ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง - ตอนที่ 58.2 ส่งอำลา (2)
ราชองครักษ์อี้สี่นายมีกู้อี้หรานเป็นหัวหน้า หากเขารับคำแล้ว เติ้งจงฉีและหลิวซีสวินก็จะต้องตกลงด้วย แต่หลิวซีสวินเกิดความลังเลขึ้นมา แล้วกลับอ้ำๆ อึ้งๆ สอบถามเว่ยฉางเฟิงว่ายามใดจะนำลายมือจริง ‘บันทึกเขาไผ่น้อย’ ออกมาให้ทุกคนได้ชม เว่ยฉางเฟิ่งนึกว่าเขาสงสัยในคำสัญญาของตน และกำลังจะอธิบาย หลิวซีสวินก็สัมผัสได้ว่าเขาเข้าใจผิดแล้ว จึงรีบกล่าวว่า “เดิมทีมิกล้าจะไปรบกวนท่านอาสิบเก้า ทว่าในเมื่อต้องอยู่เป็นเวลาสั้นๆ สองวัน แต่กลับไม่อาจไปคารวะได้ ดังนั้น…”
เว่ยฉางเฟิงคิดอยู่สักพักจึงได้เข้าใจว่าท่านอาสิบเก้าที่เขาเอ่ยถึงนั้น ก็คือป้าสะใภ้ ภรรยาของท่านลุงซึ่งเป็นลูกผู้พี่ของท่านพ่อของเขา…ฮูหยินแซ่หลิวของบุตรชายของจิ้งผิงกง ซึ่งเป็นเช่นคำของหลิวซีสวิน ว่าเขามีภาระเรื่องราชโองการอยู่กับตัว หากหยุดพักอยู่ที่เฟิ่งโจวแล้วไม่ไปคารวะฮูหยินหลิวที่จวนจิงผิงกงก็จะเป็นการไม่สมควร แต่ในเมื่อยามนี้ตัดสินใจว่าจะพักค้างสองวันแล้ว แม้ฮูหยินหลิวจะมิได้เป็นญาติสายเดียวกับเขา แต่สายเลือดก็มิได้ห่างไกลจนถึงขั้นที่เขาไม่จำเป็นต้องไปคารวะ
เพียงแต่กู้อี้หรานยิ่งย้ำอีกว่าเพียงสองสามวัน หลิวซีสวินกลับเป็นกังวลว่าเมื่อตนไปคารวะที่จวนจิงผิงกง เว่ยฉางเฟิงจะนำลายมือ ‘บันทึกเขาไผ่น้อย’ ฉบับจริงออกมาให้ทุกคนชม แล้วตนกลับไม่ได้เห็น จึงได้เอ่ยปากสอบถามให้ละเอียดขึ้นมา
เมื่อเข้าใจความหมายของเขาแล้ว เว่ยฉางเฟิงจึงหัวเราะออกมาอย่างลืมตัว พลางว่า “ท่านพี่หลิวมิต้องเป็นห่วง ในเมื่อท่านพี่ชื่นชอบลายมือจริงของท่านเขาไผ่ แล้วข้าจักหลงลืมท่านพี่ได้อย่างไร?”
เช่นนั้นทุกคนจึงตัดสินใจได้อย่างฉับไวว่าจะหยุดพักอยู่ที่เฟิ่งโจวสามวัน… วันนี้นับเป็นวันแรก หลังจากเสร็จงานเลี้ยง ทุกคนแยกย้ายกันเป็นสามทาง กู้อี้หรานกลับไปอธิบายกับตวนมู่อู๋ยิวที่โรงเตี๊ยม ในเวลาเดียวกันก็ได้นำเรื่องที่จะหยุดพักที่นี่ไปบอกกล่าวกับพวกของจงเจี๋ย เว่ยฉางเฟิงนั้นส่งคนไปส่งเทียบที่จวนจิงผิงกง เพื่อแจ้งให้ฮูหยินหลิวทราบเรื่องที่หลิวซีสวินจะมาเข้าคารวะ และแน่นอนว่าซ่งไจ้เถียนและซ่งไจ้สุ่ยเร่งเก็บข้าวของ เพื่อให้ทันเวลาออกเดินทาง
เวลาสามวันผ่านไปเพียงพริบตา
เมื่อถึงวันที่นัดหมาย หลังจากที่ไปกล่าวลาผู้อาวุโสตระกูลเว่ยทั้งหมดตั้งแต่เช้า เว่ยฉางอิ๋งประคองซ่งไจ้สุ่ยขึ้นรถด้วยตนเองทั้งดวงตาแดงก่ำ หากว่ากันตามจริงแล้ววันเวลาที่พวกนางได้อยู่ด้วยกันก็เพียงไม่กี่เดือนนี้ ทั้งสองคนมีนิสัยที่ต่างกันคนละขั้ว หากจะบอกว่าเพียงได้พบก็เหมือนรู้จักมานานก็ว่าไม่ได้ ระหว่างอยู่ด้วยกันต่างก็มียามที่ทำให้อีกฝ่ายไม่สบอารมณ์ แต่บางทีด้วยเหตุที่ต่างคนต่างไม่มีพี่สาวน้องสาวแท้ๆ เมื่อทั้งสองคนได้คบหากันจึงกลับเป็นเหมือนกับพี่สาวและน้องสาวแท้ๆ
ยามนี้ซ่งไจ้สุ่ยจะกลับเมืองหลวงแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นในการเดินทางหนนี้ยังได้กำหนดเอาไว้แล้วว่าจะต้องมีบางสิ่งเกิดขึ้น แม้จะเป็นแผนการที่พวกผู้ใหญ่เป็นคนวางเอาไว้เอง แต่เรื่องราวในโลกล้วนอนิจจัง… เว่ยฉางอิ๋งจึงอดจะเป็นกังวลและอาลัยอาวรณ์ไม่ได้
กลับกลายเป็นว่าซ่งไจ้สุ่ยเร่งร้อนจะยกเลิกสัญญาแต่งงานกับตำหนักตะวันออก จึงแทบจะรอให้ออกเดินทางเสียเร็วๆ มิได้ จนใบหน้าของนางแสดงความความกระตือรือร้นเสียอย่างยิ่งออกมาให้เห็น เมื่อเห็นว่าเว่ยฉางอิ๋งเป็นทุกข์ ก็อดจะตบหลังมือนางไปเบาๆ ไม่ได้ แล้วกระเซ้าว่า “เจ้าโง่เสียจริง หรือว่ามีเพียงข้าผู้เดียวที่ต้องไปเมืองหลวง? อย่าได้ลืมสิว่าอีกครึ่งปีเจ้าก็ต้องไปด้วยเช่นกัน เมื่อถึงยามนั้นอย่าได้รังเกียจลูกผู้พี่ที่ไม่มีคนต้องการเช่นข้าแล้วไม่ยอมให้ข้าไปหาเจ้าที่บ้านเป็นดี!”
“ท่านพี่มีความสามารถเช่นนี้ยังไม่มีคนต้องการ แล้วอย่างข้าก็มิใช่ว่าจะไม่มีทางมีชีวิตรอดหรอกหรือ?” เว่ยฉางอิ๋งตื่นตกใจ แล้วเอ่ยตามมาอย่างทำใจไม่ได้ว่า “เช่นนั้นข้าขอให้ท่านพี่ไปครานี้ราบรื่นทุกสิ่ง ได้สมดังหวังในเร็ววัน!”
ดวงตาของซ่งไจ้สุ่ยโค้งขึ้นมาแล้วปรบมืออย่างยินดี พลางยิ้มแล้วว่า “สิ่งนี้ย่อมแน่นอนอยู่แล้ว!” นางขยับสายตาไปมา แล้วพลันก้มหัวมาข้างหูเว่ยฉางอิ๋ง กระซิบเบาๆ ว่า “เจ้าวางใจเถิด! เมื่อถึงเมืองหลวงแล้ว ข้าจะสอบถามนิสัยใจคอของเสิ่นจั้งเฟิงผู้นั้นให้เจ้า! เรื่องที่จะเอาไว้จัดการกับเขาได้ ทั้งเขามีผู้ใดอยู่ในเรือน รักใคร่กับผู้ใด หรือเรื่องไร้ยางอายใด… ให้พวกนางได้รู้ว่ากลเม็ดเคล็ดลับการจัดการเรื่องในเรือนหลังที่ข้าร่ำเรียนมาหลายปีนี้มิได้เรียนเอาไว้เฉยๆ! หากกล้ามาทำลายชีวิตแต่งงานของลูกผู้น้องของข้า ข้าจะไม่จัดการให้พวกนางตายรึ!”
เว่ยฉางอิ๋งตกใจ แล้วจึงกล่าวพร้อมกลิ่นไอสังหารรุนแรงว่า “ท่านพี่ ท่านวางใจ พวกเราพี่น้อง จักเป็นผู้ที่ถูกผู้อื่นรังแกเช่นนั้นรึ? หากมีคนเช่นนั้นจริง ก็ไม่ต้องลำบากท่านพี่ ข้าจำได้ดี รอจนข้าไปถึงเมืองหลวงแล้วให้บอกข้า ดูข้าลงมือเอง ข้าจักหักขาพวกนางให้ดู!”
“วางใจ วางใจ!” ซ่งไจ้สุ่ยกำหมัดสะบัดไปมา นานครั้งจะได้แสดงท่าทีห้าวหาญเช่นเว่ยฉางอิ๋ง มิใช่กริยาสำรวมอย่างเคยมี พลางกล่าวอย่างลิงโลดว่า “พวกเราเจอกันที่เมืองหลวง!”
เมื่อได้ยินนางว่าเช่นนี้ ความรู้สึกพรากจากที่เว่ยฉางอิ่งมีจึงได้หายวับไปสิ้น แล้วพยักหน้าอย่างหนักแน่น “เจอกันที่เมืองหลวง!” นางออกแรงกุมมือลูกผู้พี่ วินาทีที่ถอยออกมาจากรถ นางก็หันหน้ากลับไปแล้วจ้องลึกลงในดวงตาที่เปี่ยมล้นด้วยความหวังของซ่งไจ้สุ่ยคราหนึ่ง จากนั้นจึงได้ปล่อยม่านปิดรถลงอย่างอาลัยอาวรณ์
ในยามนี้ สำหรับเมืองหลวงที่แสนไกลและไม่คุ้นเคย เว่ยฉางอิ๋งพลันมิได้รู้สึกหวาดกลัวและกังวลเช่นเคยเป็นแล้ว ท่านอารองที่อยู่ที่นั้น ตนมิคุ้นเคย อาหญิงก็มิได้คุ้นเคย แต่อย่างน้อยก็มีลูกผู้พี่ที่สนิทสนมกัน…
…ถึงตรงนี้ นับเป็นการลาจากด้วยดี
น่าเสียดายที่กลับมีคนมาทำลายบรรยากาศเสีย ฮูหยินซ่งที่เร่งรีบจัดการเรื่องต่างๆ รอบตัว แล้วตั้งใจมาส่งหลานสาวออกจากจวน มองดูบุตรสาวกระโดดลงจากรถม้าด้วยความสงสัย กล่าวว่า “ยามนี้เจ้าลงมาทำสิ่งใด? มิใช่เจ้าบอกว่าจะไปส่งไจ้สุ่ยด้วยตนเองจนถึงศาลายาวนอกเมืองรึ?” นี่เป็นเรื่องที่เว่ยฉางอิ๋งอ้อนวอนขอแม่เฒ่าซ่งอยู่ครึ่งค่อนชั่วยามจนฮูหยินผู้เฒ่ายอมรับปาก… อย่างไรเสีย คราก่อนนางทั้งได้รับบาดเจ็บบนเขาไผ่น้อย ทั้งยังเกือบจะบาดเจ็บจากเขี้ยวงู เดิมทีฮูหยินผู้เฒ่าตัดสินใจว่าก่อนออกเรือนจะไม่ให้นางออกไปนอกจวน เพื่อมิให้เกิดเรื่องยุ่งยากใดขึ้นมาอีก
“…” เว่ยฉางอิ๋งเพิ่งลงมาจากรถ เท้ายืนโซเซข้างหนึ่ง หลังจากนิ่งเหม่ออยู่เกือบเค่อ จึงได้ตื่นเต้นดีใจขึ้นมาท่ามกลางสาวใช้รอบตัวที่พากันปิดปากแอบหัวเราะ “ต้องโทษท่านพี่เชียว! กำลังเจรจากันอยู่ดีๆ ท่านพี่ก็เอ่ยลาขึ้นมาเสียอย่างนั้น มาเอ่ยว่า ‘เจอกันที่เมืองหลวง’ เอายามนี้ ข้าก็นึกว่าข้าควรต้องลงจากรถแล้ว!”
ซ่งไจ้สุ่ยนั่งพิงเบาะนุ่มอยู่บนรถก็หัวเราะออกมาอย่างลืมตัว พลางปาดน้ำตาฝืนเอ่ยปากว่า “เจ้า…เจ้ายังกล้าพูดออกมาได้หรือ? ข้าเห็นว่าครานี้เจ้าตาแดงก่ำ จึงสงสารเจ้า เพิ่งจะเอ่ยเตือนไปหนึ่งประโยค เจ้าก็ว่า ‘เช่นนั้นข้าขอให้ท่านพี่ไปครานี้ราบรื่นทุกสิ่ง ได้สมดังหวังในเร็ววัน’! มิใช่ข้าเพียงเอ่ยตามคำเจ้าไปหรอกรึ?”
ยามนี้ฮูหยินซ่งจึงเพิ่งจะเข้าใจว่าเป็นเรื่องใดกันแน่ ทั้งมิรู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี แล้วชี้นิ้วไปแตะที่หน้าผากของบุตรสาว พลางกล่าวอย่างไม่พอใจว่า “เจ้าน่ะ! ตนเองเลอะเลือน ยังคิดเคืองลูกผู้พี่ของเจ้า! ทำเรื่องน่าขันเช่นนี้ ก็นับว่าสมน้ำหน้าเจ้าแล้ว!” ทั้งยังหัวเราะแล้วว่า “รีบขึ้นไปเสีย เกรงว่าไจ้เถียนและฉางเฟิงที่อยู่ข้างหน้าจะเตรียมตัวเสร็จแล้ว พวกเจ้าให้พี่ชายน้องชายของตนรอสักหน่อยนั้นมิเป็นไร แต่วันนี้ยังต้องร่วมเดินทางไปกับพวกของคุณชายเติ้งด้วย! อย่าให้คนนอกต้องรอนานเชียว! รีบขึ้นไปรีบขึ้นไป!”
เว่ยฉางอิ๋งกุมหน้าผากอยากกลัดกลุ้ม แล้วจึงขึ้นไปบนรถอีกครั้ง พลางกล่าวอย่างขัดเคืองว่า “เจ้าค่ะ” เมื่อเห็นว่าซ่งไจ้สุ่ยที่อยู่ข้างๆ ยกแขนเสื้อขึ้นมาปิดปาก ยังคงหัวเราะไม่หยุด นางส่งเสียงหึหึออกมาพลางว่า “ลูกผู้พี่ที่ใจร้ายเช่นนี้ นับวันยิ่งไม่น่ารักเลย!”
ซ่งไจ้สุ่ยหัวเราะตาหยีพลางตอบว่า “จริงรึ? แต่ข้ากลับเห็นว่านับวันฉางอิ๋งจะยิ่งน่ารัก ปีหน้ายามเจ้าหนุ่มบ้านเสิ่นคนนั้นมาสนิทสนมกับเจ้า จะต้องทำให้เขาลุ่มหลงจนโงหัวไม่ขึ้นเป็นแน่ เจ้าไม่จำเป็นต้องลงมือใดๆ เขาก็จักต้องเชื่อฟังเจ้าทุกประการแล้ว!”
“…” เว่ยฉางอิ๋งพ่ายแพ้อีกรอบ คิดอยู่สักพัก จึงพลันโผเข้าหาอกนางแล้วแยกเขี้ยวยิงฟัน “ยกเสิ่นจั้งเฟิงขึ้นมาทำพูดดีกับข้า ข้าจดจำไว้หมดแล้ว! ลองมองย้อนกลับไปดูยังจะพูดไปถึงตัวผู้ใดอีก!”
ซ่งไจ้สุ่ยรีบร้อนผลักนางออก “อย่าโดนมวยผมข้า…โธ่เอ๊ย ปิ่นเบี้ยวหมดแล้ว! เจ้าคนนี้ พูดไม่ชนะข้าก็ลงไม้ลงมือ ตัวโตถึงเพียงนี้แล้ว ไม่อายบ้างรึ? สุภาพบุรุษเอ่ยปากไม่ลงมือนะ!”
“ข้าหาใช่สุภาพบุรุษไม่ ข้าเป็นเพียงเด็กสาวตัวน้อยๆ คนหนึ่งเท่านั้น!” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยอย่างเต็มปากเต็มคำ และได้ใจเป็นที่ยิ่ง “พูดไม่ชนะ แล้วยังจะไม่ยอมให้ข้าลงมือโต้ตอบสักหน่อยบ้างเลยหรือ?
____________________