ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง - ตอนที่ 62 ข้าแซ่เว่ย
เมื่อผ่านพ้นหมอกขาวยาวไกลสุดลูกหูลูกตา ภาพเบื้องหน้าก็พลันกระจ่างชัด ฝนปรอยๆ ไม่เพียงไม่อาจบดบังสายตา ยิ่งกลับชะล้างทั้งหุบเขาจนชุ่มชื้นเขียวชอุ่ม
บนหุบเขาไม่ห่างไปนัก กระท่อมไม้แถวยาวที่เพิ่งจะสร้างเสร็จ ยังคงมีกลิ่นอายของไม้ที่เพิ่งตัดออกมาอย่างชัดเจน
นอกกระท่อมไม้มีกันสาดบังฝนขนาดกว้างหนึ่งจั้งที่ใช้หญ้าแฝกสีเขียวครึ่งเหลืองครึ่งมุงด้านบนเอาไว้ ใต้กันสาดมีชายร่างกำยำสี่ห้าคนนั่งล้อมวงอยู่รอบกองไฟ กำลังย่างไก่ป่า กระต่ายป่าสองสามตัว คำพูดจาของคนพวกนี้ล้วนกักขฬะหยาบโลนยิ่ง ทั้งยังมีคนผู้หนึ่งคงเป็นเพราะเกี่ยงว่านั่งข้างไฟแล้วร้อน จึงได้ถอดเสื้อชั้นนอกออกไปเสีย เผยให้เห็นแผงอกที่เต็มไปด้วยขน เมื่อเห็นว่ามีคนจากนอกเขาเข้ามา คนสองสามคนนี้จึงได้กวาดตามองสงเดชไปแวบหนึ่ง ชายร่างกำยำที่เปลือยท่อนบนก็มิได้มีท่าทีจะสวมเสื้อเลยแม้แต่น้อย แล้วหันกลับมายังกระต่ายป่าบนกองไฟ ถามเสียงดังว่า “หู่หนู สองคนนี้คือผู้ใด? พาเข้ามาทำไม!”
“แขกสำคัญที่คุณชายรอมาหลายวัน” ผู้ที่นำคนเข้ามาในหุบเขาดูท่าแล้วเป็นเด็กหนุ่มอายุราวสิบสามสิบสี่ปี สวมเสื้อเนื้อผ้าหยาบมอมแมม แต่ใบหน้ากลับหล่อเหลา ยามพูดจายิ้มแย้มแจ่มใส กระทั่งสองแก้มยังมีลักยิ้มดังเด็กสาวที่เห็นชัดเจนหนึ่งคู่ เขาตอบชายเปลือยร่างท่อนบนไปส่งๆ ประโยคหนึ่ง แล้วหันหน้ามาอธิบายกับแขกที่สวมงอบไว้บนศีรษะและสวมชุดยาวแขนเสื้อกว้างว่า “คนพวกนี้เป็นโจรที่อยู่รอบๆ ภูเขาขอรับ คุณชายบ้านเราไม่ได้คิดว่าพวกมันเป็นชาวบ้านที่มีพิษภัย จึงให้พวกมันมาอยู่ข้างกาย เพื่อคอยรับใช้… พวกมันจึงได้มาทำงานให้คุณชาย แต่ยังมิใคร่เข้าใจเรื่องมารยาท หวังว่าทั้งสองท่านโปรดอย่าได้แปลกใจ”
ผู้มาเยือนที่เดินอยู่ข้างหน้า ดูไปแล้วคล้ายสูงศักดิ์กว่าอีกคน แต่ตัวกลับสูงกว่ากว่าเด็กหนุ่มเพียงน้อยนิดเท่านั้น เขาเดินนำหน้าไปเล็กน้อย คล้ายแสดงท่าทีว่ามิได้ใส่ใจ ผู้มาเยือนอีกคนที่อยู่ข้างหลังไปครึ่งก้าวมีท่าทีององอาจ กลับเอ่ยถามเสียงหนักว่า “คุณชายของเจ้าอยู่ที่ใด? ‘เชิญ’ พวกเรามาประสงค์สิ่งใด?”
เด็กหนุ่มหู่หนูยิ้มแย้มพลางโค้งตัวคำนับ แล้วหันหน้าไปทางห้องในกระท่อมไม้ห้องหนึ่งที่อยู่ห่างจากกองไฟที่สุดเป็นการเชื้อเชิญแขก “คุณชายกำลังรออยู่ในห้อง…เชิญขอรับ!”
เมื่อก้าวเข้าไปภายในห้อง กลับเห็นว่าแม้ห้องจะว่างเปล่า มีเพียงแท่นนอนที่เพิ่งจะเร่งทำจนเสร็จไม่กี่ชิ้น แต่ในห้องก็ยังแบ่งออกเป็นห้องชั้นในและชั้นนอกสองส่วน
หู่หนูเชิญพวกเขามานั่งอย่างเอาใจใส่ แล้วไปรินน้ำชาอยู่ข้างๆ จึงได้กล่าวว่า “คาดว่าคุณชายคงจะจดจ่ออ่านหนังสืออยู่ ข้าน้อยจะเข้าไปรายงานสักคำ”
พวกแขกยกน้ำชาขึ้นมา นำมาแตะที่ริมฝีปากแล้ววางลง ประหนึ่งว่ารับรู้แล้ว
หู่หนูเดินเข้าไปภายในอย่างรวดเร็ว สักพักหนึ่งจึงได้ยินเสียงที่ไม่ช้าไม่เร็วเกินไปดังออกมาจากข้างใน “แขกมาถึงประตู มิได้ไปต้อนรับ โปรดให้อภัยด้วย!”
หลังจากเสียงพูดนั้น คนผู้หนึ่งสวมชุดขาวดังเมฆก็เดินออกมา
เมื่อได้ยินเสียงนี้ ผู้มาเยือนทั้งสองคนที่นั่งอยู่ก็ตกตะลึงขึ้นมาพร้อมกัน และเมื่อได้เห็นใบหน้าของคนผู้นี้ ยิ่งตกใจเสียกว่าเดิม…แขกที่สอบถามเด็กหนุ่มก่อนหน้านี้ถึงกับหลุดปากไปว่า “คุณชายซิน?!”
คนผู้นี้สวมชุดขาวดังเมฆ รูปงามสุขุม ประหนึ่งเดือนงามหิมะขาว เมื่อยืนอยู่ท่ามกลางทุกสิ่งในห้องไม้นี้ ดูราวไข่มุกล้ำค่าที่มีประกายแวววาว! นี่มิใช่หนุ่มชาวบ้านที่เคยมาแสดงท่าที ‘ฝากตัว’ กับเว่ยฉางเฟิงที่เชิงเขาไผ่น้อย ซึ่งมีนามว่าซินหย่งหรอกรึ?!
“เป็นข้าน้อยเอง” ซินหย่งยิ้มราบเรียบ ภายในห้องประหนึ่งมีลมอุ่นพัดมา เขานั่งลงที่ที่นั่งหลัก หู่หนูที่เข้าไปเชิญเขาก่อนหน้านี้เดินไปยืนด้านหลังเขาทันที ทั้งนายและบ่าวแม้ผู้หนึ่งจะสวมเพียงชุดขาวของชาวบ้านธรรมดา อีกคนกระทั่งสวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบ ทว่าเมื่อผู้หนึ่งนั่งผู้หนึ่งยืน และหันหน้ามาหาทุกคนเช่นนี้ ก็หาได้รู้สึกถึงความขัดสนต้อยต่ำของผู้ยากไร้เลยแม้สักน้อย
บนที่นั่งแขก แม้เว่ยชิงจะมิได้ถอดงอบออก แต่เขาก็นึกสภาพใบหน้าเขียวคล้ำของตนเองได้!
ซินหย่งมิได้สังเกตเขานัก พลันพุ่งสายตาไปยังที่นั่งของแขกสำคัญทันใดแล้วยิ้มน้อยๆ “คุณชายห้าเดินทางมาลำบาก คาดว่าหากคุณชายมิได้กลับมาเสียที บ้านท่านจักต้องร้อนใจเป็นแน่ ดังนั้นข้าน้อยจักไม่อ้อมค้อมแล้ว กล่าวอย่างไม่ปิดบัง ที่ข้าน้อยเชิญคุณชายห้ามา นั้นก็เพื่อ…”
เขายังมิทันพูดจบ ก็เห็นว่า ‘เว่ยฉางเฟิง’ ที่วินาทีก่อนยังนั่งสงบนิ่งอยู่ พลันขยับกายอย่างว่องไวในบัดดล!
ซินหย่งและหู่หนูที่อยู่ข้างหลังเพียงรู้สึกว่าตาพร่ามั่วไปชั่วขณะ…คอของซินหย่งก็ถูกบีบเอาไว้ แล้วถูกลากลงมาจากที่นั่งหลัก!
“หากกล้าส่งเสียงสักคำ ข้าจะตัดหูเขาทิ้งเสีย!” เสียงตะคอกที่เย็นเฉียบและแจ่มชัดลอดออกมาจากใต้งอบ!
หู่หนูพลันมีน้ำโหในสีหน้า แต่คงเพียงเพราะเป็นห่วงซินหยงยิ่งนัก เขาอ้าปากแล้วก็ปิดลงเสีย แล้วเพียงเอ่ยเสียงต่ำว่า “คุณชายบ้านข้ามิได้มีเจตนาร้ายต่อพวกท่าน ก่อนนี้หากมิได้คุณชายจัดการไปรับ พวกท่านก็คงตายด้วยน้ำมือคนร้ายไปนานแล้ว ไยต้องทำถึงเพียงนี้?! ท่านนี่ช่างแล้งน้ำใจเสียจริง!”
เขาเป็นห่วงความปลอดภัยของนาย จึงรีบอธิบายแทนซินหย่ง แต่กลับหลงลืมเรื่องที่สำคัญที่สุดไป แต่ตัวซินหย่งหาได้หลงลืมไม่ ม่านตาของเขาพลันหดเล็กลง แล้วกล่าวอย่างตื่นตระหนกและเคืองโกรธว่า “เจ้า… เจ้าไม่ใช่เว่ยฉางเฟิง! เจ้าเป็นผู้ใดกัน?!”
งอบที่เปียกชุ่มถูกเปิดขึ้น แล้วโยนไปบนโต๊ะที่อยู่ข้างๆ เผยให้เห็นใบหน้าที่แข็งกร้าวหากยังไม่สูญเสียความงดงามไป ดวงตาของหญิงสาวดำวาวโดดเด่น จับจ้องไปยังซินหย่งอย่างเย็นชา นางบีบมือแน่นเข้า แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงไร้ซึ่งอารมณ์ไปว่า “เลิกพูดไร้สาระ! เป็นผู้ใดสั่งการเจ้ามา? พวกคนลอบโจมตีและเจ้ามีความสัมพันธ์ใดกัน!”
“ข้ารู้แล้ว” ขณะที่ชีวิตอยู่ในกำมือผู้อื่น ซินหย่งผู้นี้กลับสุขุมจนน่าประหลาด ความแปลกใจที่มีหญิงสาวปลอมตัวเป็นเว่ยฉางเฟิงของเขานั้นพลันสลายไปในพริบตา ขณะที่ถูกบีบคอ เสียงของเขาแหบพร่า แต่ยังคงพูดอย่างได้จังหวะไม่ช้าไม่เร็วว่า “ท่านเป็นพี่สาวร่วมท้องของเว่ยฉางเฟิง คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลเว่ย เว่ยฉางอิ๋ง? ได้ยินว่าด้วยเหตุที่ว่าที่สามีของท่านคือบุตรหลานของสกุลเสิ่นแห่งซีเหลียง จึงได้ฝึกวรยุทธมาแต่ยังเยาว์เพื่อให้บ้านสามีเอ็นดู… เดิมทีนึกว่าในเมื่อต้องการเอาใจให้บ้านสามีดีใจ จึงร่ำเรียนส่งเดชไปสักสองสามกระบวนท่า เมื่อไปถึงบ้านเสิ่นแล้วจักได้พูดคุยกับเสิ่นจั้งเฟิงได้รู้เรื่อง…ไม่คิดว่าจะมีฝีมือถึงเพียงนี้! ดูท่าแล้วคำเล่าลือก็เป็นเพียงคำเล่าลือ ท่านจักต้องไม่เพียงต้องการเอาใจบ้านสามีจึงได้ฝึกวรยุทธ มิเช่นนั้น…”
เว่ยฉางอิ๋งตบหูเขาไปฉาดหนึ่งอย่างไม่ร้อนรน เพื่อตัดบทคำของเขา ใบหน้าขาวยองไยของซินหย่งพลันบวมแดงขึ้นมาแถบหนึ่ง… ชายผู้นี้สง่างามเหนือคน แต่เมื่อว่ากันเรื่องความสามารถกลับเป็นเช่นเว่ยฉางเฟิง ที่ต่างก็เป็นบัณฑิตที่อ่อนแอบอบบาง หู่หนูเห็นดังนั้นก็โมโหโกรธายกใหญ่ เขากำหมัดแน่น กล่าวเสียงหนักว่า “คุณหนูใหญ่ตระกูลเว่ย ความน่าเกรงขามของท่าน ทำได้เพียงลงมือเช่นนี้กับคุณชายบ้านเราซึ่งเป็นบัณฑิตผู้อ่อนแอเช่นนั้นรึ? ไม่คิดหรอกหรือว่า ครานี้หากมิได้คุณชายส่งกำลังคนไป พวกท่านไม่กี่คนนี้จะยังคงรักษาชีวิตเอาไว้ได้?!”
“ในเมื่อเจ้าสามารถส่งคนไปขวางพวกลอบทำร้ายเหล่านั้นได้ คิดไปคงรู้เรื่องนี้อยู่ก่อนแล้ว! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดจึงไม่ไปแจ้งเตือนก่อน? หากแต่ยื่นมือเข้ามาแทรกกลางทาง อาศัยช่วงที่มีอันตราย บีบบังคับให้ฉางเฟิงพาเว่ยชิงเพียงผู้เดียวมาหาเจ้าด้วยตนเอง… เจ้ายังกล้าว่าเจ้ามิมีแผนการใดรึ?” เว่ยฉางอิ๋งหัวเราะหนหนึ่ง ไม่ใส่ใจหู่หนู หากแต่จ้องตรงไปที่ซินหย่งแล้วว่า “พูด! เจ้าต้องการสิ่งใดกันแน่ แล้วเป็นผู้ใดบ้านไหนส่งมา บังอาจลอบทำร้ายพวกเราพี่น้อง?!”
ยามนางเอ่ยถามก็ออกแรงบีบมือไปโดยไม่รู้ตัว ซินหย่งถึงกับไอออกมาอย่างแรง เว่ยฉางอิ๋งบีบอยู่พักใหญ่ จึงยอมคลายแรงลงบ้าง แต่กลับเห็นว่าซินหย่งหัวเราะออกมา “หากข้าน้อยมีเจตนาร้าย ลำพังไม่เอ่ยถึงว่าเหตุใดก่อนหน้านี้จึงส่งคนไปช่วยพวกท่าน ก็เอ่ยถึงว่ายามนี้ให้พวกท่านเข้ามาภายในห้อง และพบกันเพียงลำพัง… ต่อให้ผู้ที่มาวันนี้มิใช่คุณหนูใหญ่ คุณชายชิงของตระกูลท่านผู้นี้ ก็มิใช่เป็นผู้ห้าวหาญองอาจหรอกหรือ? และคนสองสามคนนอกกระท่อมนั่น คาดว่าคุณหนูใหญ่คงจักได้เห็นแล้ว แม้จะต่ำต้อย แต่ก็เป็นพวกที่ทำทุกสิ่งได้โดยไม่คำนึงถึงชีวิต! แม้ว่าพวกมันหนึ่งคนจะมิได้มีฝีมือสูงส่งเช่นคุณหนูใหญ่… แต่หากบุกเข้ามาพร้อมกัน คิดว่าคุณหนูใหญ่และคุณชายชิงก็คงต้องปวดหัวกระมัง? หากข้าน้อยต้องการจะป้องกันทั้งสองท่าน ยามนี้ฝนก็ยังตกอยู่ ไยต้องให้พวกมันออกไป แล้วไม่ให้พวกมันรออยู่ด้วยกันในนี้เล่า?!”
เว่ยฉางขมวดคิ้ว ราวกับว่ายังเชื่อถือไม่ได้ มือหนึ่งกลับไพล่ไว้ด้านหลัง แล้วแอบส่งสัญญาณลับ เว่ยชิงเข้าใจ ก้าวขึ้นมาก้าวหนึ่ง แล้วกล่าวเตือนด้วยเสียงเบาว่า “คุณหนูใหญ่ คำของคนผู้นี้มีเหตุผล ไยไม่ปล่อยเขาไป แล้วค่อยๆ สอบถามสาเหตุอย่างละเอียดเล่า?”
“เห็นแก่ที่ลูกผู้พี่ขอร้องให้เจ้า ข้าจักเชื่อเจ้าสักชั่วเค่อ!” เว่ยฉางอิ๋ง ‘ลังเล’ อยู่เกือบเค่อจึงได้ยอมคลายมือออก แต่ก็ยังคงกล่าวอย่างเย็นชาว่า “เพียงแค่ จะให้ดีเจ้าและคนรับใช้คนนี้ของเจ้าฟังคำสักหน่อย หากมิใช่ว่าจะทำให้คนข้างนอกตื่นตระหนก ก็อย่าได้หาว่าข้าลงมืออย่างไร้น้ำใจ!”
“กระท่อมไม้คับแคบ ทั้งเจ้าบ้านและแขกห่างกันเพียงไม่กี่ก้าว ด้วยฝีมือของคุณหนูใหญ่และคุณชายชิง ความเป็นตายของพวกข้าทั้งนายบ่าว ก็มิใช่จะอยู่ในมือทั้งสองท่านหรอกรึ? ในเมื่อข้าน้อยได้โยกย้ายผู้ไม่เกี่ยวข้องออกไป แล้วรับทั้งสองท่านเข้ามา ย่อมมิได้มีเจตนาร้าย… และหาได้มีเรื่องต้องละอายใจไม่” ซินหย่งกระแอมไอแล้วยืดตัวยืนขึ้น บนในหน้ายังคงมีรอยยิ้มอยู่ไม่เปลี่ยน กลับกลายเป็นหู่หนูเสียอีกที่รีบไปที่มุมห้องแล้วนำผ้าเช็ดหน้ามาให้เขาเช็ดบาดแผลที่ลำคอ พลางกล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “คุณชายเป็นอะไรหรือไม่ขอรับ?”
ซินหย่งรับผ้าเช็ดหน้ามากดไว้ที่ลำคอ แล้วสะบัดมือ หู่หนูจึงได้ถอยหลบไปข้างๆ อย่างจนใจ ได้ยินเพียงซินหย่งกล่าวด้วยเสียงแหบพร่าว่า “เดิมทีคำที่ข้าน้อยจะกล่าวนั้น ควรคุยกับเว่ยฉางเฟิงเป็นดีที่สุด ทว่าคุณหนูใหญ่รักใคร่น้องชาย แล้วปลอมตัวเป็นเขามา… และข้าน้อยก็กลับมิอาจจะอยู่ที่นี่ได้นานนัก จึงทำได้เพียงพูดกับคุณหนูใหญ่แล้ว”
ระหว่างที่พูด เขามองเว่ยชิงหนหนึ่ง เว่ยฉางอิ๋งส่งเสียงหึอย่างเย็นชา “ลูกผู้พี่เป็นดังพี่ชายแท้ๆ ไม่มีสิ่งใดที่ฟังไม่ได้”
เว่ยชิงกลับไม่กล้าปล่อยให้เว่ยฉางอิ๋งซึ่งเป็นคุณหนูสูงศักดิ์อยู่ลำพังกับซินหย่งนายบ่าว ด้วยเหตุนี้จึงมิได้มีท่าทีจะหลบเลี่ยงออกไป
ซินหย่งยิ้มออกมาหนหนึ่ง แล้วว่า “สิ่งที่ข้าน้อยจะบอกแก่คุณหนูใหญ่ก็คือ คุณหนูใหญ่น่าจะรู้ว่าผู้ลอบทำร้ายที่พบเจอในครานี้เป็นผู้ใดสั่งการมา?”
“ไม่ว่าเป็นผู้ใดที่บังอาจลอบทำร้ายผู้สืบสกุลสายหลักของตระกูลเว่ยในเขตเฟิ่งโจว ก็จักต้องตายสถานเดียว!” เว่ยฉางอิ๋งกล่าวอย่างทะนงตน
ซินหย่งเห็นได้ว่านางไม่มีท่าทียินยอมลดละความโอหัง จึงกลับหัวเราะออกมาอย่างมีเงื่อนงำ แล้วว่า “ความปราดเปรื่องของฉางซานกงนั้น ในยามนั้นเป็นที่รู้กันทั้งในราชสำนักและประชาชน หนก่อนที่ตีนเขาไผ่น้อย ข้าน้อยได้พูดคุยกับคุณชายห้าคราหนึ่ง คุณชายห้ามีความฉลาดหลักแหลม แม้อายุยังน้อย แต่กลับมีคุณลักษณะเช่นคนตระกูลใหญีพึงมี! ทว่ายามนี้ ดูไปแล้วคุณหนูใหญ่ก็หาใช่ว่าคนธรรมดาจะเทียบเทียม…”
เว่ยฉางอิ๋งฟังคำพูดนี้แล้ว คิ้วเข้มของนางขมวดเข้าเล็กน้อย และฟังซินหย่งพูดต่อไปว่า “เมื่อคุณหนูใหญ่เข้ามาก็ลงมือทันที ดูท่าช่างหยิ่งผยองและเหี้ยมหาญ แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับมีเจตนาที่ลึกล้ำ… ทางหนึ่งเป็นกังวลว่าเบื้องหลังของข้าน้อยจะยังมีผู้อื่นที่ประสงค์ร้ายต่อคุณหนูใหญ่ หากข้าน้อยเป็นตัวประกันไม่ได้ ก็ยังเป็นแผงกำบังลูกธนูได้ อีกทางหนึ่ง หากสามารถทำให้ข้าน้อยตื่นตกใจเสียจนพูดสิ่งที่รู้ออกมา และพูดอย่างไม่ปิดบังใดๆ ได้เป็นดีที่สุด หากไม่เป็นเช่นนั้น ดีชั่วคุณหนูใหญ่ก็เป็นหญิง ต่อให้หลังจากนี้ข้าน้อยพิสูจน์ได้ว่าคุณหนูใหญ่เข้าใจผิด คุณหนูใหญ่ก็เพียงสำนึกผิดอย่างจริงใจ ข้าน้อยเป็นชายชาตรีก็คงไม่อาจจะไล่เรียงเอาความกับคุณหนูไม่เลิกรา ใช่หรือไม่?”
เขาหรี่ตา ยิ้มอย่างราบเรียบ “หากเพียงเพื่อบีบบังคับและตบตีข้าน้อย… คุณหนูใหญ่ก็สามารถให้คุณชายชิงผู้นี้ลงมือ แล้วไยต้องเสื่อมเสียเกียรติ ใช้มือนี้มาลงมือด้วยตนเองและสัมผัสกับเนื้อตัวของข้าน้อยเล่า?”
เว่ยฉางอิ๋งฟังจนถึงประโยคสุดท้าย สีหน้าค่อยๆ หนักอึ้งลง กำลังจะเอ่ยบางสิ่ง ซินหย่งกลับยังไม่ยอมหยุด รีบพูดต่อไปว่า “ที่คุณหนูใหญ่ลงมือด้วยตนเอง ย่อมเพราะเตรียมการเอาไว้ว่าหากอีกสักพักมีเหตุให้ต้องเก็บกวาด คุณหนูใหญ่ก็จะสามารถใช้ฐานะที่เป็นหญิงทำให้หนักกลายเป็นเบาได้ก็เพียงเท่านั้น! อย่างไรหากเป็นคุณชายชิงลงมือ เขาทั้งเป็นชายและมีฐานะเป็นองครักษ์ หากข้าน้อยจงใจทำให้เขาลำบาก .. แม้คุณใหญ่จะไม่ยินยอม ก็เกรงว่าเพื่อคุณหนูใหญ่แล้ว คุณชายชิงก็จะไม่ยอมรามือ เห็นได้ว่าแม้คุณหนูใหญ่จะย้ำแต่ว่าสงสัยในความจริงใจของข้าน้อยว่าเป็นมิตรหรือศัตรู แต่ในความเป็นจริงแล้วก็ยังไม่กล้าตัดสินชัดเจน เพียงแต่คุณหนูใหญ่มีฐานะสูงส่ง ครานี้กลับถูกข้าน้อยส่งคนไปเชิญมาอย่างฝืนใจ ทั้งยังไม่รู้สักน้อยว่าข้าน้อยมีเจตนาใด… ในยามที่ไม่ยินยอมจะพูดคุยแต่กลับต้องเป็นฝ่ายเสียเปรียบ จึงได้ใช้วิธีเช่นนี้ เพื่อต้องการทดสอบดู จึงได้วางแผนชิงลงมือก่อน!”
“จะว่าไป แม้ข้าน้อยจะมองแผนการของคุณหนูใหญ่ได้อย่างชัดเจน ทว่าก็ยังวางท่าไม่ลง จนยังมาหาเรื่องระรานคุณหนูหลังจากที่ตนเองเสียท่าไปเมื่อครู่นี้ หากผู้ที่ลงมือเมื่อครู่นี้เป็นคุณชายชิง ข้าน้อยก็ไม่จำเป็นต้องตกอยู่ในฐานะจำยอมเช่นนี้แล้ว”
“ฉางซานกงมีคนรุ่นหลังเช่นนี้ นับเป็นโชคใหญ่หลวงจริงๆ” ซินหยิ่งคล้ายจักหัวเราะจนลืมตัว แล้วส่ายหัว พูดจนถึงตรงนี้จึงได้หยุดปากลง
เว่ยฉางอิ๋งขบคิดอยู่เกือบเค่อ แล้วจู่ๆ ก็หัวเราะเย็นออกมา “เจ้าอธิบายการกระทำของข้าทุกๆ อย่างตั้งแต่ข้าเขาประตูมา ทั้งยังจงใจเอ่ยเรื่องที่ยามข้าบีบคอเจ้านั้นได้สัมผัสเนื้อตัวเจ้า! ก็มิใช่มีเจตนาจะทำให้ข้าเสียสมาธิ จักได้ไม่มีแก่ใจมากลั่นกรองคำพูดที่เจ้าจะพูดต่อไปได้อย่างเต็มที่ก็เท่านั้น! ว่าไปแล้วในยามนี้ข้ามีเพียงลูกผู้พี่อยู่ด้วย ภายนอกหุบเขานี้ยิ่งมีค่ายกลอำพรางไว้ หากไม่มีเด็กหนุ่มชื่อหู่หนูผู้นี้นำทาง พวกข้าก็ถึงขั้นออกไปจากหุบเขาไม่ได้! หากสังหารเจ้าแล้ว พวกข้าก็มิอาจมีชีวิตรอดเช่นกัน ดังนั้นในหุบเขานี้ ผู้ที่ได้เปรียบจริงๆ มิใช่เจ้าหรอกรึ? แต่เห็นไดว่าเจ้าก็ไร้ความเชื่อมั่นจะเกลี่ยกล่อมข้าต่อไป จึงได้ใช้วิธีเช่นนี้ ให้มีโอกาสมีชัยมากขึ้น! เมื่อใจเจ้าสั่นคลอนแล้ว ด้วยเห็นว่าเรื่องนี้มิอาจสำเร็จได้ ไยต้องแข็งขืน?”
ซินหย่งได้ยินคำพลันหัวเราะเสียงดัง “คำกล่าวนี้ของคุณหนูใหญ่ ก็มิใช่ว่าต้องการจะทำให้ข้าน้อยเสียสมาธิหรอกหรือ?” รอยยิ้มของเขาพลันหายไปทันที แล้วกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ดีมาก! ฉางซานกงมีหลานแท้ๆ เช่นเจ้าและเว่ยฉางเฟิงทั้งคู่นี้ ดูท่าแล้วอนาคตของรุ่ยอวี่ถังก็ยังคงมีโอกาสจะสืบทอดต่อไปในสายของพวกเจ้า เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็พอจะไปพิจารณาว่าจะติดต่อกับฉางซานกงต่อไป!”
เว่ยฉางอิ๋งและเว่ยชิงเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของเขา เว่ยฉางอิ๋งสูดหายใจลึก “ท่าน…ท่านเป็นผู้ใดกันแน่? ในตระกูลสูงศักดิ์มิเคยได้ยินว่ามีตระกูลใหญ่แซ่ซินเลย เมื่อเรื่องจนถึงบัดนี้แล้ว ท่านยังต้องแสดงละครตบตาด้วยการปลอมตัวเป็นชาวบ้านดังเช่นที่ตีนเขาไผ่น้อยไปไย?”
นางจดจ้องไปยังคนชุดชาวดังเมฆตรงหน้า “บังอาจถาม…ท่านเป็นคนของตระกูลใด?!”
ซินหย่งคล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้มและมองไปที่นาง เกือบเค่อจึงได้เอ่ยออกมาที่ละคำว่า “ข้า แซ่ เว่ย!”
_____________________________