ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง - ตอนที่ 59.2 ลอบสังหาร (2)
“คุณชายโปรดเงียบ!” เว่ยชิงเห็นว่าเว่ยฉางเฟิงยังคิดจะวิ่งไปที่ที่เว่ยเกาชวนตกลงมาจากม้าเพื่อตรวจดูว่าลูกผู้พี่จะเป็นหรือตาย สีหน้าเขาจึงเปลี่ยนไปในทันใด พลันพลิกมือดึงตัวเว่ยฉางเฟิงกลับมา แล้วกดเสียงต่ำกล่าวอย่างดุดันว่า “พวกโจรไม่มีทางมาเพราะพวกองครักษ์เช่นข้า จักต้องพุ่งเป้ามาที่คุณชายทั้งสอง! เมื่อครู่นี้คุณชายสี่รั้งรอไม่ยอมลงจากม้า เกรงว่าจะถูกพวกโจรพบเห็นเขาเสียตั้งนานแล้ว ยามนี้หากคุณชายเข้าไป ก็มิเท่ากับว่าส่งเนื้อเข้าปากเสือหรือ? ยิ่งไปกว่านั้นคุณชายสี่แค่เพียงตกจากม้า องครักษ์ข้างกายก็ได้เข้าไปตรวจดูเขาแล้ว ไม่จำเป็นต้องเอาชีวิตไปเสี่ยง…หากคุณชายเข้าไปแล้ว เกิดบาดเจ็บขึ้นมา กลับจะยิ่งทำให้คุณชายสี่ลำบากไปด้วยนะขอรับ!”
เขาพูดยังไม่ทันสิ้นความ ก็ได้ยินเสียงร้องโหยหวนดังมาจากที่ไม่ไกลนัก เสียงร้องโหยหวนนี้ยิ่งทำให้ทั้งเว่ยชิงและเว่ยฉางเฟิงใจคอไม่ดียิ่งขึ้น… นั่นคือเสียงขององครักษ์ที่ก่อนนี้เว่ยชิงสั่งไปลองเจรจากับพวกโจร!
ดูท่าว่า คนพวกนี้หมายมั่นปั้นมือมาสังหารคนเสียให้ราบ!
พื้นที่รอยๆ เพียงเท่านี้ยังมีคนและม้าสามารถยืนอยู่ได้ไม่มากเลย เดิมทีนั้น ในขากลับวันนี้พวกเขามีเพียงรถม้าของเว่ยฉางอิ๋งคันเดียว คนอื่นนอกนั้นล้วนขี่ม้า ถนนหลวงสายนี้กว้างใหญ่ แม้เชือกพันขาม้าจะทำให้องครักษ์ล้มไปเพียงสองนาย แต่เฟิ่งโจวสุขสงบมานาน บวกกับแต่ไรมาไม่เคยมีคนจะคิดว่าพวกของเว่ยฉางเฟิงทั้งสามคนจะถูกลอบโจมตีบนถนนหลวงที่ห่างจากตัวเมืองเพียงยี่สิบลี้… อาศัยวิธีการว่าเมื่อเห็นพวกพ้องถูกทำให้ล้มลง พวกองครักษ์ก็จะไม่พากันจากไปในทันที ยังคงรวมกันอยู่กับที่ กระทั่งยังมีคนกระโดดลงจากม้าเพื่อช่วยพวกพ้องที่ถูกม้าทับอยู่อีกด้วย…
เมื่อกองกำลังเป็นเช่นนี้ไปเสียแล้ว ทำให้ลูกธนูดังห่าฝนระลอกแรกเทลงมา แม้จะมีคนเพียงจำนวนน้อยที่ต้องธนูจนบาดเจ็บและล้มตาย แต่กลับทำให้ม้าส่วนมากตื่นตกใจ!
ม้าที่ต้องลูกธนูเหล่านี้ มีเพียงตัวสองตัวที่ถูกทำร้ายในจุดสำคัญแล้วพลันล้มลงตาย แต่ส่วนมากกลับตื่นตกใจเพราะเหตุการณ์นี้จึงพากันวิ่งเตลิดขึ้นมาโดยไม่ฟังคำสั่งของเจ้านาย!
และองครักษ์ส่วนมากก็ยังไม่ทันได้ลงมาจากม้า พอม้าเตลิดขึ้นมา ก็รู้ได้ทันทีว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร!
หากมิได้เห็นด้วยตาตนเอง ไม่ว่าจะเป็นเว่ยชิงหรือเว่ยฉางเฟิงก็คงไม่มีทางเชื่อว่าองครักษ์ตระกูลเว่ยที่ฉลาดหลักแหลมและเก่งกาจซึ่งได้รับการคัดเลือกมาเป็นพิเศษเหล่านี้ กลับถูกโจมตีจนมีสภาพน่าอนาถเช่นในยามนี้!
แต่ขณะนี้มิใช่เวลาจะมาคิดทบทวนเรื่องนี้ เว่ยชิงตระหนักว่า หากไม่สามารถถอยออกไปยังป่าข้างทางก่อนจะสูญเสียที่กำบังไป เพียงพวกโจรคอยยิงธนูอย่างต่อเนื่องก็จะทำให้ทุกคนถูกยิงตายอยู่กลางถนนสายนี้!
กระทั่งว่า เมื่อพวกเขาตายแล้วก็ยังไม่ได้เห็นตัวของพวกโจรเลยแม้แต่คนเดียว!
แม้ยามนี้พวกโจรจะหลบซ่อนอยู่ในป่าสองข้างทาง ทว่าขอเพียงพวกเขาเข้าไปในป่า ลูกธนูของอีกฝ่ายก็จักทำงานได้ไม่เป็นผลนัก หากเป็นการต่อสู้แบบประชิดตัว เว่ยชิงก็ยังมีฝีมือเยี่ยมยอดไม่เบาเลย! หากยังคงอยู่บนถนนหลวงนี้ มิต้องเอ่ยถึงว่ายามนี้พวกเขามาส่งแขกจงมิได้พกธนูมา หรือต่อให้พกมา ถนนหลวงไม่มีที่กำบัง ส่วนพวกโจรซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้ หากจะยิงต่อสู้กันแล้วจะได้เปรียบได้อย่างไร? อย่างไรเสียแม้ยามนี้จะนับว่าเป็นฤดูใบไม้ผลิแล้ว แต่อากาศในเฟิ่งโจวยังอบอุ่น ต้นไม้ใบหญ้าในป่ายังคงมีกิ่งใบหนาแน่น หากว่าโชคดี เมื่อเข้าป่าไปแล้วก็พอจะมีหวังหนีพ้นพวกโจรที่มาซุ่มโจมตีกลุ่มนี้ได้
ในขณะที่เว่ยชิงกำลังสังเกตรอบๆ ตัวด้วยความรวดเร็ว และวางแผนจะหาช่องทางลับตาท่ามกลางศพที่นอนเกลื่อนอยู่เต็มพื้นเพื่อถอยเข้าไปข้างทางอยู่นั้น กลับได้ยินผิวปากสูงแหลมดังขึ้นมาจากในป่าทางด้านซ้ายของถนน…เขาพลันรู้สึกหนักอึ้งในใจขึ้นมาทันที ปรากฏว่าเมื่อมองจากช่องระหว่างขาม้าตัวหนึ่งที่ต้องธนูหลายดอกแต่ยังคงดิ้นทุรนทุรายและไม่ยอมล้มลง พลันมีกลุ่มคนชุดดำปิดหน้าในมือถือมีดดาบพุ่งออกมา คนที่เป็นหัวหน้าถือดาบทองใหญ่หลังเก้าห่วง ตะโกนเสียงดังว่า “พี่น้องเรา พวกสุนัขรับใช้ตระกูลเว่ยล้มตายไปกว่าครึ่งแล้ว ที่เหลือนั้นอย่าได้ไปเกรงกลัว…ฆ่ามัน!”
เมื่อเว่ยฉางเฟิงเห็นเหตุการณ์นี้เช่นกัน เขาสูดหายใจลึกหนหนึ่ง หนุ่มน้อยที่เพิ่งเคยได้เห็นการฆ่าฟันและเลือดเป็นครั้งแรก ร่างกายที่สั่นเทาด้วยสัญชาตญาณนั้นกลับหยุดลงไม่ได้เลย แล้วสั่งความเว่ยชิงด้วยเสียงหนักว่า “พวกโจรได้วางแผนก่อการไว้ก่อนหน้าแล้ว ยามนี้กำลังคนของเราไม่เพียงพอไปตอบโต้…เจ้าไม่ต้องมาคุ้มครองข้าอีกแล้ว! รีบหนีกลับเข้าเมืองเพียงลำพัง นำเรื่องในวันนี้ไปแจ้งแก่ท่านปู่! แล้วมาแก้แค้นให้พวกข้า!”
เว่ยชิงนึกไม่ถึงว่าคุณชายห้าผู้มีอายุน้อยๆ เพียงเท่านั้น ในขณะที่กำลังตื่นตกใจแต่กลับสามารถตัดสินใจได้อย่างเด็ดเดี่ยว ในใจพลันรู้สึกนับถือเว่ยฉางเฟิงขึ้นมาอีกหลายเท่า แต่เขากลับส่ายหัวแล้วว่า “เฟิงโจวห่างจากที่นี่เพียงยี่สิบลี้ และที่นี่ก็เป็นถนนหลวง แต่แล้วตลอดทางที่พวกเราเดินทางกลับมาได้เห็นผู้คนสัญจรสักครึ่งคนหรือไม่? คนพวกนี้อาจหาญมาลอบสังหารคุณชายและคุณหนู เกรงว่าจะได้เตรียมการเอาไว้แต่เนิ่นๆ แล้ว! อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องที่ตัวข้าน้อยเพียงลำพังจะหนีเอาชีวิตรอดไปได้หรือไม่เลยขอรับ ลำพังว่าท่านประมุขมอบหมายให้ข้าน้อยติดตามคุณชายมาตั้งแต่ปีนั้น คุณชายรอด ข้าน้อยไม่จำเป็นต้องรอด คุณชายม้วย ข้าน้อยก็ต้องตายก่อน!”
“โง่เง่า!” เว่ยฉางเฟิงเห็นว่าจนถึงยามนี้แล้วเขายังจะมาแสดงความจงรักภักดี จึงโกรธเสียจนแทบเป็นลมล้มไป! “เจ้าไม่ไป แล้วผู้ใดจะนำความไปแจ้งท่านปู่เล่า…”
“เกิดเรื่องราวใหญ่โตเพียงนี้บนถนนหลวง คุณชายคิดว่าวันหน้าท่านประมุขจะตรวจสอบไม่ได้หรือ?” เว่ยชิงทอดถอนใจ เรื่องนี้ตั้งแต่สถานที่ ตั้งแต่ฐานะของคนที่ถูกลอบสังหารไปจนถึงเรื่องช่วงจังหวะเวลา ล้วนไม่อาจปิดบังสิ่งใดได้ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้คนเหล่านี้ยังอาจหาญมาลงมือ… เห็นชัดว่าพวกมันมีความมั่นใจว่าหลังจากเกิดเรื่องแล้วจะสามารถรับมือกับการแก้แค้นอย่างบ้าระห่ำของเว่ยฮ่วนและแม่เฒ่าซ่งได้!
…ผู้อยู่เบื้องหลัง เป็นผู้ใดกันแน่?!
เว่ยฉางเฟิงคิดถึงคำถามนี้ด้วยเช่นกัน เพียงแต่ยามนี้ก็ไม่มีเวลาไปพิจารณาให้ลึกซึ้งแล้ว หลังจากที่ได้รับคำสั่งจากหัวหน้า พวกคนปิดหน้าก็เข้ามาตรวจดูทั่วบริเวณที่พวกมันมาลอบสังหาร ม้าทุกตัวที่ตายหรือบาดเจ็บล้วนถูกเคลื่อนย้ายออกไป เพื่อตรวจสอบดูว่ามีคนซ่อนตัวอยู่ภายในนั้นหรือไม่ ไม่เพียงเท่านั้น หากมีคนที่นอนจมกองเลือดอยู่บนพื้น พวกมันก็จะแทงซ้ำลงไปที่คอและอกอีกสองสามหน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเป็นไปได้ว่าจะมีคนที่ยังไม่ตายหรือแกล้งตายอยู่อีก
ไม่เพียงเท่านี้ เมื่อพวกมันเคลื่อนที่ไปข้างหน้าแล้ว ยังมีมือธนูซ่อนตัวอยู่ภายในป่าไม่ออกมา เมื่อมีองครักษ์คิดจะเข้าแลกชีวิตกับพวกมัน ก็จะมีลูกธนูพุ่งออกมาและปักเข้าที่ลำคอ!
นี่คือแผนการสังหารให้สิ้นซากโดยแท้!
วินาทีนี้เว่ยฉางเฟิงคิดถึงท่านปู่ท่านย่า บิดามารดา และพี่สาวร่วมท้อง…เวลาสิบกว่าปีพลันหายวับไปต่อหน้า ปณิธานที่มีมาแต่เล็กยังมิทันได้เริ่มก็จะมาจบสิ้นลงเสียแล้ว ไม่อาจบอกได้ชัดเจนว่าภายในใจของเด็กหนุ่มนั้นคือความหวาดกลัว คือความโศกเศร้า หรือคือความไม่ยินยอมกันแน่ มองเห็นหัวหน้าพวกคนปิดหน้าเป็นคนเดินเข้ามาผลักซากศพม้าที่อยู่ตรงหน้าตน เขาออกแรงกำหมัด แต่กลับยิ่งทำให้หัวเงยขึ้นมา!
เมื่อเห็นชุดเครื่องแต่งกายหรูหราของเด็กหนุ่มที่เว่ยชิงเอาตัวบังไว้ช่างแตกต่างกับเครื่องแบบองครักษ์อย่างสิ้นเชิง ดวงตาของหัวหน้าโจรพลันแวววาวขึ้นมา แล้วหัวเราะเสียงลั่น “ที่แท้คุณชายผู้สูงศักดิ์แห่งตระกูลเว่ยยังไม่ตาย… เจ้าคือคุณชายสี่หรือคุณชายห้า?!”
ระหว่างพูดจา ใบมีดคมก็พลันมาจ่อที่คอของเขา! เห็นชัดว่าเจ้าหัวหน้าผู้นี้หาได้สนใจไม่ว่าจะเป็นเว่ยฉางเฟิงหรือเป็นเว่ยเกาชวน เป้าหมายของเขาก็คือสังหารคนตระกูลเว่ยในขบวนนี้ให้สิ้นซาก!
เว่ยฉางเฟิงมองเขาด้วยสายตาเย็นชา ทั้งไม่ตอบและไม่ร้องขอชีวิต ยินยอมให้คมมีดแหลมกรีดลงมาที่คอ…เพียงแต่หัวหน้าคนปิดหน้าหัวเราะได้เพียงครึ่งหนึ่งก็กลับหยุดชะงักลงเฉยๆ ใบมีดคมที่กำลังจะตัดคอเว่ยฉางเฟิงให้ขาดก็หยุดนิ่งไปอึดใจหนึ่ง แล้วพลันหมดเรี่ยวแรงร่วงลงพื้น!
การเปลี่ยนแปลงอย่างปัจจุบันทันด่วนนี้ทำให้ทุกคนตื่นตะลึงค้าง เว่ยฉางเฟิงรู้สึกคล้ายมองเห็นกระบี่ยาวพลันปรากฏขึ้นมาที่หน้าผากของหัวหน้าพวกคนปิดหน้า… กระบี่ยาวด้ามนี้แทงเข้าไปที่หว่างคิ้วของผู้เป็นหัวหน้า แทงตรงเข้าไปในหัวทั้งหัวและทะลุออกมาที่ด้านหลังหัว พร้อมกับเลือดสดและสมองสีแดงปนขาวที่ทะลักออกมา!
ขณะที่เกิดความนิ่งเงียบไปทั่วพื้นที่ เว่ยฉางเฟิงได้ยินเสียงที่คุ้นเคย แต่ไพเราะและแจ่มชัดดังขึ้นที่ข้างกาย “ฉางเฟิง! ยังไม่รีบไปอีก!”
เป็นเว่ยฉางอิ๋ง!
_____________________