ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง - ตอนที่ 60.1 คุมหลัง (1)
เว่ยฉางเฟิงสั่นสะท้านไปทั้งตัว…แม้เขาจะเติบโตมากับเว่ยฉางอิ๋ง และรู้ว่าพี่สาวผู้นี้แต่เล็กมาฝึกฝนวรยุทธอย่างไม่มีลมหรือฝนมาเป็นอุปสรรค์ได้ แต่กลับไม่รู้ว่าเว่ยฉางอิ๋งจักมีฝีมือเพียงนี้ ถึงขั้นสามารถสังหารหัวหน้าพวกปิดหน้าที่อยู่ตรงหน้าได้ด้วยการจู่โจมเพียงครั้งเดียว!
ในพริบตานั้นในหัวของเว่ยฉางเฟิงมีความคิดนับไม่ถ้วยหมุนวนไปมา คิดอยากจะบางสิ่ง แต่กลับถูกเว่ยชิงดึงไปข้างหลังอย่างแรง หัวหน้าถูกสังหารอย่างฉับพลัน ทำให้พวกคนชุดดำทั้งกลุ่มตื่นตระหนกเป็นอย่างยิ่ง! แม้กระทั่งลูกธนูจากในป่าก็ยังหยุดลงด้วย เมื่อเห็นเว่ยชิงและเว่ยฉางเฟิงกำลังจะอาศัยชั่วเวลาสั้นๆ ยามทุกคนกำลังนิ่งงันอยู่นี้หนีออกไป คนชุดดำคลุมหน้าที่อยู่ใกล้ๆ คนหนึ่งจึงได้สติขึ้นมา แล้วตะโกนอย่างโกรธแค้นว่า “พวกโง่! ยังเหม่ออยู่ทำสิ่งใด? ฆ่ามัน! แก้แค้นให้ลูกพี่!”
เมื่อถูกเขาเตือนสติ พวกคนชุดดำจึงประหนึ่งตื่นจากฝัน แล้วพากันกวัดแกว่งอาวุธพร้อมตะโกนร้องและบุกเข้ามา! ลูกธนูในป่าก็พุ่งออกมาอีกครา ชู่! ชู่! ชู่! ธนูสามลูกติดต่อกันล้วนพุ่งตามฝีเท้าของเว่ยฉางเฟิงและปักลงในโคลน!
“ฉางเฟิงรีบเข้าป่าไป!” เว่ยฉางเฟิงรอดชีวิตจากเงื้อมมือมัจจุราช หาได้มีเวลาว่างมาหวาดกลัวต่อความแรงของลูกธนูที่เฉียดน่องไปและปักลงไปที่ข้างเท้าไม่ เขาหมุนตัวและวิ่งอย่างเร็วไปสองก้าวจึงได้เห็นว่าข้างหน้าไม่ไกลนั้นก็คือรถม้าที่เว่ยฉางอิ๋งนั่งมาก่อนนี้ เพียงเพราะม้าที่ลากรถถูกยิงตายอยู่บนถนนจึงทำให้รถม้าล้มคว่ำอยู่บนพื้น
รอบรถมีเศษสิ่งของต่างๆ เช่นเครื่องเคลือบและผลไม้กระจัดกระจายอยู่ ทำให้เห็นได้ว่ายามนั้นเหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วนเพียงไร ปรากฏว่าลวี่อี้ ลวี่ฉือสองสาวใช้ที่มากับเว่ยฉางอิ๋งวันนี้ยังอยู่ดี เพียงแต่เสื้อผ้าหลุดลุ่ยไม่เรียบร้อย นั่งกุมหัวตัวสั่นงันงกหลบอยู่หลังรถ
ไม่รู้ว่าเพราะเว่ยฉางอิ๋งหนีออกมาไม่ทันก่อนรถม้าคว่ำ แล้วต้องอาศัยเรี่ยวแรงและมือเท้าคลานออกมาหรือไม่ หญิงสาวที่ยืนอยู่หน้ารถม้าในยามนี้จึงไร้ซึ่งหมวกคลุมหน้าเสียแล้ว มวยผมของนางยุ่งเหยิง เสื้อผ้าเบี้ยวออกจากที่ เว่ยฉางเฟิงวิ่งเข้าไปใกล้จึงเห็นได้ชัดเจนว่าชายกระโปรงของนางเปรอะฝุ่นดินเต็มไปหมด ทว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนไม่อาจทำให้ความงดงามและรัศมีการฆ่าที่นางมีลดน้อยลงแต่อย่างใด ในมือของเว่ยฉางอิ๋งถือดาบใบหลิว[1]ที่ปลดมาจากตัวขององครักษ์ที่สิ้นชีพไปแล้วนายหนึ่ง เมื่อข้อมือดังหยกสะบัดก็ปัดป้องลูกธนูลูกหนึ่งที่พุ่งเข้าหานาง ดวงตาที่งดงามเต็มไปด้วยความดุดัน จับจ้องด้วยสายตาเย็นเฉียบไปยังคนชุดดำที่กำลังบุกเข้ามาจากที่ไม่ไกลนัก พลางตะโกนสั่งเสียงหนักว่า “เว่ยชิงเจ้าเข้าป่าไปกับฉางเฟิง อย่าเพิ่งมุ่งหน้าไปทางเฟิ่งโจว อาจมีคนซุ่มโจมตี! ให้ไปทางเขาไผ่น้อยก่อน! ระวังตัวด้วย!”
เดิมทีเว่ยชิงคิดจะอยู่ช่วยนาง เมื่อได้ยินคำสั่งกลับอดชะงักนิ่งเหม่อไมได้ เว่ยฉางเฟิงร้อนใจนัก “ท่านพี่ แล้วท่านเล่า?!”
“ข้าจะอยู่คุมหลัง!” เว่ยฉางอิ๋งวาดดาบใบหลิวเป็นวง แล้วชี้ไปทางคนชุดดำ แต่กลับเห็นน้องชายยังคิดจะเตือนให้ตนไปด้วยกัน จึงพลันหันมือกลับแล้วผลักเขาเข้าไปในป่าข้างทางอย่างแรง และกล่าวด้วยโทสะว่า “ยังไม่ไปอีก? อยากให้พวกเราพี่น้องต้องมากตายที่นี่กันหมดรึ! แล้วท่านพ่อท่านแม่จะทำเยี่ยงไร?!”
ความคิดของเว่ยชิงเปลี่ยนไปพลัน กลับมิได้เข้าไปประคองเว่ยฉางเฟิง หากแต่เดินมาทางเว่ยฉางอิ๋งหลายก้าว พร้อมชักดาบอวิ๋นโถวออกมา กล่าวเสียงหนักว่า “หน้าที่คุมหลังจักให้คุณหนูใหญ่ทำได้อย่างไร? อย่างไรก็ต้องเชิญคุณหนูใหญ่และคุณชายห้าไปก่อน ข้าน้อยจะคอยคุมหลังให้เอง!”
เว่ยฉางเฟิงได้ยินคำแล้วสีหน้าพลันเปลี่ยนไป พลันมีความรู้สึกผิดแสดงออกมาไม่น้อย จากนั้นจึงได้ตัดสินใจแน่วแน่ แล้วเอื้อมมือไปทางเว่ยฉางอิ๋ง… แม้เว่ยชิงจะเป็นลูกผู้พี่ที่อยู่อีกสายหนึ่งทั้งยังเป็นลูกน้องที่จงรักภักดี แต่อย่างไรก็ไม่อาจสำคัญเท่ากับพี่สาวร่วมท้อง เขารู้ดีว่าเหตุใดเว่ยฉางอิ๋งและเว่ยชิงจึงต้องการรออยู่คอยคุมหลัง ว่ากันจริงๆ ก็เพราะเขาเป็นคนทำให้ลำบาก
เพระไม่ว่าจะเป็นเว่ยฉางอิ๋งหรือเว่ยชิงต่างก็เป็นผู้ที่ร่ำเรียนวรยุทธมาจนโต ขาก้าวกระโดดได้ไกลฝีมือปราดเปรียว เมื่อเข้าไปในแล้วป่า หากไม่มีเหตุการณ์ใดซ้ำเติมมาอีก ก็มีทางรอดได้มาก! แต่เว่ยฉางเฟิงชำนาญการอ่านบันทึกประวัติศาสตร์ ส่วนตัวก็มิได้สนใจเรื่องวรยุทธ เขารู้จักเพียงท่าฝึกนกห้าตัวที่ชนชั้นสูงเอาไว้ออกกำลังกายเท่านั้น ทั้งยังเว้นไปสามวันห้าวันจะทำสักหน มีดดาบก็ดี ฝีมือก็ดี ล้วนพอๆ กับคนธรรมดาทั่วไป… เมื่อเข้าไปในป่าแล้วมีหรือจะสามารถวิ่งได้เร็ว?!
แต่เว่ยฉางเฟิงรู้ว่า ไม่ว่าในวันนี้ ในที่แห่งนี้จะมีคนตายมากน้อยเท่าใด รวมเว่ยฉางอิ๋งผู้พี่สาวร่วมท้องอยู่ในนั้นด้วย หากมีเพียงผู้เดียวที่ทุกคนจะปกป้องให้มีชีวิตรอดได้ คนคนนั้นก็ต้องเป็นตนเอง! หากเขาไม่ไป ต่อให้เว่ยชิงและเว่ยฉางอิ๋งต้องสู้จนตัวตายก็จะไม่ยอมไป! เช่นนั้นเพื่อยื้อเวลาให้เขาหนีไป ก็จะต้องมีคนคอยอยู่คุมหลังเอาไว้!
และคนคนนั้นจะเป็นเว่ยฉางอิ๋งไม่ได้… เช่นนั้นก็จักต้องเป็นเว่ยชิงแล้ว!
“พี่ชิง หากท่านรอดชีวิตกลับไปได้ ข้าจะเห็นท่านเป็นเช่นพี่ชายแท้ๆ!” เว่ยฉางเฟิงรู้ดีกว่าการที่ทิ้งเว่ยชิงเอาไว้ในยามนี้ แท้จริงแล้วมีเก้าส่วนตายเพียงหนึ่งส่วนรอด แต่ไม่ว่าจะมองจากความใกล้ชิดทางสายเลือด จากความรักใคร่ หรือความสัมพันธ์ของนายและบ่าว เขาเลือกผลลัพธ์ออกมาได้เป็นเช่นนี้เท่านั้น… ที่แท้นั้น เว่ยชิงเป็นพี่น้องในตระกูลเว่ย ญาติของต่างก็ได้รับการดูแลเอาใจใส่จากภายในตระกูล นับว่ามีโชคชะตาที่ไม่ย่ำแย่เลย สิ่งที่เว่ยฉางเฟิงสามารถให้คำมั่นกับเขานั้น มีเพียงโอกาสหน้าหากเว่ยชิงมีชิวีตรอดแล้วเท่านั้น
เพียงแต่เขากลับดึงรั้งมาได้เพียงความว่างเปล่า เว่ยฉางอิ๋งก้าวเท้าออกไปในชั่วเวลานั้นพอดี นางเอียงตัวและพุ่งออกไป สะบัดดาบใบหลิวออกและกวัดแกว่ง ตามธรรมเนียมของตระกูลเว่ยนั้น ดาบที่ผู้รับใช้ใกล้ชิดบุตรชายผู้สืบสกุลพกติดตัวแม้ไม่อาจเป็นอาวุธหนักขนาดใหญ่ แต่ก็จะต้องมีสมรรถภาพเพียงพอ คมกริบหาใดเปรียบ เหนือกว่าอาวุธทั่วไปหลายขุมจนอาวุธอื่นยากจะต่อกร แต่เพราะเว่ยฉางอิ๋งมีข้อจำกัดด้วยกายเป็นหญิง จึงทำให้มีกำลังข้อมือที่สำหรับผู้มีวรยุทธแล้วนับไม่ได้ว่าโดดเด่น แต่กลับสามารถทำให้ดาบขนาดใหญ่ที่สร้างบาดแผลฉกรรจ์ให้แก่ผู้คนอย่างไม่ปราณีปราศรัย และคิดมาขวางนางต้องหักขาดลงได้อย่างง่ายดาย แทงตรงเข้าไปที่ทรวงอกของเจ้าของดาบเล่มใหญ่ผู้นั้น!
“แม่เสือสาวนี่โหดจริงๆ!” หนึ่งในคนชุดตำตะโกนออกมาด้วยความโกรธแค้นยิ่ง “เหยาซานเจ้าถอยไป ข้าจัดการเอง!”
“พี่หยางระวังด้วย นังเสือสาวนี่ ฝีมือดาบมันร้ายกาจ!” เมื่อเห็นว่าหลังจากหัวหน้าของตนแล้ว ก็มีพวกพ้องอีกหนึ่งคนต้องมาตายด้วยน้ำมือของเว่ยฉางอิ๋ง เดิมทีเพราะนางเป็นเพียงเด็กสาว ทั้งยังมีหน้าตางดงาม ย่อมทำให้พวกคนชุดดำปรามาศทั้งยังมองนางตาเป็นมันเป็นธรรมดา!
เมื่อเห็นสภาพการณ์ดังนั้นเว่ยชิงเองก็ร้อนใจขึ้นมา “คุณหนูใหญ่ รีบพาคุณชายห้าหนีไป!”
“หูดก้อนเนื้อที่ฐานนิ้วบนผ่ามือเจ้าหนายิ่งนัก ดูจากตำแหน่งแล้วจักต้องถนัดใช้ทวนยาว เพียงแต่ปกติแล้วต้องคอยอยู่ข้างกายฉางเฟิง จึงไม่สะดวกพกพาทวนยาว…” หลังจากที่เว่ยฉางอิ๋งสังหารโจรที่ใช้มีดใหญ่แล้ว ก็รีบชักดาบใบหลิวออกมารับมือกับคนร้ายคนต่อไป นางไม่ทันหลบเลี่ยงจึงถูกเลือดสดสาดมาโดนเต็มแขนเสื้อ เดิมทีนางสวมเสื้อส้างหรูตัวสั้นแขนกว้าง และกระโปรงหลิวซานจีบรอบสีเหลืองไข่เป็ด ซึ่งล้วนเป็นสีอ่อน ยามนี้เมื่ออาบด้วยเลือดจึงมองเห็นได้อย่างชัดเจน ดูไปแล้วทั้งประหลาดทั้งเหี้ยมโหด แต่นางกลับไม่ได้หวั่นหวาดแม้แต่น้อย ยังคงกำดาบแน่น แล้วกล่าวเสียงหนักว่า “ดาบอวิ๋นโถวนี่เกรงว่าเจ้าจะพกเอาไว้เช่นนั้นเองหรือไม่ก็เป็นอาวุธสำรอง เจ้าแน่ใจหรือว่าเมื่อเจ้าถืออาวุธที่ไม่ถนัดมือเช่นนั้น แล้วจะต้านพวกมันเอาไว้ได้นานเท่าใด? ข้าก็ไม่อยากรนหาที่ตาย หากเจ้าถนัดใช้ดาบอวิ๋นโถวจริง เจ้านึกหรือว่าข้าจะอาสาให้ตัวเองอยู่คุมหลังให้?!”
“…” เว่ยชิงตกตะลึง แน่นอนว่าปณิธานของเขาไม่ใช่แค่ต้องการจะเป็นองครักษ์ให้แก่หลานชายบ้านใหญ่เช่นนี้เท่านั้น หากคือการได้ควบม้าในสนามรบที่เกรียงไกร เพื่อได้สร้างผลงานยิ่งใหญ่ จึงเป็นเหตุให้เขาฝึกเพลงทวนมาแต่เล็ก เพียงแต่หลังจากไปเข้าตาเว่ยฮ่วนด้วยเพลงทวนและวิชาทหารแล้ว เว่ยฮ่วนกลับคิดว่าในยามนี้ยังไม่เหมาะจะให้เขาไปออกรบ… เว่ยชิงเป็นลูกหลานของรุ่ยอวี่ถัง แต่เพราะเว่ยฮ่วนลาออกจากราชการ ความเจ็บป่วยของเว่ยเจิ้งหง และความอ่อนแอของเว่ยเซิ่งเหนียน ทำให้กำลังอำนาจของรุ่ยอวี่ถังในยามนี้กำลังค่อยๆ ด้อยถอยลง จักต้องรอให้ถึงยามที่รุ่นของเว่ยฉางเฟิงซึ่งเป็นรุ่นหลานเติบโตเสียก่อน จึงจะสามารถแสวงหาความรุ่งเรืองกว่านี้ได้
——————————————————————
[1] ดาบใบหลิว (柳叶刀) เป็นดาบยาว ปลายกว้างเล็กน้อย คล้ายใบของต้นหลิว