลั้งขึ้นมา ก็มิเท่ากับว่าตระกูลซ่งจะต้องเสียบุตรสาวเข้าวังไปโดยเปล่าประโยชน์หรอกหรือ!
ถึงยามนั้น ซ่งไจ้สุ่ยจะต้องช่วยตำหนักตะวันออกหรือต่อต้านตำหนักตะวันออกกัน?
ดังนั้นเหตุผลในการยกเลิกการแต่งงานนี้ จะต้องมาจากตระกูลซ่ง แต่ความอัปมงคลต่างหากที่ตระกูลเติ้งต้องเป็นผู้แบกรับ
“ตระกูลเติ้งเป็นเพียงแค่ตระกูลใหญ่ ฐานะไม่ทันเทียมสกุลซ่ง หากถูกพวกเขาใช้ประโยชน์ได้ง่ายๆ ไม่เพียงจะทำให้ผู้คนเกิดความสงสัย ยังจะทำให้หน้าตาของสกุลซ่งเสื่อมเสียอีกด้วย” ฮูหยินซ่งกดเสียงต่ำ แล้วว่า “ลูกผู้พี่ใหญ่ของพวกเจ้ามีความคิดอย่างหนึ่ง ซึ่งก็คือให้เติ้งจงฉีรีบรักษาตัวให้หายแล้วเร่งตามพวกพ้องไป เขาและไจ้สุ่ยรออยู่ที่บ้านเราจนพี่น้องของสนมจงผ่านมาที่เฟิ่งโจว จึงค่อยสมทบกับพวกเขาและไปเมืองหลวงด้วยกัน!”
เว่ยฉางอิ๋งขบคิดสักน้อย แล้วว่า “อ่า หรือว่า?”
“มิผิด ทำเช่นอดีตฮองเฮาเฉียนผู้นั้น” ฮูหยินซ่งว่า “สนมจงเป็นคนของฮองเฮา ทั้งยังมีชาติตระกูลต่ำต้อย…นี่เป็นในทางแจ้ง ส่วนในทางลับนั้นเติ้งจงฉีจะต้องลงมือทำการบางสิ่งแน่นอน ชั่วดีอย่างไรตระกูลเติ้งก็เป็นบ้านฝั่งมารดาของฮ่องเต้ เรื่องนี้แม้จะไล่หาคนผิดจนถึงที่สุด ก็จะไล่ได้ถึงเติ้งจิงฉีผู้เดียว ด้วยความเคารพและเพื่อเห็นแก่องค์ไทเฮา ฮ่องเต้ก็จะไม่ทำการใดกับตระกูลเติ้ง”
เว่ยฉางอิ๋งพี่น้องสบตากัน เป็นทีว่าเข้าใจความหมายของนางว่า สนมจงเป็นคนของฮองเฮา ยิ่งไปกว่านั้นยังมีชาติตระกูลต่ำต้อย เช่นนี้แล้วหากวันใดพี่น้องของนางต้องโทษวางแผนทำร้ายองค์รัชทายาท ไม่เพียงสามารถโจมตีฮองเฮาได้ ยิ่งไปกว่านั้นหากซ่งไจ้สุ่ยไม่ได้เป็นชายาองค์รัชทายาทก็ไม่ถึงกับต้องบาดหมางกับตระกูลอื่นๆ และไม่ต้องก่อความแค้นเคืองใดอื่นอีก… เช่นนี้แล้วหากพวกขุนนางมีการหารือกันเกี่ยวกับเรื่องนี้ คำครหาที่มีต่อตระกูลซ่งก็จะลดน้อยลงหรือมีน้อยที่สุด ดังนั้นพี่น้องของสนมจงที่ราชองครักษ์อี้ไปตามหาที่ชิงโจวนั้น นับว่าเป็นโอกาสที่ดีมากสำหรับตระกูลซ่ง… ไม่แน่ว่า โอกาสเช่นนี้ก็ยังเป็นสนมเอกเติ้งเป็นผู้วางหมากเอาไว้?
เมืองหลวงอยู่ห่างไกล หากจะมาติดตามไล่เรียงถึงที่เฟิ่งโจวนั้นเป็นไปไม่ได้ ทำได้ก็แค่คาดเดาในเบื้องต้นเท่านั้น
จะว่าไปสนมจงผู้นี้ก็น่าสงสาร เกียรติยศนั้นเป็นฮองเฮาส่งเสริมให้นาง แต่การรับคนในครอบครัวของนางมาครึ่งหนึ่งกลับเป็นความคิดของสนมเอก…จนยามนี้ตระกูลซ่งไม่ต้องการจะให้บุตรสาวไปเป็นพระชายาองค์รัชทายาท ก็วางแผนมาลงมือกับคนในครอบครัวนางอีก
ทว่าในต้าเว่ยที่ดูเพียงฐานะสูงต่ำของแต่ละตระกูล สามัญชนเช่นสนมจงนี้ เมื่อต้องอยู่ต่อหน้าบรรดาตระกูลใหญ่ก็จะต้องดิ้นรนหาทางรอดอยู่แล้ว
เว่ยฉางอิ๋งและเว่ยฉางเฟิงรู้สึกดีใจแทนซ่งไจ้สุ่ยเสียอีก “ท่านพี่ไม่ต้องไปเป็นพระชายาองค์รัชทายาทน่าหดหู่นั่นแล้ว!”
“แล้วมิควรหรอกรึ?” ฮูหยินซ่งหรี่ตา ความเปรมปรีดิ์ในสีหน้านั้นกลับมีเพียงบางเบา แต่ที่มีมากกว่ากลับคือความกลัดกลุ้ม “หากครานั้นเป็นฮองเฮากู้ทำร้ายองค์ชายหกจริง…ฮองเฮาผู้นี้และองค์รัชทายาทต้องถูกโค่นล้มถึงจะดี!”
เว่ยฉางเฟิงไม่เข้าใจจึงจับจ้องไปที่มารดาคราหนึ่ง แต่ฮูหยินซ่งกลับไม่มีแก่ใจจะเล่าความ พลันกล่าวอย่างไร้อารมณ์ว่า “พวกเจ้ากลับไปก่อนเถิด ข้ายังมีบางเรื่องต้องทำ”
เมื่อถูกสั่งให้ออกมา เว่ยฉางเฟิงไต่ถามพี่สาวด้วยความสงสัยว่า “เหตุใดท่านแม่ต้องหวังให้ฮองเฮาและองค์รัชทายาทถูกโค่น?” แม้ฮูหยินซ่งจะสงสารหลานสาวที่ต้องแต่งงานกับองค์รัชทายาทแสนเจ้าชู้ ทว่าก่อนนี้ก็มิเห็นว่านางจะมีท่าทีรุนแรงเหมือนที่คนหนุ่มสาวเช่นซ่งไจ้สุ่ยและเว่ยฉางอิ๋งเป็น แต่ครานี้กลับแทบจะรอให้ฮองเฮากู้และองค์รัชทายาทเกิดเรื่องไม่ได้? วันนี้นางเกิดอะไรขึ้น?
เว่ยฉางอิ๋งเอียงหัวนิ่งคิดไปเกือบเค่อ แล้วพลันมีสีหน้าเข้าใจแจ่มชัดขึ้นมา แต่กลับกวาดตาไปทางน้องชายหนหนึ่งแล้วว่า “เข้าพอจะรู้สักหน่อยแล้ว…แต่ข้าไม่บอกเจ้า!”
“…” เว่ยฉางเฟิงมองนางไม่พูดจา “เช่นนั้นข้าจะกลับไปถามท่านแม่”
“ห้ามไปถามเชียว! มิเห็นหรือว่าตอนนี้ท่านแม่อารมณ์ไม่ดี?” เว่ยฉางอิ๋งได้ยิน จึงรีบรั้งเขาไว้ พลางเอ่ยเสียงเบา “ทางท่านย่าก็ห้ามไปด้วย… ข้าบอกเจ้าเสียเลยก็แล้วกัน เมื่อครู่นี้ท่านแม่มิได้บอกแล้วรึ? ว่าการตายขององค์ชายหกพลอยทำให้ครอบครัวของจี้อิงหัวหน้าสำนักแพทย์หลวงในตอนนั้นได้รับเคราะห์ไปด้วย? หากตระกูลของจี้อิงไม่ได้เกิดเรื่อง ครานั้นท่านพ่อของพวกเราก็จะสามารถรักษาจนหายได้ ก่อนนี้ท่านแม่ยังนึกว่าเป็นอดีตฮองเฮาเฉียนที่ทำร้ายองค์ชายหก แล้วแม่ลูกตระกูลเฉียนก็มิใช่ว่าได้รับผลกรรมไปตั้งนานแล้วหรอกหรือ? แต่ไม่คิดว่าฮองเฮากู้องค์ปัจจุบันก็จะมีส่วนด้วย! คนที่ทำร้ายจี้อิงก็เท่ากับเป็นคนที่ทำร้ายท่านพ่อของเรา… เจ้ายังจะไปถามท่านแม่ อยากจะให้ท่านแม่ไม่สบายใจหรือ?”
ปีนั้นตระกูลเว่ยรั้งรอมิได้เชิญจี้ชวี่ปิ้งมารักษาเว่ยเจิ้งหง นั่นเพราะไม่เชื่อว่ายามเขาอายุได้สิบเอ็ดปีบ้านของเขาก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ จนต้องร่อนเร่ไปทั่วไร้คนดูแลไร้คนสอนสั่งอยู่สี่ปี พออายุได้สิบห้าปีก็สามารถออกมาทำงานด้านการแพทย์ได้โดยลำพัง… แต่หากจี้อิงไม่เกิดเรื่องใด ต่อให้ไม่บอกว่าจี้อิงจะสามารถรักษาเว่ยเจิ้งหงได้หรือไม่ บอกแต่เพียงว่าจี้ชวี่ปิ้งได้รับชายา ‘หลายชายคนโตที่หัวหน้าสำนักแพทย์หลวงตั้งใจสอนสั่ง เลือดเนื้อเชื้อไขสืบทอดสกุลจี้ที่มีอายุนับร้อยปี’ แม้เขาเพิ่งจะเกล้าผมในปีเดียวกันนั้น แต่มีจี้อิงยืนยันและรับประกันให้เขา ตระกูลเว่ยก็จะต้องไปเสาะหาเขามาลองรักษาดู…
หากมิใช่เพราะคิดแค้นเคืองด้วยเรื่องนี้ เมื่อดูจากสถานการณ์ของตระกูลเว่ยในยามนี้ที่รุ่นหลานยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่ รุ่นลูกก็ไม่แข็งแกร่ง ในช่วงเวลาที่จำเป็นต้องสงวนท่าทีไม่ไปมีเรื่องกับผู้ใดเช่นนี้ เหตุใดแม่เฒ่าซ่งจึงคิดการอุกอาจโดยให้ตระกูลซ่งล้มเลิกการแต่งงานไปตามน้ำ แต่กลับไม่ยอมตัดขาดจากเรื่องนี้ในทันใดเล่า?
เหตุผลในเรื่องนี้แท้จริงแล้วเพราะแม่เฒ่าซ่งและฮูหยินซ่งล้วนเป็นบุตรสาวของตระกูลซ่ง แล้วตระกูลเว่ยและตระกูลซ่งก็ใกล้ชิดสนิทสนมกัน แต่ก็มีสาเหตุอีกส่วนใหญ่ที่นางยังคงเกลียดชังคนร้ายตัวจริงซึ่งอยู่เบื้องหลังการทำร้ายองค์ชายหก ทั้งยังให้ร้ายสนมฮั่วและจี้อิงเมื่อครานั้น ซึ่งถือได้ว่าเป็นผู้ทำร้ายเว่ยเจิ้งหงด้วย!
เว่ยฉางเฟิงได้ยินคำดังนั้น สีหน้าก็พลันเปลี่ยนไป…
___________________________