ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง - ตอนที่ 57 จงเจี๋ย
เสิ่นโจ้วพักอยู่ที่เฟิงโจวสิบวัน ครานี้กำลังจะกลับเมืองหลวงเพื่อไปรายงานเรื่องเสร็จสิ้นภารกิจ แม้ซ่งไจ้เถียนจะมาพร้อมเขา แต่กลับมิได้เป็นราชทูต ทว่าประจวบเหมาะมาทางเดียวกัน ทั้งยังได้ขอลาเอาไว้ก่อนแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องกลับไปพร้อมเขา
…เติ้งจงฉีรักษาตัวหายตั้งแต่ก่อนเสิ่นโจ้วจะไป และได้มุ่งหน้าลงใต้เร่งตามพวกพ้องไป
พี่ชายและน้องสาวตระกูลซ่งใช้ข้ออ้างในการเยี่ยมเยือนญาติเพื่อพักอยู่ในเฟิ่งโจว โดยเป็นที่รู้กันภายในว่าเพื่อรอราชองครักษ์อี้ย้อนกลับมา จนถึงต้นเดือนแปด ในที่สุดพวกของกู้อี้หรานก็เดินทางอย่างตรากตรำจนเข้ามาในตัวเมืองเฟิ่งโจว บ่าวตระกูลเว่ยรายงานข่าวกันเข้ามาเป็นทอดๆ จนถึงเรือนหลัง แม่เฒ่าซ่งจึงถามว่า “พวกเขาหาญาติของสนมจงพบแล้วหรือ?
“ในขบวนของราชองครักษ์อี้มีรถม้าสองคัน ซึ่งตอนขาไปนั้นไม่มีเจ้าค่ะ” บ่าวประสานมือคำนับพลางตอบ “ดูจากวัสดุและแบบของรถม้าแล้วคล้ายจะซื้อที่ชิงโจว คาดว่าเป็นญาติของสนมจงแน่แล้วเจ้าค่ะ”
แม่เฒ่าซ่งพยักหน้า พลางสั่งให้คนไปเรียกฮูหยินซ่งมา แล้วสั่งความว่า “คุณชายตระกูลเติ้งเคยช่วยเหลือฉางอิ๋งของบ้านเรา แม้คราวก่อนจะได้เชิญเขามารักษาตัวที่บ้านเรา ทว่าเขายังคงคำนึงถึงราชโองการของฮ่องเต้ บาดแผลยังมิทันหายดีก็เร่งตามพวกพ้องไปแล้ว และไม่รู้ว่ายามนี้จะเป็นเช่นไรบ้าง? จะว่าไปบ้านเรายังมิทันได้ขอบคุณเขาอย่างเป็นทางการเลย…ยามนี้เขากลับมา ไม่อาจให้เขาเพียงผ่านเมืองไปเช่นนี้ แต่กลับไม่ได้มิได้เลี้ยงขอบคุณ”
ฮูหยินซ่งเข้าใจความหมาย กล่าวว่า “คุณชายเติ้งหาได้ผ่านไปเพียงลำพัง หากเชิญเขาเพียงผู้เดียว แต่กลับไม่เชิญพวกพ้องของเขาด้วย เกรงว่าจะเป็นการทำให้คุณชายเติ้งลำบากใจ มิสู้เชิญพวกเขาทั้งหมดมาเที่ยวชมที่บ้านเราสักพัก?”
“ควรเป็นเช่นนั้น” แม่เฒ่าซ่งกล่าว “ให้ฉางเฟิงและเกาชวนไปเชิญเขาด้วยกัน…บุตรสาวบ้านเรานั้นสำคัญยิ่ง มิอาจละเลยต่อผู้ที่เคยยื่นมือช่วยเหลือเป็นอันขาด”
เพราะมีเรื่องที่ครั้งก่อนเติ้งจงฉีเคยช่วยเว่ยฉางอิ๋งจากปากงูเขี้ยวหางไหม้อยู่ก่อนแล้ว การที่ตระกูลเว่ยเชื้อเชิญเขาจึงเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล กอปรกับยังมีเวลาอีกหนึ่งเดือนจึงจะถึงวันคล้ายวันเกิดของสนมจง จากเฟิ่งโจวไปเมืองหลวง เดินทางรถก็ใช้เวลาเพียงสิบกว่าวัน หลานชายตระกูลเว่ยทั้งสองคนรับคำสั่งของฮูหยินผู้เฒ่าเดินทางไปเชิญด้วยตนเอง วาจาสุภาพเป็นมิตร ท่าทีจริงใจ พวกของกู้อี้หรานมีท่าทีปฏิเสธเล็กน้อย แต่ก็รับคำเชิญในที่สุด
ในเฟิ่งโจวนี้พวกเขาก็ไม่มีที่อื่นให้ไปพัก หากจะไปที่รุ่ยอวี่ถังย่อมต้องปรึกษากันเสียก่อนว่าจะจัดการเรื่องที่พักของญาติสนมจงอย่างไร ซึ่งญาติของสนมจงมีจำนวนคนไม่มาก แค่น้องชายน้องสาวของสนมจงหนึ่งคู่ ซึ่งหนึ่งในนั้นจงเจี๋ยผู้น้องชายก็แต่งงานแล้วและบุตรสาวหนึ่งคน ครั้งนี้กระทั่งภริยาและบุตรสาวก็ได้พามาด้วย จงลี่ผู้น้องสาวเพิ่งจะอายุได้สิบสามปี เดิมทีกำลังจะหมั้นหมายกับบ้านอื่น แต่เมื่อราชองครักษ์อี้ไปหาพวกเขาที่ชิงโจว และรู้ว่าพี่สาวได้เข้ารับใช้ฮองเต้ในวังหลวงทั้งยังเป็นที่โปรดปรานยิ่ง ย่อมเป็นธรรมดาที่จงเจี๋ยจะไม่ยอมยกน้องสาวให้ผู้ใดในชิงโจวแล้ว
บ้านสกุลจงยากไร้ ดังนั้นสนมจงจึงได้เข้าไปรับใช้ในวังหลวงเมื่อกาลก่อน ก่อนนี้ทั้งจงเจี๋ยและภริยาต่างก็ไม่รู้เรื่องนี้ เมื่อเห็นการแต่งกายของราชองครักษ์อี้นั้นไม่ธรรมดา กระทั่งขุนนางในชิงโจวที่ช่วยพวกเขาตามหาพวกตนก็ยังมีท่าทีเกรงอกเกรงใจพวกเขามาก จึงรู้ได้ว่าเป็นบุคคลสำคัญ…คนสำคัญทั้งสี่คนนี้ยิ่งกลับมีท่าทีสุภาพต่อพวกเขาเป็นอย่างยิ่ง แรกเริ่มนั้นพวกเขายังรู้สึกตื่นเต้น ประหนึ่งว่าอยู่ในฝัน แต่ในระยะเวลาหลายวันจากชิงโจวถึงเฟิ่งโจวก็มิได้เห็นว่าท่าทีของพวกราชองค์จะเปลี่ยนไป จึงรู้สึกว่าคงเพราะสนมจงเป็นที่โปรดปรานอย่างยิ่งดังว่า ราชองครักษ์เหล่านี้จึงได้ดูเกรงกริ่งถึงเพียงนี้และไม่กล้าละเลยพวกตน
บรรดานางในวังหลวงของต้าเว่ยจากตำแหน่งเจียลี่ซึ่งเป็นตำแหน่งต่ำสุดถึงเฮาเฮาซึ่งเป็นตำแหน่งสูงสุดทั้งสิ้นมีสิบหกขั้น ตำแหน่งเสี่ยวอี๋นับเป็นลำดับที่ห้าจากท้าย เมื่อเทียบกับชาติกำเนิดและการเวลาที่ได้เข้ารับใช้ฮ่องเต้ของสนมเสี่ยวอี๋แซ่จงผู้นี้แล้ว ตำแหน่งเช่นนี้ถือว่ามีเกียรติเป็นอย่างมาก แต่หากจะไล่กันตามลำดับขั้น ความจริงแล้วพวกของกู้อี้หรานนั้นสูงกว่านางอยู่ขั้นหนึ่ง… ซึ่งแน่นอนว่าพวกญาติสกุลจงย่อมจะไม่รู้ รู้เพียงพี่สาวเข้าพระเนตรฮ่องเต้า ทั้งยังเป็นที่โปรดปรานเช่นนี้ พวกเขาทั้งครอบครัวจึงนับได้ว่าเป็นพระญาติของฮ่องเต้แล้ว ภายใต้ความตื่นเต้นที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดีเช่นนี้ จึงรู้สึกได้ใจอยู่ภายในใจไม่เบาเลย
เมื่อเข้าไปในตัวเมืองแล้ว คนทั้งกลุ่มได้ถูกเว่ยฉางเฟิงและเว่ยเกาชวนรั้งตัวเอาไว้ คราแรกนั้นจงเจี๋ยรู้สึกดีใจมาก คิดว่าเพราะสนมจง คุณชายทั้งสองนี้จึงรีบมาประจบประแจงพวกตน เขากำลังจะสั่งให้กู้อี้หรานลองสอบถามความเป็นมาของอีกฝ่าย เพื่อดูว่าตนสมควรจะหยุดพักพูดคุยด้วยหรือไม่ แต่ฟังไปฟังมา ผู้ที่เว่ยฉางเฟิงและเว่ยเกาชวนมาเชื้อเชิญนั้นกลับเป็นเติ้งจงฉี จึงได้เชิญกู้อี้หราน ตวนมู่อู๋ยิว หลิวซีสวินไปด้วยพร้อมกัน… แต่กลับมิได้เอ่ยถึงพวกเขาเลย
จนกระทั่งเติ้งจงฉีและกู้อี้หรานตอบรับคำเชื้อเชิญของบ้านตระกูลเว่ยแล้ว จึงได้หันกลับมาปรึกษากันว่าจะหาที่พักให้แก่พวกของจงเจี๋ย จงเจี๋ยถึงได้เข้าใจทั้งที่แทบจะไม่อยากเชื่อหูตัวเองเลยว่า ‘ตระกูลเว่ยมิได้คิดจะเชิญพวกเขาเลยแม้แต่น้อย!’
สำหรับคนสกุลจงที่เมื่อรู้ว่าพี่สาวได้เป็นสนมของฮองเต้แล้วประหนึ่งว่าได้ขึ้นไปอยู่บนสรวงสวรรค์ การที่ตระกูลเว่ยมองข้ามหัวพวกเขาเช่นนี้ ดังเป็นการตบหน้าอย่างแรง แล้วทำให้พวกเขาสำเหนียกตนว่า ที่แท้แล้ว แม้พี่สาวจะได้รับใช้ฮ่องเต้ แต่ก็หาใช่ว่าคนทั้งใต้หล้าต่างต้องให้เกียรติแก่สกุลจง?
การสำเหนียกตนเช่นนี้ช่างเสียหน้านัก จงเจี๋ยคิดจะเอ่ยปากตำหนิและไต่ถามเว่ยฉางเฟิงหรือเว่ยเกาชวน แต่เพราะพวกเขาเป็นชาวบ้านธรรมดามานาน และกริยาวาจาของอีกฝ่ายนั้นก็แสดงให้เห็นถึงสง่าราศีของตระกูลใหญ่ จึงทำให้จงเจี๋ยที่เพิ่งจะเคยออกจากบ้านเกิดเป็นหนแรกรู้สึกขลาดกลัวและไม่กล้าเอ่ยปากใด เพียงแต่ว่าสีหน้าของเขาพลันหนักอึ้งขึ้นมาในทันใด
สำหรับความคับแค้นใจของจงเจี๋ยนี้ ทั้งเว่ยฉางเฟิงและเติ้งจงฉีต่างสังเกตเห็น และอาศัยจังหวะที่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นพากันยิ้มออกมา… การที่ตระกูลเว่ยไม่เชื้อเชิญคนสกุลจง เป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่เริ่มมีมาในรัชสมัยนี้ว่าชนชั้นสูงและสามัญชนนั้นแตกต่างกัน แม้สนมจงจะเป็นผู้สูงศักดิ์คนใหม่ในตำหนักกลาง ในสายตาของตระกูลเว่ยซึ่งเป็นตระกูลสูงศักดิ์ที่หยั่งรากลึกในแคว้นแห่งนี้มาช้านานนั้น ไม่ควรคู่ที่ต้องไปประจบคนสกุลจง… หากวันนี้ตระกูลเว่ยเข้าไปกล่าวทักทายพวกของจงเจี๋ยอย่างมีอัธยาศัยล้นเหลือ เมื่อเรื่องเล่าลือออกไปจึงจะกลายเป็นเรื่องน่าขัน และเสียชื่อเสียงของตระกูลเว่ย ประการที่สอง นี่กลับเป็นการขุดหลุมพรางให้กับเรื่องที่จะดำเนินต่อไป
และแล้ว จงเจี๋ยก็กลับให้ความร่วมมือจริงๆ เสียด้วย…
เว่ยฉางเฟิงลอบเยาะอยู่ในใจ คนเช่นจงเจี๋ยซึ่งไม่สามารถควบคุมตนเองได้ ต่อให้ไม่ได้ถูกผู้อื่นจัดการเอาระหว่างทาง เมื่อไปถึงเมืองหลวงก็จะต้องก่อความเดือดร้อนให้สนมจงเป็นแน่… เมืองหลวงสูงส่งดังสวรรค์ชั้นฟ้า สนมจงที่เพิ่งจะเป็นที่โปรดปรานมาไม่กี่เดือนจะคุ้มกะลาหัวให้จงเจี๋ยได้สักกี่มากน้อย? หากสนมจงผู้นี้ฉลาด ในเมื่อรู้จักนิสัยใจคอของน้องชายตน แม้จะคิดถึงน้องชายและน้องสาวปานใดก็จะไม่น่าจะคิดถึงจนถึงเพียงนี้… ดูท่าแล้วความคิดที่จะเอาญาติมาที่เมืองหลวงนี้ต้องเป็นสนมเอกเติ้งเป็นคนออกความคิดแน่
พวกของกู้อี้หรานเองก็สังเกตเห็นอาการขุ่นเคืองของจงเจี๋ยเช่นกัน ยามนั้นก็รู้สึกอึ้งอยู่บ้าง ผ่านไปเกือบเค่อจึงได้สติกลับมา จงเจี๋ยอายุยังน้อยและยากจน หากไม่เพราะพี่สาว ชั่วชีวิตนี้เกรงว่าคงจะไม่มีโอกาสได้ออกมาจากชิงโจว ยามเมื่ออยู่ที่ชิงโจว พวกเขาก็เป็นชาวบ้านแสนจะธรรมดาที่หากินได้พอประทังชีวิตเท่านั้น ส่วนเรื่องความสูงศักดิ์ในใต้หล้านี้ไม่มีทางจะไปเข้าใจหรือไม่เข้าใจสิ่งใด… แน่นอนว่าพวกเขาจะต้องรู้จักตระกูลซูแห่งชิงโจว แต่คนในอีกสายหนึ่งของตระกูลซูที่มาช่วยพวกของกู้อี้หรานตามหาจงเจี๋ยในครานี้ก็มีความนอบน้อมยิ่ง ซึ่งความนอบน้อมนี้ย่อมมีให้แก่ราชโองการของฮ่องเต้และตระกูลของพวกของเติ้งจงฉีทั้งสี่คนต่างหาก
แต่เรื่องที่มาของความนอบน้อมซึ่งรู้กันในทีนี้กลับทำให้จงเจี๋ยเข้าใจผิดเสียแล้ว เขาจึงได้ใจจนลืมตัว นึกว่าฐานะเช่นนี้ของพี่สาวทำให้แม้แต่ตระกูลซูก็ยังต้องนอบน้อมให้ และเพราะพวกเขาล้วนไม่เคยได้ยินชื่อของตระกูลเว่ยมาก่อน… แล้วถือดีอย่างไรกล้าเมินเฉยต่อพวกเขา?
แม้พวกของกู้อี้หรานจะนอบน้อมต่อจงเจี๋ย แท้จริงก็เพียงเพราะประการแรกได้รับการอบรมมาดีแต่กำเนิด ประการที่สองสนมจงกำลังเป็นที่โปรดปราน จึงไม่ต้องการจะสร้างความขัดเคืองในเรื่องเล็กน้อยกับนาง หากจะบอกว่าเป็นเพราะเคารพนบนอบต่อจงเจี๋ยจริงๆ ก็ไม่มีทางเป็นไปได้ ยามนี้เมื่อสังเกตว่าจงเจี๋ยเกิดความขัดเคืองเพราะตระกูลเว่ยมิได้เชื้อเชิญเขา หลังจากนิ่งอึ้งไปแล้วต่างก็ไม่รู้ว่าควรจะร้องไห้หรือหัวเราะดี… ฮูหยินผู้เฒ่าของตระกูลเว่ยถึงกับสั่งให้หลานชายบ้านใหญ่มาเชื้อเชิญด้วยตนเอง หากไม่เพราะเติ้งจงฉีเคยช่วยชีวิตพี่สาวร่วมท้องของเขามาก่อน แม้แต่พวกเขาเองก็จะมิได้รับการปฏิบัติเช่นนี้
หากไม่ได้บุญคุณของเติ้งจงฉี เกรงว่าจะทำได้เพียงให้หลิวซีสวินอาศัยความสัมพันธ์ว่าเป็นคนในตระกูลเดียวกับสะใภ้ของจิงผิงกง แล้วเข้ามาคารวะที่จวนของจิงผิงกงจึงจะทำให้ตระกูลเว่ยไม่อาจปิดประตูไม่ยอมเปิดรับพวกเขาได้ ตระกูลทางสายของเว่ยฮ่วนนี้ พวกเขาทั้งสี่คนรวมกันก็ยังหาลู่ทางเข้าหาไม่ได้เลย
แต่ยามนี้กลับมีชาวบ้านผู้หนึ่งอาศัยพี่สาวที่เกิดเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ขึ้นมา จึงได้โอกาสไปเมืองหลวง แล้วกลับรู้สึกเคืองโกรธที่ถูกตระกูลเว่ยมองผ่าน… ลองนึกดูว่าหลายร้อยปีมานี้มีผู้ที่เกิดในตระกูลใหญ่จำนวนเท่าใดที่หวังจะได้ชมลายมือจริงของ ‘บันทึกเขาไผ่น้อย’ แต่กลับไม่มีลู่ทางเข้ามาขอตระกูลเว่ย… ในขณะที่พวกของกู้อี้หรานไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดีอยู่นั้น ฉวยโอกาสที่เว่ยฉางเฟิงและเว่ยเกาชวนไม่ได้สังเกตเห็น จึงได้เอ่ยเตือนจงเจี๋ยสักนิดว่า “ตระกูลเว่ยแห่งเฟิ่งโจวนับเป็นหนึ่งในหกตระกูลสูงศักดิ์ มีฐานะทัดเทียมกับตระกูลซูแห่งชิงโจว ซึ่งให้ความสำคัญกับธรรมเนียมประเพณีเป็นที่สุด พวกเขาไม่รู้จักคุณชายจง จึงมิกล้าเชื้อเชิญส่งเดช จึงต้องเชิญให้คุณชายจงและฮูหยินจุน รวมทั้งคุณหนูจงไปรอที่โรงเตี๊ยมสักพัก รอจนข้าเข้าคาราวะท่านประมุขเว่ยและฮูหยินผู้เฒ่าแล้วจักรีบกลับมาให้เร็วที่สุด”
เพียงแต่กู้อี้หรานไม่รู้ว่าจงเจี๋ยหาได้เข้าใจคำพูดแฝงนัยยะของคนในตระกูลเลื่องชื่อไม่ จึงฟังความหมายแท้จริงซึ่งแฝงอยู่ในคำพูดนี้ไม่ออก นอกจากจะไม่ยอมลงบันไดมาแล้ว กลับกล่าวตำหนิว่า “ในเมื่อพวกเขาไม่รู้จักข้า เหตุใดพวกเจ้าจึงไม่บอกให้พวกเขารู้เล่า? พวกเขาไม่รู้หรือว่าพี่สาวข้าเป็นถึงสนมเอกของฮ่องเต้?”
“…” กู้อี้หรานกระแอมไอแห้งๆ หนหนึ่ง แล้วว่า “คุณชายจง สนมเสี่ยวอี๋ถือเป็นหนึ่งในตำแหน่งสนม ซึ่งตำแหน่งสนมเอกนั้นอยู่เหนือสนมทั่วไป เมื่อเข้าเมืองหลวงแล้ว หากคุณชายกล่าวเช่นนี้ เกรงว่าจะทำให้สนมเสี่ยวอี๋เดือดร้อนเอาได้”
เขามิได้มีความเกี่ยวพันใดเลยกับสนมจง กับฮองเฮากู้ก็เพียงมีแซ่เดียวกันแต่มิใช่ครอบครัวเดียวกัน การตักเตือนเท่านี้นับว่าเมตตาที่สุดแล้ว เพียงแต่เมื่อจงเจี๋ยได้ยินว่าจะทำให้สนมจงเดือดร้อน แม้เขาจะตกใจแต่ยังคงกล่าวอย่างงุนงงว่า “แต่ฮองเต้โปรดปรานพี่ใหญ่มากไม่ใช่รึ? ไม่อย่างนั้นจะให้พวกเจ้ามารับพวกข้าไปพบพี่ใหญ่ที่เมืองหลวงได้อย่างไร?”
คนที่ฮองเต้เคยโปรดปรานนั้นมีมากและจากไปก็มาก ในรัชสมัยนี้แม้แต่องครัชทายาทก็แต่งตั้งมาแล้วถึงสามพระองค์…องค์รัชทายาททั้งสามพระองค์นี้มีองค์ใดบ้างที่ไม่เคยถูกฮ่องเต้กล่าวชมหนแล้วก็หนเล่า?
กู้อี้หรานเห็นจงเจี๋ยไร้ปัญญา ก็คร้านจะเอ่ยต่อไปให้มากความ จึงเพียงยิ้มกลบเกลื่อน “สนมเสี่ยวอี๋ย่อมเป็นที่โปรดปรานเป็นอันมากเป็นธรรมดา ดังนั้นฮ่องเต้จึงได้สั่งให้พวกข้ามาตามหาทุกท่านที่ชิงโจว”
“เช่นนั้นพวกเจ้าก็เอาเรื่องนี้ไปบอกแก่คุณชายห้าแห่งตระกูลเว่ยคนนั้นเสียสิ” จงเจี๋ยกล่าวไปอย่างไร้เดียงสา “ข้ากลับไม่ได้พิศวาสอยากไปบ้านตระกูลเว่ย แต่ที่พวกเขามองผ่านพวกข้าแบบนี้ ช่างไม่มีมารยาทเอาเลย! เรื่องนี้หากไม่ได้พูดให้กระจ่าง พอไปถึงเมืองหลวงได้พบกับพี่ใหญ่แล้ว ข้าจะต้องเอาไปบอกพี่ใหญ่แน่นอน”
คำกล่าวของเขานี้มีน้ำเสียงขู่แอบแฝงอยู่ กู้อี้หรานและเพื่อนพ้องสบตากันคราหนึ่ง แล้วยิ้มเจื่อนพลางว่า “ฮองเต้มีคำสั่ง ได้กำหนดวันกลับเอาไว้แล้ว พวกข้ามิกล้าทำให้เสียเวลา แต่ฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลซ่งได้ให้หลานชายแท้ๆ มาเชิญ จึงจำเป็นต้องไปแสดงมารยาทตอบแทน เช่นนั้น พวกเราเหลือคนไว้อยู่กับทุกท่าน เมื่อไปบ้านตระกูลเว่ยและบอกกล่าวสักคำก็เดินทางต่อไปทันที เป็นเช่นไร?”
…นี่หาใช่เพราะได้ยินคำขู่ของจงเจี๋ยเพียงประโยคเดียว แล้วกู้อี้หรานรู้สึกตื่นตระหนกจริงๆ จนถึงขั้นเปลี่ยนคำจากที่สัญญาไว้กับตระกูลเว่ย หากแต่เพราะตวนมู่อู๋ยิวไม่ถูกกับเว่ยฉางเฟิงอยู่ก่อนแล้ว ก่อนหน้านี้จึงได้บอกกับกู้อี้หรานด้วยเสียงต่ำว่าเขาไม่อยากไปบ้านตระกูลเว่ย ฐานะของตระกูลตวนมู่แห่งจิ่นซิ่วทัดเทียมกับตระกูลเว่ยแห่งเฟิ่งโจว ตวนมู่อู๋ยิวจึงมิได้พิศวาสอยากเข้าประตูบ้านตระกูลเว่ย กู้อี้หรานคิดว่าประจวบเหมาะให้ตวนมู่อู๋ยิวอยู่ที่โรงเตี๊ยมคอยเฝ้าคนสกุลจงเอาไว้ เพื่อมิให้เกิดข้อผิดพลาดใดๆ ขึ้น
แม้จงเจี๋ยจะไร้ปัญญา แต่เมื่อกู้อี้หรานมิได้ต่อความเรื่องที่จะแนะนำเขากับเว่ยฉางเฟิงและเว่ยเกาชวน เขาก็พอจะคาดเดาได้คร่าวๆ ว่าที่กู้อี้หรานไม่ยอมทำเช่นนั้น เพราะต่อให้เขาทำเช่นนั้นแล้วตระกูลเว่ยก็ยังไม่เชื้อเชิญตนอยู่ดี จึงบันดาลโทสะ และกล่าวเตือนว่า “ราชองค์รักกู้เดินทางอย่างลำบากมาตลอดทาง พวกเราก็เห็นอยู่ วันหน้าเมื่อได้พบกับพี่ใหญ่แล้ว ความลำบากของราชองครักษ์ทุกท่านที่มีมาตลอดทาง พวกเราจะต้องนำไปบอกกับพี่ใหญ่อย่างละเอียด”
แต่ไรมากู้อี้หรานเป็นคนอารมณ์ดี ทั้งยังรู้ว่าจงเจี๋ยเป็นเพียงชาวบ้านเล็กๆ คนหนึ่งที่เท้าไม่เคยย่างกรายออกนอกเมืองมาก่อน ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ จึงได้หลงนึกไปว่าเมื่อพี่สาวได้เป็นสนมเสี่ยวอี๋แล้วจะสามารถสบประมาททุกคนที่ต่ำกว่าราชสำนักลงมาได้ เมื่อได้ยินคำขู่ที่ชัดแจ้งของเขาเช่นนี้จึงเพียงรู้สึกขบขัน แต่ตวนมู่อู๋ยิวกลับมิได้มีอารมณ์ดีเช่นนั้น เขากล่าวอย่างอดรนทนไม่ไหวว่า “รอจนกลับถึงเมืองหลวงแล้ว เจ้าอยากจะพูดอย่างไรก็เชิญพูด! แต่ยามนี้ไปโรงเตี๊ยมกับข้าก่อน!”
ทั้งยังกำชับกู้อี้หรานว่า “พวกเจ้ารีบไปรีบกลับ…แล้วรีบออกเดินทาง!”
_________________________