ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง - ตอนที่ 58.1 ส่งอำลา (1)
ตระกูลเว่ยให้การต้อนรับพวกของเติ้งจงฉีอย่างดียิ่ง เมื่อได้ยินว่าตวนมู่อู๋ยิวอยู่เป็นเพื่อนพวกของจงเจี๋ยที่โรงเตี๊ยม ยังได้มีน้ำใจนำสุราอาหารไปส่งให้
เพื่อแสดงว่าพวกเขาให้ความสำคัญกับหลานสาวเพียงใด เว่ยฮ่วนก็ได้มาร่วมงานด้วย ทั้งเขาและแม่เฒ่าซ่งกล่าวขอบคุณเติ้งจงฉีอีกครั้งอย่างเป็นทางการ ทั้งยังมอบของกำนัลขอบคุณให้เขาอย่างเต็มที่ ซึ่งแน่นอนว่าเติ้งจงฉีต้องรีบลุกขึ้นมาคำนับตอบแทบไม่ทัน และปฏิเสธไม่รับของกำนัลขอบคุณตอบแทน ฝ่ายหนึ่งรู้คุณตอบแทน ฝ่ายหนึ่งทำคุณไม่หวังผล บอกปัดไปมากันอยู่พักใหญ่ จึงได้ซ่งไจ้เถียนที่มาร่วมงานด้วยออกหน้าช่วยรอมชอมให้เติ้งจงฉีรับของกำนัลไปครึ่งหนึ่ง
เมื่อเติ้งจงฉีรับคำรับของกำนัลแล้ว คนตระกูลเว่ยทั้งหมดจึงได้โล่งอก… ว่าที่สุดก็ได้ตอบแทนบุญคุณครานี้เสียที แม้จะบอกว่ายามนี้ตระกูลเว่ย และตระกูลซ่งได้นัดหมายกับเติ้งจิงฉีเอาไว้แล้วอย่างลับๆ ว่าจะร่วมมือกัน ทว่านั่นก็เป็นเรื่องในทางลับ แต่ฉากหน้านั้น เว่ยฉางอิ๋งบุตรสาวสายเลือดตรงเพียงคนเดียวของตระกุลเว่ยติดเป็นหนี้บุญคุณเติ้งจงฉีใหญ่หลวงจริงๆ หากไม่ตอบแทนจนครบถ้วน เว่ยฉางอิ๋งก็จะต้องถูกคนตราหน้าว่าแล้งน้ำใจ อีกประการหนึ่งเรื่องของหนี้บุญคุณนั้นยิ่งยื้อนานไปก็จะยิ่งวุ่นวาย
เมื่อจัดการเรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว เว่ยฮ่วนก็หาข้ออ้างข้อหนึ่งว่าดื่มมากเกินไปและขอตัวไปก่อน เขาเป็นผู้อาวุโสกว่า ทั้งมีฐานะสูงส่ง หากมิใช่แม่เฒ่าซ่งเอ่ยปาก งานเลี้ยงต้อนรับผู้อาวุโสน้อยกว่าเช่นนี้ เขาจะไม่ออกหน้ามาเอง ต่อให้เติ้งจงฉีช่วยชีวิตเว่ยฉางอิ๋งเอาไว้ แล้วเว่ยเจิ้งหงไม่สะดวกมาดื่มในงาน เว่ยฉางเฟิงก็ยังเยาว์ แต่มีเว่ยเซิ่งเหนียนออกมาต้อนรับก็เพียงพอแล้ว ครานี้เขาออกมาในฐานะปู่เพื่อขอบคุณเด็กหนุ่มที่ช่วยชีวิตหลานสาว ก็ถือว่าให้เกียรติแก่เติ้งจงฉีอย่างเพียงพอแล้วทั้งยังให้เกียรติกับเว่ยฉางอิ๋งอย่างเพียงพอแล้วเช่นกัน เป็นธรรมดาว่าย่อมคร้านจะอยู่ต้อนรับต่อไป
เมื่อเขาไป แม่เฒ่าซ่งที่รับผิดชอบหน้าที่ของผู้อาวุโสอย่างเต็มกำลังก็ได้อาศัยข้ออ้างว่าไม่ต้องการจะรบกวนความสำราญของคนหนุ่ม จึงขอตัวและออกจากงานเลี้ยงไป
ผู้อาวุโสทั้งสองออกจากงานไปในช่วงเวลาที่เหมาะเจาะ แต่บรรยากาศในงานนอกจากจะไม่เงียบเหงาแล้ว กลับกัน กลับผ่อนคลายขึ้นอย่างมาก
เว่ยฉางเฟิงตบมือสั่งให้คนนำนางรำเข้ามาแสดงการร่ายรำ ตามธรรมเนียมปฏิบัติภายในของตระกูลเว่ย นางรำที่เลี้ยงดูไว้ในบ้านเหล่านี้มีหน้าตางดงาม ท่าทางอ้อยช้อย ทั้งร้องทั้งเต้น งดงามยิ่ง ทำให้บรรยากาศในโถงครึกครื้นขึ้นมาในทันใด
อาศัยยามที่ทุกคนกำลังชื่นชมกับเพลงและระบำ เว่ยฉางเฟิงจึงได้เอ่ยปากรั้งตัวเติ้งจงฉีให้พักอยู่ที่เฟิ่งโจวอีกสักระยะ เพื่อจะให้ตระกูลเว่ยได้แสดงน้ำใจในฐานะเจ้าบ้าน ซึ่งเติ้งจงฉีย่อมไม่ยอมอยู่เป็นธรรมดา กู้อี้หรานและหลิวซีสวินต่างก็มาช่วยพูดแทนพวกพ้อง กล่าวว่าพวกตนหวังจะกลับเข้าเมืองหลวงเพื่อรายงานผลการทำงานให้เร็วสักหน่อย ไม่กล้าเสียเวลามากเกินไป… คำพูดเชื้อเชิญพวกเขาให้อยู่ต่อเป็นเว่ยฉางเฟิงเอ่ย แต่หาใช่เพราะเว่ยฮ่วนและแม่เฒ่าซ่งถือตัวว่ามีฐานะสูงกว่า หรือไม่มีความจริงใจที่จะให้แขกอยู่ต่อ แต่กลับเป็นเพราะด้วยฐานะของเว่ยฮ่วนและแม่เฒ่าซ่ง เมื่อเชื้อเชิญคนรุ่นหลังสองสามคนนี้ให้อยู่ต่อ หากว่าพวกของเติ้งจงฉีไม่รับคำก็ถือเป็นการไม่เห็นแก่หน้าผู้อาวุโส หากรับคำ ก็จักทำให้พวกเขารู้สึกลำบากใจในการกลับไปรายงานผลการทำงาน
แต่หากให้เว่ยฉางเฟิงซึ่งเป็นคนในรุ่นเดียวกันเป็นคนเอ่ยปาก พวกของเติ้งจงฉีก็จะผ่อนคลายและสะดวกใจมากขึ้น
เติ้งจงฉีมีกู้อี้หรานและหลิวซีสวินคอยช่วยพูด แต่แน่นอนว่าในงานเลี้ยงของรุ่ยอวี่ถัง เว่ยฉางเฟิงไม่ได้มีผู้ใดคอยช่วยอยู่ เว่ยเกาชวนไม่เอาถ่าน เพียงไม่ได้อยู่ต่อหน้าท่านปู่ ก็พูดจาไม่ได้ฉะฉาน ทว่าพวกกู้อี้หรานจำเป็นต้องเร่งรีบเดินทางเป็นอย่างยิ่ง กอปรกับตวนมู่อู่ยิวก็มิได้มาด้วย จึงยิ่งมีเหตุผลว่าเมื่องานเลี้ยงเลิกราแล้วก็จะต้องขอตัวลาในทันที แม้แต่จะพักค้างก็ยังไม่คิดจะค้างในบ้านตระกูลเว่ย เว่ยฉางเฟิง เว่ยเกาชวนสองพี่น้องพยายามรั้งตัวอยู่นานแต่ก็ไม่เป็นผล ซ่งไจ้เถียนจึงได้เดินเข้ามาช่วยรอมชอมอีกครา
ทุกคนสนทนากันไปมา จึงค่อยๆ คุ้นเคย เพราะต่างก็เป็นบุตรหลานในตระกูลมีเกียรติด้วยกันทั้งนั้น สำหรับลำดับความสัมพันธ์ของแต่ละตระกูลในใต้หล้านี้พวกเขาล้วนท่องจำมาแต่เล็ก เมื่อนับญาติกันไปเก้าเลี้ยวสิบแปดโค้ง ย้อนกลับขึ้นไปหลายร้อยปี ไม่นานนักก็สามารถหาความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงซึ่งกันและกันออกมาจนได้ แรกเริ่มเรียกขานกับว่าพี่ชายน้องชาย ดูช่างห่างเหินนัก จึงได้พักเรื่องที่จะเชื้อเชิญให้อยู่ต่อเอาไว้เสียก่อน เมื่อซ่งไจ้เถียนเห็นว่าบรรยากาศได้ที่แล้ว จึงได้ดึงเรื่องนี้กลับมาใหม่ กล่าวว่า “ทุกท่านมิต้องการรบกวนเวลาปฏิบัติภารกิจตามราชโองการ ทว่าเพลานี้ยังห่างจากวันคล้ายวันเกิดของสนมจงอีกเดือนกว่า จากเฟิ่งโจวไปถึงเมืองหลวง มีเวลาถมเถ แม้จะไม่พักอยู่นาน จะพักอยู่สั้นๆ สักวันสองวัน ก็หาได้มีปัญหาใดไม่”
เติ้งจงฉีและกู้อี้หรานย่อมต้องปฏิเสธไปอีกหน
ซ่งไจ้เถียนจึงว่า “ไม่ปิดบังทุกท่าน ข้าและน้องสาวก็วางแผนจะกลับเมืองหลวงในอีกไม่กี่วัน หากทุกท่านไม่รังเกียจ ข้าก็อยากจะร่วมเดินทางไปกับทุกท่านด้วย”
เว่ยฉางเฟิงยิ้มพลางว่า “เป็นเช่นนั้นจริง ลูกผู้พี่ซ่งและท่านพี่ไจ้สุ่ยวางแผนจะเดินทางในอีกสองวัน คิดว่าท่านพี่ทุกท่านคงจักเคยได้ยินมาบ้างว่าไม่กี่เดือนก่อน ท่านปู่ของข้าและท่านซ่งหานเจ้ากรมธุรการได้ไปปราบปรามพวกโจรที่เขาเฟิ่งฉี แม้จะมีชัยใหญ่หลวง แต่กลับเป็นเพราะเรื่องของเมืองเหลียวจึงต้องเร่งเดินทางกลับมา จึงทำให้พวกโจรชั่วต่างหลบหนีเข้าไปภูเขาจนหาไม่พบ ดังนั้นท่านปู่และท่านย่าจึงเป็นห่วงการเดินทางของลูกผู้พี่ซ่งและพี่ไจ้สุ่ยเป็นอันมาก แต่จนใจที่ท่านพ่อข้าสูงวัยและเจ็บป่วย ท่านอาก็มีภารกิจอยู่กับตัว ส่วนพวกข้าก็ยังเยาว์เกินไป มิอาจรับผิดชอบการเดินทางไปส่งที่แสนสำคัญนี้ได้ หากสามารถร่วมเดินทางไปกับพวกของท่านพี่ ไม่เพียงบรรดาผู้ใหญ่จะวางใจ… เมื่อครู่นี้ข้าคล้ายจักเห็นว่าบ้านสกุลจงที่พวกท่านพี่คอยดูแลไปส่งนั้นยังมีญาติผู้หญิงด้วย? เป็นพวกท่านพี่กลับไม่สะดวก แต่หากมีพี่ไจ้สุ่ยอยู่ ก็จะสามารถช่วยเหลือได้ทั้งหมด ด้วยเหตุผลทั้งสองประการนี้จึงเห็นว่าเหมาะควรแล้ว”
แล้วกล่าวอีกว่า “แม้เฟิ่งโจวจะไม่ครึกครื้นเช่นเมืองหลวง ทว่าก็ยังมีทิวทัศน์งดงามให้ได้ชม หากพวกท่านพี่มิมีใจจะท่องเที่ยว ในบ้านข้าก็ยังมีหนังสือเลื่องชื่ออยู่จำนวนหนึ่ง…”
เมื่อเขาเอ่ยถึงเรื่องท่องเที่ยว ก็พลันเห็นกู้อี้หรานมีท่าทีปฏิเสธออกมา ทว่าเมื่อเอ่ยถึงหนังสือเลื่องชื่อ ดวงตาของทั้งกู้อี้หรานและเติ้งจงฉีต่างแวววาวขึ้นมา แม้แต่หลิวซีสวินก็ยังมีท่าทีตั้งตารอ… ผู้มีความสามารถในการอักษรของตระกูลเว่ยแห่งเฟิ่งโจวนั้นมีมากมาย ทั้งมีชื่อสูงส่ง เช่นเว่ยปั๋วอวี้ก็เป็นเพียงหนึ่งในจำนวนนั้นเท่านั้น ทว่าแม้จะหวังเพียงชมลายมือจริงของ ‘บันทึกเขาไผ่น้อย’ สำหรับพวกเขาแล้วก็นับว่าเป็นสิ่งยั่วยวนเป็นที่สุดแล้ว
แม้พวกเขามาเป็นราชองครักษ์อี้ เพราะวันหน้าคิดจะทำงานด้านบู๊ ทว่าสิ่งที่แทรกซึมอยู่ภายในแต่ละตระกูลก็คือ ความชื่นชมและลุ่มหลงที่ลูกหลานของตระกูลสูงศักดิ์มีต่อทุกสิ่งที่งดงามทรงคุณค่า ซึ่งถูกปลูกฝังจนเข้ากระดูกมาเสียตั้งนานแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นเว่ยฉางเฟิงก็บอกว่าเพียงแค่สองวันนี้… มากที่สุดก็จะไม่เกินสามวัน พวกเขายังมีเวลาว่างอีกครึ่งเดือน เพื่อให้ได้ชมลายมือจริงของ ‘บันทึกเขาไผ่น้อย’ ไปถึงเมืองหลวงช้าสักสองสามวันแล้วจักเป็นไร?
แม้กระทั่งกู้อี้หรานที่ให้สัญญากับจงเจี๋ยเอาไว้แล้วว่าหลังจากงานเลี้ยงก็จะรีบกลับโรงเตี๊ยมทันทีและเร่งออกเดินทางให้เร็วที่สุดก็ยังสั่นคลอนแล้ว “ในเมื่อน้องชายเชื้อเชิญอย่างจริงใจเช่นนี้ หากพวกข้ายังปฏิเสธอีก ก็ช่างดูไร้เหตุผลเสียเหลือเกิน เพียงแต่ว่ามีภาระเรื่องราชโองการ ยิ่งไปกว่านั้นญาติสกุลจงก็เร่งร้อนจะพบสนมเสี่ยวอี๋ จึงไม่อาจล่าช้าได้จริงๆ” เขายังคงไม่วางใจ จึงยืนกรานไปอีกสามคราว่าไม่อาจจะพักอยู่นานเกินไป
เว่ยฉางเฟิงยิ้มและกล่าวว่า “คราวก่อนท่านพี่กู้มิใช่เคยบอกว่าองค์ฮ่องเต้ทรงต้องการให้พวกเขาได้พบกันในวันคล้ายวันเกิดของสนมจงหรอกหรือ? ต่อให้ไปถึงเมืองหลวงก่อนกำหนด อย่างไรก็ยังพบไม่ได้… อีกประการข้าหรือจะกล้าให้ท่านพี่ขัดราชโองการ?”