ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง - ตอนที่ 61.2 วิกฤตหลายชั้น (2)
เพื่อกดสัญชาตญาณความหวาดกลัวและคลื่นไส้นี้ นางจึงมีท่าทีเชยเมยและสงบอย่างเห็นได้ชัด
แต่ตอนนี้เมื่อเจียงเจิงเอ่ยออกมาประโยคหนึ่งว่าปลอดภัยชั่วขณะแล้ว… พอจิตใจของเว่ยฉางอิ๋งผ่อนคลายลง สัญชาตญาณของนางจึงได้กดเอาไว้ไม่ได้อีกแล้ว
เพียงแต่นางต้องการอาเจียนออกมาให้รู้สึกสบายขึ้นบ้างแต่ก็กลับทำไม่ได้ เมื่อคนเราอาเจียนออกมาอย่างหนักแล้วก็จะรู้สึกโรยแรง…เมื่อมีเว่ยฉางเฟิงอยู่ เจียงเจิงก็ต้องแบกเขา หากเว่ยฉางอิ๋งไร้เรี่ยวแรงแล้ว หรือต้องให้เว่ยชิงแบกนาง? ยังมิต้องเอ่ยถึงเรื่องว่าหญิงชายไม่ควรอยู่ใกล้ชิดกัน เดิมทีในหกคนนี้ มีสามคนที่มีวรยุทธและต้องปกป้องอีกสามคน ลวี่อีและลวี่ฉือนั้นตัดทิ้งไปได้ทันที หากเว่ยฉางอิ๋งเกิดล้มไปอีกคน เช่นนั้นก็กลายเป็นว่าผู้มีแรงจะต่อสู้มีเพียงสองคน และคนที่ต้องปกป้องกลับเพิ่มมาอีกหนึ่งคน!
ยิ่งไปกว่านั้นหากจะให้เว่ยฉางเฟิงไล่ตามให้ทัน เจียงเจิงและเว่ยชิงก็สามารถสับเปลี่ยนกันแบกเขา…
ด้วยเหตุนี้หากเว่ยฉางอิ๋งล้มไป ไม่เพียงทำให้การเดินทางล่าช้าลงไปอีกมาก หากได้พบกับศัตรูขึ้นมา ความเป็นไปได้ที่จะถูกจับก็ยิ่งมากขึ้นด้วย!
ใบหน้าของเว่ยฉางอิ๋งนั้นเดี๋ยวแดงเดี๋ยวซีด นางปิดปากไว้ ร่างกายสั่นน้อยๆ เว่ยฉางเฟิงมองดูนางอย่างไม่รู้ว่าควรจะทำเช่นไร แววตาร้อนรนแต่กลับไม่อาจทำสิ่งใดได้ เพียงแต่กระซิบเสียงเบาว่า “ท่านพี่?”
แต่กลับเห็นว่าแววตาของเว่ยฉางอิ๋งมีประกายดุดัน มือกุมที่คอ หลังจากนั้นพักใหญ่ สีนางของนางก็กลับมาซีดอีกครั้ง เพราะสะกดความรู้สึกคลื่นไส้เอาไว้ แล้วกล่าวอย่างอ่อนล้าว่า “ไม่เป็นไรแล้ว”
เมื่อวางมือลงนั้น มีรอยนิ้วที่ชัดเจนเป็นอย่างยิ่งอยู่ที่คอทั้งสองข้างของนาง…
เว่ยฉางเฟิงออกแรงกำหมัดแน่น หากไม่ใช่เพราะตนไร้ความสามารถจนเกินไป ด้วยฝีมือของท่านพี่ ตั้งแต่ตอนที่คนชุดดำยังมิทันพบเห็นนาง นางก็สามารถแอบหลบเข้าป่าและหนีรอดไปได้แล้ว! แต่ในยามนี้ตนกลับเป็นตัวถ่วงให้ท่านพี่และองครักษ์ผู้ภักดี ต้องมาหนีตายอยู่ตรงนี้ด้วยความหวาดหวั่นพรั่นพรึง
เดิมที่เว่ยฉางเฟิงคิดมาโดยตลอดว่าวรยุทธก็เป็นเพียงวิชาเล็กๆ น้อยๆ แต่สิ่งที่พลิกเมฆคว่ำฝนที่แท้จริงก็ยังคงเป็นกลยุทธ เป็นแผนการ เป็นปัญญาที่สั่งสมมาอย่างมากมายหลังจากอ่านตำรานับหมื่นเล่ม
แต่ในยามนี้ เขากลับเข้าใจแล้วว่า ต่อหน้าดาบและกระบี่นั้น ปัญญาที่อยู่ในมือซึ่งบอบบางไร้เรี่ยวแรง…ก็เป็นเพียงเรื่องตลกสีซีดจางเท่านั้นเอง
สมมติว่าครานี้สามารถมีชีวิตรอดกลับไปได้… เว่ยฉางเฟิงคิดอยู่ในใจยังไม่ทันจบ จู่ๆ กลับได้ยินเจียงเจิงใช้น้ำเสียงที่ไร้อารมณ์กล่าวกับลวี่อีและลวี่ฉือว่า “พวกเจ้าไปได้แล้ว!”
“อ๋า?!” ไม่เพียงแค่ลวี่อีและลวี่ฉือเท่านั้นที่ตกใจ เว่ยฉางอิ๋งเองก็ออกปากไปทันใดว่า “ท่านลุงเจียง?”
“ตลอดทางที่พวกเราเดินมามีร่องรอยชัดเจน ช้าเร็วพวกโจรก็จักตามมาทัน” เจียงเจิงกล่าวอย่างเย็นชาว่า “เรี่ยวแรงของพวกนางในยามนี้ใช้ไปจนแทบไม่เหลือแล้ว ต่อไปพวกเราจะต้องไปให้เร็วยิ่งกว่านี้! หากพวกนางไปด้วยก็จะตามไม่ทัน ประการต่อมา ผลที่ตามมาหากยังอยู่ที่นี่เพียงแค่คิดก็รู้ได้แล้ว! มิสู้ให้พวกนางไปเสียก่อน โชคดีบางทีก็จะรอด หากโชคร้ายแล้ว…อีกสักพักเมื่อรั้งท้ายก็จะเป็นเช่นเดียวกัน”
เขามองไปยังลวี่อีและลวี่ฉือที่ยามนี้หน้าตาซีดเผือดและมองไปยังเว่ยฉางอิ๋งด้วยสีหน้าวิงวอน แล้วกล่าวอย่างเย็นชาว่า “พวกเจ้าคิดให้ดียามนี้คุณหนูใหญ่และคุณชายห้าต่างตกอยู่ในอันตราย ไม่อาจปกป้องพวกเจ้าได้แล้ว! ก่อนนี้ที่คุณหนูใหญ่เข้ามาในป่ายังไม่ลืมถีบพวกเจ้าเข้ามาก่อนก็นับว่าแสดงน้ำใจทั้งหมดที่นายมีให้แก่บ่าวแล้ว! ยามนี้ ก็ต้องดูว่าพวกเจ้าจะมีความภักดีต่อนายอย่างที่สุดหรือไม่แล้ว!”
“พวกเจ้าสองคนเลือกเส้นทางไปสักทาง หากโชคดีไม่มีพวกโจรไล่ตามพวกเจ้า กลับยังจะมีทางรอด หากมีโจรตามมา ผลก็จะลงเอยเช่นเดียวกับตามพวกเรามา แต่ไม่ว่าจะอย่างไร หากคุณหนูใหญ่และคุณชายห้าสามารถกลับไปยังเฟิ่งโจวได้ ก็จะตบรางวัลให้แก่ครอบครัวพวกเจ้าอย่างงาม!” เจียงเจิงเอื้อมมือไปบังเว่ยฉางอิ๋งเอาไว้ พลางกล่าวเสียงหนักว่า “หากยังคงติดตามคุณหนูใหญ่ไม่ปล่อย ต่อไปตามไม่ทันขึ้นมา หรือจะหวังให้คุณหนูใหญ่แบกพวกเจ้าเดินไป? ถึงยามนั้นเมื่อหลุดจากกลุ่ม แล้วถูกข่มเหงจนตัวตายยังเป็นเรื่องเล็ก…พวกเจ้าคิดว่าเรื่องที่พวกเจ้าไม่คิดถึงคนส่วนมาก ไม่คำนึงถึงบุญคุณที่คุณหนูใหญ่ช่วยพวกเจ้ามาก่อนนี้ จนทำให้การหลบหนีของนายล่าช้านั้น จะปิดบังท่านประมุขไปได้หรือ?! ถึงยามนั้นแล้วครอบครัวพวกเจ้า…พวกเจ้าเลือกเอาเองเถิด!”
คำพูดของเจียงเจิงนั้นกล่าวออกมาอย่างชัดเจนมากแล้ว ว่าเขาต้องการให้ลวี่อีและลวี่ฉือไปก่อน ประการแรกนั้นคือไม่ต้องการจะให้เป็นภาระในการเดินทาง ประการต่อมาก็เพื่อทำให้พวกโจรที่ไล่ตามมาทำงานได้ลำบากยิ่งขึ้น คนที่ตามไล่ล่าพวกเขานั้นมีจำนวนไม่น้อย แม้จะถูกสังหารไปบ้างแล้ว แต่พวกที่เหลืออยู่ก็ยังคงมีจำนวนมาก
เมื่อพวกมันพบร่องรอยว่าคนที่ตามล่าแยกกันหนีไปคนละทาง ก็จักต้องแยกกันออกไปตามหา… เช่นนี้ก็เท่ากับว่าใช้ลวี่อีและลวี่ฉือแบ่งจำนวนคนที่ตามไล่ล่าออกไป แม้ว่าด้วยความอ่อนล้าที่สาวใช้ทั้งสองมีจะไม่สามารถทำให้แยกออกไปได้นานสักเท่าใด แต่อย่างไรก็สามารถลดความกดดันเรื่องคนที่ไล่ตามมาได้บ้าง
ไม่มีผู้ใดสามารถหลบเลี่ยงจุดจบจากความตายได้เพราะเหตุนี้
ยิ่งไปกว่านั้นเจียงเจียงยังให้ลวี่อีและลวี่ฉือแยกเดินไปก่อน ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าไม่เชื่อใจพวกนาง และเป็นกังวลว่าเมื่อตนเองแยกไปก่อนหรือไปพร้อมกับพวกนาง เมื่อพวกนางเห็นทิศทางที่ไปแล้ว ไม่ว่าด้วยความเคียดแค้นหรือด้วยความหวาดกลัวก็อาจจะหักหลังและบอกกับพวกโจร!
เว่ยฉางอิ๋งคิดอยากจะเอ่ยบางสิ่ง ทว่าเมื่อมองไปยังเว่ยฉางเฟิง นางก็กลับขบริมฝีปากและนิ่งเงียบเอาไว้
ดังเช่นที่เว่ยฉางเฟิงให้ความสำคัญกับเว่ยชิงมาก แต่หากต้องเลือกระว่างเว่ยฉางอิ๋งและเว่ยชิง เขาก็ยังคงต้องละทิ้งเว่ยชิงผู้จงรักภักดี และเลือกพี่สาวของตนเอง ลวี่อีและลวี่ฉือคอยปรนนิบัติเว่ยฉางอิ๋งมาแต่เล็ก ความผูกพันของนายและบ่าวนั้นเพียงคิดดูก็รู้แล้วว่ามากมายเพียงใด แต่เพื่อความปลอดภัยของเว่ยฉางเฟิง เว่ยฉางอิ๋งจึงทำได้เพียงนิ่งเงียบยอมรับคำของเจียงเจิง แล้วสละลวี่อีและลวี่ฉือ
นางลอบขบริมฝีปาก ก้มมองมือทั้งคู่ของตน แล้วคิดอย่างเสียใจว่า ‘ข้าพยายามถึงเพียงนี้แล้ว แต่เหตุใด…มิต้องเอ่ยถึงเรื่องหลังออกเรือน… เพียงแค่สาวใช้สองนาง ยามนี้ข้าก็ยังปกป้องไม่ได้?’
เพียงสัมผัสถึงสายตาเย็นเฉียบของเจียงเจิง จิตใจของเว่ยฉางอิ๋งก็กลับสงบลง… ยามนี้หาใช่ยามจะมาเจ็บปวด บนถนนหลวงนั้นมีองครักษ์ล้มตายไปมาก และในนั้นก็มีจำนวนไม่น้อยที่เป็นพี่น้องทั้งที่ใกล้ไกลของตระกูลเว่ย… พวกเขากลับถูกจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัว แต่ตั้งแต่ต้นจนจบกลับไม่มีผู้ใดยอมแพ้หรือร้องขอชีวิต ด้วยความทุ่มเทของคนเหล่านี้… หากเว่ยฉางเฟิงไม่อาจมีชีวิตรอดกลับไปรุ่ยอวี่ถัง…
จะว่าโหดร้ายก็ตาม ต่ำช้าก็ช่าง ในยามนี้นางมีเพียงเป้าหมายเดียว ด้วยเหตุนี้ อย่าว่าแต่สาวใช้ แม้แต่ตนเองก็สามารถละทิ้งไปได้โดยไม่ลังเลสักนิด!
… ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด ฉางเฟิงก็จักต้องกลับไปยังรุ่ยอวี่ถังอย่างปลอดภัย!!!